Justice II ตอนที่2

ถึงแม้จะชินชาแค่ไหน แต่ไม่ว่าเห็นกี่ครั้งๆ ก็อดนึกในใจไม่ได้ว่ามันไม่ใช่ภาพที่น่าดูชมเอาเสียเลย ทุกอย่างไม่ควรเกิดขึ้น โลกควรจะสวยกว่านี้ กระนั้นมันก็เป็นเพียงความคิดเท่านั้นแหละ

เพราะความเป็นจริงโลกนี้ไม่เคยสวยงามได้ทุกเวลา ด้านหนึ่งมันอาจสว่าง แต่อีกด้านเล่า ถ้าไม่ใช่เงาดำก็คงเลือนลางเจือจางไปด้วยสิ่งชั่วร้าย

ฐิติภัทรขับกระบะผ่านทุ่งหญ้ารกร้างซึ่งถูกแหวกออกเป็นแนวด้วยยางรถคันก่อนๆ ที่แล่นผ่าน ตลอดทางไม่มีแม้วี่แววของบ้านเรือนสักหลัง

ใครกันจะเข้ามาอาศัยในที่กันดารแห่งนี้ถ้าไม่ใช่ผู้รักในธรรมชาติ นี่คงเป็นเหตุให้ความเลวร้ายค่อยๆ ก่อตัว เช่นเงามืดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

เราไม่รู้หรอกว่าในเงาจะมีอะไรซ่อนอยู่ ก็จนกว่าเงานั้นจะมีคนไปพบเข้านั่นแหละ

รายงานเบื้องต้นบอกกับเธอว่าชาวสวนสองรายพบสิ่งผิดปกติในชายป่าใกล้สวนของพวกเขา เลยแจ้งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ พอตรวจสอบก็เจอเข้ากับศพมนุษย์ถูกหั่น

กลิ่นเน่าเหม็นยังคละคลุ้ง หนอนคืบคลานออกมาจากวัสดุที่ใส่ซากเหล่านั้น แมลงวันยังไม่ทันได้ฟักเป็นตัว

เธอเดาว่าคนทำอาจกำจัดซากไม่ทันเสร็จก็รีบหนีไปก่อน เพราะดันเลือกสถานที่ห่างไกล แต่ไม่ทันรู้ว่าใกล้กับสวนผลไม้ของชาวบ้าน

“นี่ครับ” เอกสารการตรวจสอบถูกยื่นมาให้เธอ หมดหน้าที่ของหน่วยงานนี้แล้ว ต่อไปเธอเป็นสิทธิ์ตรวจสอบของเธอ เพราะดูเหมือนคดีนี้น่าจะเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมาย พวกสารเสพติดต่างๆ

ฐิติภัทรเดินเข้าไปใกล้กับซากมนุษย์เหล่านั้น เธอสำรวจตรวจตาไปรอบๆ บริเวณ ไม่พบแม้แต่ร่องรอยการต่อสู้ เหยื่อคงถูกนำมาจากที่อื่น แต่จากที่ไหนนั้นคงต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ตายเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่

หากไม่แล้วการตายเช่นนี้คงเป็นการอำพรางคดีเป็นแน่ ดูจากการเลื่อยแล้วบอกได้ว่าคนตายมีมากกว่าหนึ่ง แต่เดี๋ยวนะ นั่นมันไม่ใช่แขนของคนๆ เดียวกันนี่

“ฉันขอรายงานจุดนี้เพิ่มด้วยนะ ถึงเนื้อมันจะเน่าไปแล้ว แต่เห็นมั้ยว่ารอยสักบางส่วนขาดหายไป....มีคนตายมากกว่าหนึ่งคน ตรวจสอบให้ฉันด้วย” แผนกตรวจสอบพยักหน้าแบบอิดออด พวกนี้ไม่สนใจเท่าไหร่นักหรอก

ยิ่งมีการสันนิษฐานด้วยว่าคนตายน่าจะเป็นหนึ่งในคนร้ายแก๊งค์เดียวกัน เกิดมีปากเสียงทะเลาะวิวาทและฆ่ากันเอง มันคงดีกว่าถ้าประชากรเหล่าร้ายตกตายไปเยอะๆ

เฮ้อ แบบนี้อีกแล้ว ความคิดนี้คล้ายกับคนๆ หนึ่ง คนที่เธอคิดถึงเกือบจะตลอดเวลา หล่อนอยากให้โลกใบนี้สวย เธอก็อยากให้โลกใบนี้สวย

แต่จะดีกว่ามั๊ยถ้าให้อะไรมันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ก็พอรู้นะ ว่ากฎเกณฑ์มันชักช้า ยืดเยื้อจนศาลเตี้ยดูจะเห็นผลมากกว่า ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็ควรได้รับความชอบธรรม แม้กระทั่งคนตาย

เพราะพวกนี้อาจไม่เกี่ยวข้องเลยก็ได้ แค่มีรอยสักดูน่ากลัว มีบาดแผลเคยต่อสู้ มีร่องรอยที่เอื้อต่อการทำผิด เธอก็ไม่อยากเหมารวมว่าเคยชั่วช้ามาก่อน

“นี่ใครลืมแฟ้มไว้ตรงนี้” ฐิติภัทรหยิบแผ่นเอกสารจำนวนหนึ่งที่วางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล มันถูกละเลยจากคนนั้นคนนี้ที่เดินวุ่นอยู่กับงานของตัวเอง

เธอเลยตัดสินใจเปิดมันออก สองมือค่อยๆ งั้นหน้าแรกของแฟ้มออกอ่าน แล้วหัวใจก็ร่วงลงตาตุ่ม

‘เจอแหล่งผลิตน้ำหมึกจนได้นะผู้กอง ข้อความหลังจากนี้ ขอให้อ่านมันด้วยตัวเองเท่านั้น’

มีหยดเลือดแห้งกรังแปะอยู่บนแฟ้ม

“แฟ้มอะไรผู้กอง” เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเดินตรงมา

“เปล่า ของฉันเอง ไปจดรายละเอียดต่อเถอะ อ่อ อย่าลืมส่งเรื่องเข้าเมลล์ฉันด้วยนะ” เธอปิดเอกสารเสียก่อนที่จะมีใครได้เห็น ด้วยคำขู่นั้นจะคร่าชีวิตคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง

ไม่รู้หรอกว่าคดีนี้ทำไมต้องเจาะจงเธอด้วย ซ้ำยังมีการเรียกตัวด่วนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ท้องที่นี้ก็มีคนทำคดีแบบนี้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นเลยต้องเรียกเธอออกมาไกลขนาดนี้เพื่อสืบคดี ทว่าตอนนี้เหมือนจะรู้อะไรมาหน่อยแล้ว ใครบางคนบงการอยู่เบื้องหลัง แล้วข้อความถัดไปในแฟ้มนี้คืออะไรกันแน่

ผู้กองภัทรยัดแฟ้มเข้ากระเป๋าสะพาย เดินตรวจตรางานอย่างไร้พิรุธอันใด ใจหนึ่งอยากจะห้ามทุกคนว่าหยุดทำงานเถอะ ตามเรื่องไปก็มิมีวันได้พบกับคำตอบ สภาพแวดล้อมนั้นราวกับถูกจัดฉากขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างดูน่าหดหู่และสยดสยอง

“ส่งรายงานไปให้ฉันด้วย วันนี้ฉันขอตัวก่อน” เธอเอ่ยกับผู้ร่วมงาน ที่ทำหน้าฉงน ปกติผู้กองจะกลับเป็นคนสุดท้าย ทำไมวันนี้มาแปลก

“ไม่มีอะไรหรอก แค่สงสัยอะไรบางอย่าง ฉันจะไปสืบที่อื่นสักหน่อย ทำงานต่อไปเถอะ”

เธอคว้ากระเป๋าสะพายเดินกลับไปยังกระบะคู่ใจ นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรกับคดีนี้ ปล่อยให้ไร้คนผิดอย่างนั้นหรือ เพียงเพราะเธอรู้คำตอบแล้วว่าไม่มีทางตามตัวคนชั่วได้ ผู้กองภัทรขับรถด้วยความเร็วปกติมาตามทาง ใจหนึ่งก็อยากแวะจอดเปิดหน้าแฟ้มเหล่านั้นดู อีกใจอยากส่งมันให้ฝ่ายตรวจสอบ แต่อย่างไรจุดหมายคือกลับที่พัก เธอจึงไม่คิดอ่านแฟ้มในเวลานี้

ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ จากสีสว่างเปลี่ยนเป็นแดงแล้วก็เปลี่ยนเป็นมืดมิดในที่สุด ข้างทางส่องสว่างด้วยดวงไฟที่ดับบ้างเปิดบ้าง กระนั้นมันก็ยังทำให้เธอมองเห็นเส้นทาง ใกล้เข้าตัวเมืองมาทุกขณะ เป็นเวลาเดียวกับที่เธอเริ่มเหนื่อยอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ดูเหมือนกาแฟขมๆ แก้วเมื่อเช้าจะไม่ช่วยให้ตาสองคู่นี้เปิดได้ทั้งวัน อีกนานอยู่กว่าจะถึงที่พัก ดังนั้นการเลือกขับรถด้วยความง่วงเช่นนี้ต้องไม่เกิดขึ้น เพราะอันตรายที่เกิดอาจส่งผลต่อผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นด้วย โรงแรมข้างหน้าจึงเป็นตัวเลือกที่น่าจะสมเหตุสมผล

เธอไม่ได้เข้าพักโรงแรมวิวดีราคาสูงขนาดนี้มานาน ที่แรกในรอบสามปี ราคาคงแพงพอประมาณ แต่จะให้ทำอย่างไรเมื่อตอนนี้ขับรถต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ใจอยากจะหลับมันตรงนี้เลยเสียด้วยซ้ำ กระเป๋าสะพายถูกแขวนไว้หลวมๆ ข้างตัว เธอจะไม่มีวันทิ้งมันไว้ในรถเด็ดขาด

“หนึ่งห้องค่ะ” ฐิติภัทรคว้ากุญแจรีบตรงไปขึ้นลิฟท์ กลัวว่าตัวเองจะสลบไสลลงเสียตรงนี้

ไม่กี่นาทีหลังจากเดินเข้าห้องมาได้ เธอจัดแจงล้อคกลอนประตู สำรวจทางเข้าออกในห้องนี้ ปิดมันด้วยกลอน กระทั่งหน้าต่างที่อยู่บนชั้นหก ชั้นที่ไม่มีใครกล้าปีนขึ้นมาด้วยมือเปล่า และคงไม่มีใครกล้าปีนด้วยความชันอันน่าหวาดเสียว ระเบียง ประตู หน้าต่าง ทุกอย่างปลอดภัย

ที่เหลือก็แค่เธอเอง กระเป๋าสะพายถูกวางไว้ข้างเตียงนอน พร้อมๆ กับร่างที่คล้ายจะหมดสติลงช้าๆ พึ่งจะมืดมาไม่นาน ทำไมกัน ความรู้สึกง่วงนี้กำลังจะกลืนกินเธอ

ร่างกายค่อยๆ หนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลมหายใจคล้ายจะติดขัดราวกับเครื่องปรับอากาศในห้องนี้ไม่ทำงาน ทั้งๆ ที่ความหนาวเย็นครอบคลุมไปจนทั่ว

ฐิติภัทรเริ่มจะรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่แค่การง่วงนอนธรรมดา ความตายกำลังมาเยือนเธอ มือที่พยามไขว้คว้าไปกลางอากาศเกี่ยวเข้ากับตัวกระเป๋า

โทรศัพท์เป็นอุปกรณ์สื่อสารชิ้นแรกที่คิดว่าจะช่วยเธอได้ แม้ไม่ทันช่วย อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอได้เอ่ยข้อความสั่งลา

อากาศขาดห้วงไปทุกที เธอเหลือไม่ถึงนาทีก่อนลมหายใจนี้จะหมดลง สติสุดท้ายสั่งให้เธอกดโทรหาใครคนหนึ่ง.... ทว่ากลับกลายเป็นการรับฝากข้อความเท่านั้น ควันเย็นพวยพุ่งออกจากปาก อากาศหนาวราวพายุหิมะพัดเข้าห้อง

“ฝากมิวด้วย” ลมหายใจเธอขาดห้วง ผู้กองภัทรพยามจะไอเอาอากาศเข้าสู่ปอด แม้ว่าพยามเท่าไรเธอคล้ายกับจะอยู่ในที่เยือกแข็ง ที่ๆ อากาศมีไม่มากพอสำหรับมนุษย์

ฐิติภัทรอยากกดเบอร์น้องสาวเหลือเกิน แต่ก็กลัวว่าเมื่อเธอตายไปแล้ว ผู้ที่พบเห็นนั้นจะเป็นคนเดียวกับคนที่จงใจให้เธอตายอยู่ในตอนนี้ แล้วเบอร์โทรออกนั้นจะถูกตามตัวไปถึงฐิติพร แต่การเลือกที่จะโทรออกหาณิกานต์เป็นทางออกที่ดีที่สุด หล่อนไม่น่าจะมีใครทำอันตรายใดๆ ได้ ถึงจะเดินกันคนละทาง แต่เธอเชื่อว่าณิกานต์ไม่ได้เลวร้าย

ฮ่า.... ควันพ่นออกจากปากที่เขียวคล้ำคล้ายซากศพ ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นช้าลงทุกขณะ ตุบ ตุบ ตุบ ทุกอย่างดำมืดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาผู้กองปิดสนิทในทันใด




........................




ไม่ทันไรก็ถูกใช้ซะแล้ว บุญคุณต้องตอบแทน แค้นต้องหาทางชำระ แต่เธอไม่ได้ขอให้ช่วยแต่แรกสักหน่อย ทุกอย่างมันเลยตามเลยมาสภาพนี้ได้ยังไงกัน ฉันควรได้ชีวิตเดิมกลับคืนมาไม่ใช่รึไง ทำไมรู้สึกเหมือนกับว่ามีโซ่ล่ามคออยู่ยังไงยังงั้น

แพรวพราววางถ้วยกาแฟลง หันไปตอบกับโต๊ะข้างๆ ที่ดันมาถามเวลาเอาตอนที่เธอโมโห แต่คนพวกนั้นก็นั่งขวางหูขวางตาไม่นานแล้วก็ลุกไป ความคิดแสนรำคาญก็กลับมาอีกครั้ง ณิกานต์ใช้งานเธอให้เข้าไปแสวงหาต้นตอของเบื้องหลังคดีหนึ่ง แน่นอนว่ามันต้องเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเรียนรู้มา หล่อนต้องการรู้ว่าใครคือตัวการใหญ่ที่คอยไล่จับคนมาชำแหละเพื่อเอาอวัยวะไปขาย

แน่ว่ามันอันตรายเกินกว่าที่เธอคาดการณ์ไว้ แล้วทำไมไม่ส่งวาเนสซ่าเข้าไปก็ไม่รู้ แต่เหตุผลง่ายๆ คงจะเป็นหล่อนใจร้อนเกินไปที่จะรับมือกับการแฝงตัว แล้วอีกเหตุผลก็คือ เธอเหมาะจะเล่นเป็นบทคนร้ายมากกว่าคนดียังไงล่ะ

“ช้าจัง” เธอเอ่ยกับชายที่เดินเข้ามานั่งลงตรงข้าม

“มีข่าวดีมาให้ด้วย ยินดีที่กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง” เขาเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มที่ส่องสว่างด้วยเขี้ยวสีทองฝังเพชรในปาก แม้มันจะเป็นแค่ฟันซี่เดียว ทว่ามันช่างบาดตาเสียเหลือเกิน

“ฉันยินดีอยู่แล้วล่ะ เงินทำให้ฉันสบาย” แพรวพราวยักคิ้ว หมุนนิ้วมือเป็นวงรอบแก้วกาแฟ

“พี่ชายเธอมันโง่นะที่ไม่คิดแบบนี้” อีกฝ่ายจ้องเธอตาไม่กระพริบ คงอยากยั่วอารมณ์ให้โมโห ถ้าเธอโกรธขึ้นมาจริงเขาคงล้มโต๊ะหยุดเจรจาเสียตรงนี้

“อย่างน้อย มันก็เคยหาเงินมาให้ฉัน....แล้วข่าวดีที่ว่า อะไร” แพรวพราวทำไม่สนใจในคำว่ากล่าว ตรงข้ามกับใจที่ร้อนเป็นเพลิงมรสุม

“ถ้าเธอยอมร่วมงานกับเรา พวกนั้นจะเลิกตามรังควาญ ฉันเจรจาข้อตกลงนี้ให้เธอโดยเฉพาะเลยหมอพราว” ชัยศรจดขยุกขยิกตัวอักษรใส่กระดาษแล้วส่งมาให้เธอ อ่านยากเสียเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเวลาเขาสั่งยาให้คนไข้ จะมีใครตายเพราะหยิบยาผิดชนิดบ้างรึเปล่า

“ไปตามที่อยู่นี้ เคสแรกของเธอ สองล้านจะโอนเข้าบัญชีหลังจากที่คนไข้ของเราฟื้นตัว” แล้วฟันทองนั้นก็ยิ้มแก้มตุ่ย

“แล้วถ้าเค้าไม่ฟื้นล่ะ” แพรวพราวยกกาแฟขึ้นจิบ

“ไม่เอาน่าพราว ฉันรู้ว่าเธอไม่ทำคนตายกะแค่เปลี่ยนไตสักหน่อย ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้วแค่เธอไปลงมีด”

“คนเก่งกว่าฉันก็มี ทำไมเป็นฉัน” เธอถามออกไปตรงๆ ตั้งแต่ที่พวกนั้นติดต่อมาแล้ว ณิกานต์ไม่ยอมให้เธอปฏิเสธโอกาสนี้ แทนที่เธอจะได้มีชีวิตสงบ กลับต้องมาพัวพันกับเรื่องราวดำมืดอีกจนได้

“รู้ๆ กันอยู่ว่าอดีตเธอเป็นยังไง ยังไงซะต้นมะขามก็ออกผลเป็นมะขามอยู่วันยังค่ำ แล้วเผอิญฉันและเธอก็เป็นต้นมะขามซะด้วยสิ ลืมโลกสวยๆ ไปซะ เรามาร่วมมือกันเพื่อความสบายของเราเองจะดีกว่า มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะทำเพื่อคนอื่น”

“ฉันไม่โง่ และฉันก็ไม่ใช่ต้นมะขาม” เธอกัดฟันพูด

“หมายความว่ายังไง” สายตาตั้งคำถามจ้องหน้าเธอ เขาคงกลัวว่าเธอจะเอาเรื่องชั่วร้ายนี้ไปปูดแบบพี่ชายของเธอที่ตายไป

“หมายความว่าเตรียมเงินสองล้านไว้ แล้วก็ไสหัวไปได้แล้ว” เธอมองกลับด้วยสายตาที่ครุกรุ่นไม่แพ้กัน แต่นั่นกลับทำให้ชัยศรหัวเราะ

“ฮ่าๆ ฉันจะรอนะคุณหมอ” ชัยศรลุกขึ้นยืนจัดเสื้อสูทเอี่ยมให้เข้าที่ ส่งยิ้มทิ้งท้ายแล้วจากไป

บุคลิกเขาเรียกสายตาคนให้หันมาสนใจได้ไม่ยาก แต่ใครจะรู้เล่าว่าในมาดคุณหมอหนุ่มรูปงามมันแฝงไว้ด้วยอะไรบ้าง รายได้จากการทำงานชั่วร้ายของเขาคงทำเงินได้ดีกว่าที่ต้องมานั่งลำบากแบบคนอื่นๆ

เอาเถิด ให้เขาสบายไปก่อน เมื่อสาวไส้ถึงตัวการใหญ่ตามที่ณิกานต์ขอเธอ ถึงครานั้นเธอจะขอณิกานต์จัดการเขาเอง แพรวพราวคิดจะเอาอะไหล่ในร่างกายของเขาไปเปลี่ยนให้กับคนที่สมควรจะมีชีวิตอยู่ เธอจะค่อยๆ ทรมานร่างนั้นให้ตายอย่างช้าๆ หึหึหึ ฮ่าๆๆ

“น่ากลัวจังความคิดเธอ” แพรวพราวหันไปตามเสียงเรียกที่ทำเอาสะดุ้ง ณิกานต์ถึงกับส่งหล่อนมาตามประกบเลยเหรอ ออกมาติดต่อกับหมอชัยศรแค่นี้เอง เสร็จธุระเธอก็กลับไปบ้านหล่อนอยู่ดี ก็ไม่มีที่ให้ไปแล้วนี่

อีกอย่างหล่อนทำให้เธอไม่ต้องไปรักษาตามโรงพยาบาลอื่น โดยการใช้อำนาจเงินซื้อตัวออกมา แล้วฝากฝังไว้กับโรงพยาบาลที่ชัยศรทำงานอยู่ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงตัวการใหญ่ เหอะๆ ทำไมไม่อ่านความคิดพวกนั้นให้รู้แล้วรู้รอด เธอจะได้ไม่ต้องแฝงตัวเข้ามาทำงานเลวร้ายแบบนี้

“อ่านได้ง่ายขนาดนั้นพวกฉันคงไม่พึ่งเธอล่ะพราว แล้วฉันก็ไม่ได้ตามเธอมาเพราะณิกานต์ ฉันก็แค่จะมาหากาแฟดื่มหรอกน่า” ชนินทรถือวิสาสะนั่งลงตรงข้าม ไม่รอคำชวนของคนที่นั่งอยู่ก่อน

“งั้นตามสบาย” เธอลุกขึ้นคว้ากระเป๋าสะพาย

หลังจากวันนั้น คนที่คอยตามช่วยเหลือเธอไม่ใช่ชนินทรอีกต่อไป หล่อนดูเหมือนอยากขับไล่เธออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเธอจะพยามดื้อดึง หล่อนก็จะหาทางหลีกเลี่ยงจนเธอหยุดคิดจะรั้งใครที่เค้าไม่เต็มใจเอาไว้อีก วาเนสซ่ายังดูมีเหตุผลมากกว่าชนินทรเสียอีก แม้จะใจร้อนไปบ้างก็ตาม

“เดี๋ยวสิ ฉันไม่อยากนั่งคนเดียวนี่” หล่อนคว้ามือให้เธอหยุด แววตาใสแจ๋วราวกับเด็กไร้เดียงสาคล้ายกับจะออกคำสั่ง

“มีอะไรจะพูดก็รีบพูดมาเถอะ แล้วก็หยุดบังคับฉันได้แล้ว” แพรวพราวขยับขาไม่ได้ เพราะรู้ว่าใครอีกคนทำให้เธอฝืนเดินกลับมานั่งที่เดิม

“กินอะไรดี” หล่อนไม่สนใจ ทำเป็นหยิบเมนูขึ้นมาเลือก ให้ตายสิ กาแฟบ้านณิกานต์ออกจะรสชาติดีกว่าเป็นไหนๆ ไม่มีเหตุผลที่ชนินทรต้องตามเธอออกมาเลย

“ฉันจะบอกเนส” นั่นไม่ใช่คำขู่ วาเนสซ่าเป็นคนเดียวที่ชนินทรไม่อาจล้มหล่อนได้ อีกทั้งยังเป็นคนเดียวที่สนับสนุนเธอแทบจะทุกเรื่อง หล่อนทั้งเข้าใจ และไม่คิดจะบังคับให้เธอทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ

“นี่ขู่ฉันเหรอ” พูดจบก็โยนเมนูลงโต๊ะส่งเสียงดังเรียกสายตาลูกค้าในร้านให้หันมามอง

“ไม่ได้ขู่ แค่หยุดเรื่องมากแล้วพูดมาตรงๆ สักที” เธอเป็นอิสระจากการควบคุม จึงกอดอกไม่พอใจรอฟังความจากคนตรงหน้าแทน

“งั้นก็ดี ฉันเข้าเรื่องเลยละกัน ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากทำงานนี้ แล้วก็ไม่อยากย้ายเข้าพักบ้านกานต์ เอาเป็นว่าถ้าไม่อยากก็ไม่ต้องทำ เดี๋ยวฉันจะบอกกานต์ให้เอง”

“เหอะ อย่างกับฉันจะเก็บของออกได้เลยงั้นแหละ” เธอเบะปากประชด

“ได้สิ ไปได้ตลอด ไม่มีใครห้ามเธอนี่ ฉันกับกานต์ก็ไม่ได้อยากอยู่กับเธอนักหรอก” ชนินทรยักไหล่ หล่อนหันไปสั่งไอศกรีมกับพนักงาน

“อ่อ ที่แท้เธอก็อยากไล่ฉัน อย่าห่วงเลย หมดงานนี้แล้วฉันก็จะไปเอง.... อีกอย่างนะ บ้านก็ออกจะกว้าง ฉันไม่ไปยุ่งโซนเธอหรอกนิน” แพรวพราวกำกระเป๋าแน่น

“รู้ก็ดีแล้ว” เธอไม่คิดจะอยู่รีรอฟังประโยคอื่นต่อไปให้หงุดหงิดเล่น ที่ผ่านมาเธอคงไปสร้างความรำคาญให้กับชนินทรเอาไว้มาก ไม่ได้ขอร้องให้ช่วยแต่แรก ทว่าหล่อนก็ปฏิเสธณิกานต์ไม่ได้อยู่ดี อีกไม่นานหรอก งานนี้จบ เธอก็จะเป็นอิสระ แม้ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มชีวิตใหม่อย่างไรดี เคว้งคว้างไร้ที่ยึดเหนี่ยว กระนั้นเธอก็จะไปต่อด้วยตัวของเธอเอง จะใช้โอกาสมากมายที่มีให้คุ้มค่าก็พอแล้วล่ะ


........................