Justice II ตอนที่3

ขณะที่ขบวนเดินทางของฉันกำลังเคลื่อนผ่านทะเลทรายกว้างใหญ่ อยู่ดีๆ ก็เกิดพายุทะเลทรายซัดเข้าโจมตีหลายระรอก เสบียงอาหารเสียหายกระจัดกระจาย และสัตว์ก็ทยอยล้มตาย แต่ขบวนก็ยังดำเนินต่อ เพราะเราเชื่อมั่นว่าจะไม่เจอความโชคร้ายซ้ำสอง อีกอย่างพวกเราก็มากันเกินครึ่งทางแล้ว ไม่กี่ช่วงคืนก็จะเจอที่หมายอยู่ตรงหน้า

น่าเสียดายที่ความเลวร้ายวกพายุลูกใหญ่กว่าเดิมถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ด้วยความอ่อนล้าประกอบกับได้กินอาหารและน้ำจำนวนที่จำกัด เป็นผลทำให้กลุ่มคนในคณะเดินทางล้มตายไปบางส่วน

ตัวฉันก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมคณะเดินทางที่ใกล้ตายแล้วเช่นกัน และด้วยความหมดหวังที่จะก้าวเดินต่อ ผู้ที่อ่อนแรงยอมสละส่วนแบ่งของตัวเองให้กับคนที่แข็งแรงกว่า ยิ้มและสารภาพก่อนตายว่าพวกเค้าได้ทำสิ่งดีที่ดีที่สุดแล้ว

ฉันได้รับน้ำและอาหารจากคุณยาย หล่อนนอนตายบนตักฉัน และหลานชายของเขาที่ยกน้ำกระบอกสุดท้ายให้

เพราะขาที่พิการนั้นไม่อาจเดินต่อได้ไหว อูฐก็ดันมาล้มตาย ยังดีที่ทันได้กรีดเลือดมันเก็บไว้ส่วนหนึ่ง ต้องขอบคุณมันที่ช่วยแบกพวกเราข้ามทะเลทรายอันโหดร้ายมาถึงสองคืน

พวกเราที่รอดฝืนทำตามคำขอของพวกเขาอย่างโศกเศร้า เพราะก่อนสิ้นใจ สิ่งสุดท้ายที่ปรารถนาคือให้ใครสักคนในคณะเดินทางที่เหลือรอดนำของสำคัญของพวกที่ตาย กลับคืนสู่ครอบครัวเพื่อทำพิธีกรรมแทนร่างของพวกเค้า

แล้วเมื่อคืนหนึ่งของการพักผ่อนที่ทรหด สายลมก็หอบเอาทรายจำนวนมหาศาลฝังกลบเหล่าคณะเดินทางที่เหลือ ร่างฉันถูกฝังอยู่ครึ่งหนึ่ง

พวกที่เหลืออยู่ก็แทบไม่มีเรี่ยวแรงขยับตัว ทุกคนอ่อนล้าหมดสิ้นกำลังใจ เหมือนกับว่าพายุทะเลทรายร้ายกาจนี้จะต้องการสูบเอาชีวิตของเหล่านักเดินทางคณะนี้ให้จนหมด

ชายที่แข็งแกร่งที่สุดตัดสินใจนำของประจำตัวชิ้นเล็กๆ ของทุกคนมารวบรวมไว้ เขาสัญญากับเหล่าคณะเดินทางว่าจะผ่านความเลวร้ายนี้ไปให้ถึงฝั่งให้ได้ ฉันได้ให้สร้อยคอหินกับเขาไว้ ฝากสิ่งนี้ไปถึงญาติที่อยู่ปลายทาง อีกหลายคนก็ทำเช่นนั้นเพราะพวกเราไปต่อไม่ไหวแล้ว

หนึ่งราตรีผ่านไปอย่างเชื่องช้า คอของฉันแห้งเป็นผุยผง บางคนถอดใจชิงฆ่าตัวตายไปก่อนความทรมาน

ฉันเป็นคนสุดท้ายที่ความตายยังไม่พรากชีวิตไป จิตใจของฉันกำลังสวดภาวนาให้ร่างพวกเขาสงบสุข แล้วก็รอคอยเวลาของตนเอง

แต่แล้วเมื่อเช้ามืดของวันที่ฉันคิดว่าต้องสิ้นใจลงที่นี่แล้ว รากไม้จำนวนหนึ่งก็ค่อยๆ งอกออกอย่างประหลาด พวกมันปกคลุมร่างกายฉันให้พ้นจากความร้อน

มีรากหนึ่งส่งหัวพืชใต้ดินที่อุดมไปด้วยน้ำรดใส่ใบหน้าและปาก ท่ามกลางความแห้งแล้ง น้ำเหล่านั้นให้ความสดชื่นคืนมาทีละนิด แต่ฉันจำช่วงนั้นไม่ค่อยได้นัก

เพราะในเวลานั้น ฉันสลบไปถึงสามวันสามคืน ตื่นขึ้นมาก็พบซากศพเน่าเปื่อยของคนอื่นๆ ฉันโกยทรายเท่าที่ทำได้ปกปิดร่างพวกเค้าได้บางส่วน

รากไม้พวกนั้นกันความร้อนและมอบสารอาหารให้ฉันประทังชีวิตในความแห้งแล้งนี้ไปได้ แปลกใจเหลือเกินที่ได้ยินเสียงพวกมันบอกฉันให้เดินขึ้นเหนือต่อไป

ตามคณะเดินทางที่นำไปก่อนหน้า แต่ไม่มีใครรอดเลยสักคน พวกเขาโดนพายุอีกระรอก ซากร่างโดนกองทรายทับไปจนหมด

พุ่มไม้เตี้ยหยั่งรากนำสิ่งประจำตัวของแต่ละคนส่งขึ้นมาให้ฉัน บอกฉันว่าให้อดทน พวกมันผ่านพ้นจุดทรหดนี้กันมาแล้วทั้งนั้น แล้วด้วยสภาพร่างกายที่เกือบล้มเหลวนั้น ร่างฉันก็ทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง

ฉันหลับไปเกือบสองราตรีเต็มๆ แต่พอลืมตาขึ้น พื้นที่บริเวณตัวฉันก็ก่อเกิดเป็นโอเอซิสหย่อมเล็ก มันช่างสวยงาม มีค่า และหายากนักในความกันดารเช่นนี้

พวกต้นไม้คุยกับฉัน บอกว่าหากอดทนอีกเพียงสองวันจะผ่านพ้นความแห้งแล้งนี้ไปได้ แล้วความหวังของคณะเดินทางเหล่านั้นจะไม่สูญเปล่า

พวกมันรู้ พวกมันเข้าใจพวกเรา ฉันเลยใช้แรงฮึดครั้งสุดท้ายฝ่าฟันดินแดนแห่งทะเลทรายนั้นมาได้ และปลายสุดทางเดินนั้นเอง

ฉันกรีดเอาเลือดส่วนหนึ่งของตัวเองลงพื้นดิน เป็นตัวแทนคำขอบคุณด้วยชีวิตของฉันต่อเหล่าพืชพรรณ เจ้าต้นกล้าที่งอกขึ้นแถวนั้นบอกว่าพวกมันเต็มใจช่วยเสมอ

หลังจากเลือดหยดพื้นได้ไม่นาน แผลที่รอยมีดถากเล็กน้อยก็ค่อยๆ จางหายจนปิดสนิท เจ้าต้นไม้ที่ดูใจดีก็เล่าให้ฉันฟังถึงเรื่องผู้มีพลังพิเศษต่างๆ ซึ่งหาได้น้อยนิดนัก

พวกมันเฝ้าดูมนุษย์มาเป็นพันๆ ปี เคยเจอมนุษย์ที่วิเศษแบบฉันแค่หลักสิบ และแน่นอนสำหรับเหล่าพืชพรรณ พวกคนที่วิเศษและน่ากลัวก็คือพวกที่ใช้ไฟได้

ไฟเป็นสิ่งที่ทำร้ายต้นไม้ได้มากที่สุด ความร้อนของมันทำให้ลำต้นแห้งเหี่ยว กิ่งใบอับเฉา มันเตือนให้ฉันระวัง

หากต้องพบกับผู้ที่ใช้ไฟแล้วเกิดการปะทะ จงอย่าได้ใช้ความใจอ่อนของฉัน ให้ฉันตัดความเมตตาและทุ่มสุดตัวเพื่อฆ่าเขา พวกมันจะคอยช่วยฉันเอง

ลมไม่ได้ทำให้พวกมันตายในทันที อาจจะค่อยๆ ตาย ทว่าผู้ใช้ลมที่เคยเห็นก็ไม่ทำให้ต้นไม้ตาย เพียงแค่กิ่งก้านหักไปบ้างก็เท่านั้น พวกมันไม่ได้ว่าอะไร

แค่งอกใหม่ เหมือนผมเส้นใหม่ของมนุษย์นั่นแหละ ส่วนน้ำนั้นไม่ต่างอะไรจากลม บางทีก็เรียกได้ว่าดี บางทีก็ท่วมขังจนทำให้พืชล้มตาย กระนั้นทุกชีวิตก็ขาดน้ำไม่ได้อยู่ดี

ทว่าถ้าเจอเข้ากับดินแล้ว จงอย่าทำร้าย ให้รีบผูกมิตรเอาไว้ คนที่สามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงและเหล่าแร่ธาตุในดินได้จะเป็นคนที่มีเหตุและผล พวกนี้จะใจดีที่สุด

ฉันคิดว่าเหล่าหพืชพรรณค่อนข้างจะชอบผู้ใช้ดินมากกว่า เลยบอกกล่าวในแนวชื่นชมและลำเอียงเกินความเป็นจริงไปอยู่มาก

นับแต่นั้นมา ฉันค่อยๆ เรียนรู้ประวัติศาสตร์อันยาวนานของหลายๆ สิ่งจากพวกต้นพืช

พวกมันแนะนำให้ฉันไปหาท่านผู้อาวุโส ฉันเลยตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง ปลีกตัวอยู่คนเดียว มีเพื่อนเป็นมนุษย์นับคนได้ นอกนั้นก็ต้นพืช

จนถึงดินแดนที่ผู้อาวุโสอาศัยอยู่ ฉันได้พบกับต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา มันล้มเอนลงกับพื้น แต่มันยังไม่ตาย ดีที่ฉันมาทันเวลา มันบอกฉันว่าลูกหลานของมันขอให้อดทนรอฉันมาหาก่อน

ต้นไม้ชราที่มีอายุเยอะที่สุดในโลก พูดคุยกับฉันอยู่หลายวันทีเดียว ฉันอยู่เคียงข้างพร้อมกับลูกหลานของมันจนสิ้นวาระสุดท้าย ต้นไม้ชราสะสมเรื่องราวไว้มากมายตามอายุไข มันอยู่ตั้งแต่แรกเริ่มที่เผ่าพันมนุษย์ปรากฏ เคยเห็นไดโนเสาทะเลาะกันจนตายไปข้าง

และกว่าฉันจะกลับออกมาได้ พวกพรรณพืชก็จัดงานเลี้ยงส่งฉันซะหลายวัน ซ้ำยังมอบผลไม้เก่าแก่ให้ฉัน เชื่อว่าไม่มีใครเคยได้เห็นและได้ลิ้มรส รูปร่างของมันประหลาด แต่ก็มีกลิ่นหอมชวนน่ารับประทาน

ฉันหยิบออกมาได้หน่อยเดียว เพราะบอกกับต้นไม้ว่าจะเอามาแบ่งให้ผู้พิทักษ์ดิน เจ้าต้นไม้จึงยอม ตอนแรกก็กลัวว่ามนุษย์คนอื่นจะล่วงรู้แล้วบุกเข้าไปตัดไม้ทำลายความสงบของพวกมัน

แม้ฉันจะควบคุมพืชได้ทุกต้น อาจบังคับให้พวกมันมอบผลไม้ประหลาดนั้นให้อีก ถึงทำอย่างนั้นได้ ก็ไม่ค่อยอยากทำนักหรอก

ฉันจะขอร้องพวกมันเสียมากกว่า แล้วทุกครั้งมันก็ไม่เคยปฏิเสธเลย ไม่ว่าเรื่องนั้นพวกมันอาจต้องสละด้วยชีวิต

และในตอนนี้เอง ตัวฉันที่เปื้อนไปด้วยฝุ่นดินและเศษใบไม้ที่ติดตามเสื้อผ้า ก็ยืนสะพายเป้ใบย่อมอยู่หน้าประตูรั้วอันหรูหรา แรกว่าจะปีนเข้าไปแล้ว เพราะไม่เห็นว่ามีใครแถวนี้สังเกต แต่ไม่นานก็มีคนวิ่งออกมาเปิดรั้วให้ ผ่านไปนานเท่าไรแล้วนะ บ้านณิกานต์ถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

เหล่าพืชพรรณหลากหลายเอ่ยต้อนรับฉัน พวกมันบอกว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากคนสวนของที่นี่

แต่มีบางต้นที่ฟ้องฉันว่าคนสวนลืมใส่ปุ๋ยให้ บ้างก็ลืมรดน้ำ ฉันเลยแก้ต่างไปว่าอดทนหน่อยเถิด ต้นพืชเยอะขนาดนี้บางทีพวกเขาก็อาจลืม




........................



“โอ้ยร้อน ทำไมมันร้อนได้ขนาดนี้”


ใครสักคนกำลังบ่นไม่ขาดสาย ฉันไม่อาจสัมผัสถึงความคิดเค้า จึงไม่รู้ว่าทำไมอากาศยามเช้าเช่นนี้จึงทำให้เค้าบ่นร้อนจนน่าหงุดหงิดได้ถึงเพียงนี้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องของฉันเสียหน่อย

ฉันหมายจะเดินตรงเข้าไปในตัวบ้านขนาดมหึมา ถ้าไม่เพียงแต่ได้กลิ่นควันไฟประทุขึ้นมาจากทางเสียงบ่นนั่นซะก่อน

แน่ว่ามันเป็นกลิ่นพืชสดถูกเผา เหล่าต้นหญ้ากำลังร้องไห้ ใบที่กำลังถูกเด็ดออกจากโคนตะโกนให้ฉันช่วย

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ฉันตะโกนออกไปสุดเสียง ความดังทำให้กิ่งไม้ไหวเอนโดยที่ไม่มีแม้แต่ลมผ่าน

คนที่นั่งดึงหญ้าเล่นอยู่กับพื้นหันหน้าขึ้นมามองฉันอย่างเหนื่อยหน่าย ใบหน้าหล่อนกระวนกระวายอย่างโจ่งแจ้ง ความรู้สึกเด่นชัดขนาดนี้ทำไมฉันอ่านไม่ออกล่ะ

หรือว่านี่จะเป็นหนึ่งในคนที่มีพลังพิเศษ เข้ามาอยู่ในบ้านณิกานต์ได้คงไม่วายต้องเป็นมิตรกัน แต่อย่างไรเสีย ฉันไม่มีวันเป็นมิตรกับคนๆ นี้อย่างแน่นอน คนที่เผาต้นไม้ได้ด้วยมือเปล่า และไร้เหตุผล

“คนสวนเหรอ โทษทีๆ ฉันแค่ร้อนไปหน่อย” หล่อนมองดูฉันที่เปรอะไปด้วยเศษดินและเศษใบไม้ แล้วก็ลุกขึ้นยืน ทิ้งบริเวณที่นั่งให้ไหม้เป็นวงกว้าง

“ต้นพืชก็มีชีวิต คุณไม่ควรทำร้ายมัน” ฉันเปิดประเด็นก่อนที่หล่อนจะเดินจากไป

“ฉันไม่ได้ตั้งใจนี่นา แล้วทีวันนั้นยังเห็นคนสวนถอนวัชพืชอยู่เลย ว่าแต่เธอมาทำงานที่นี่นานยัง ไม่เคยเห็น....” หล่อนหันกลับมามองนิ่ง เป็นการจ้องที่จงใจจ้อง เป็นแววตาที่ฉงนราวกับอ่านฉันไม่ออก แน่ล่ะ หล่อนไม่มีทางเข้ามาในสมองฉันได้

“เธอเป็นใคร เข้ามาในบ้านกานต์ได้ยังไง” เร็วเท่าความคิด มือนั่นก็จุดไฟขึ้นทันที ใครเห็นคงคิดว่าเป็นมายากลเสกไฟ แต่ไม่ใช่เลย มันเป็นไฟที่ร้อนจนฉันสัมผัสได้

“ฉันเป็นเพื่อนณิกานต์....แล้วฉันก็ขอสั่งห้ามไม่ให้เธอเผาต้นพืชแบบไม่มีเหตุผลอีก” เธอข่มใจให้เย็นลงในพริบตา แม้จะไม่เข้าใจความคิดอีกฝ่าย แต่หล่อนก็ออกอาการปกป้องสถานที่ในทันที หล่อนต้องเป็นหนึ่งในเพื่อนๆ ณิกานต์ที่ฉันไม่รู้จัก

“อ้อ ตัวประหลาดเหมือนกัน งั้นคงไม่ว่านะ ถ้าฉันจะ....”

ฟู่!

ขาดคำลูกไฟก็พุ่งเข้าใส่กลางลำตัว ฉันล้มลงนั่งที่พื้น เสื้อที่สวมอยู่ถูกเผาเป็นวง มีก็แต่ลำตัวที่ไร้ซึ่งบาดแผลใดๆ อีกฝ่ายหัวเราะที่ฉันไม่ทำอะไรสักอย่าง แต่กลับปัดฝุ่นออกจากตัว

“ฉันไม่อยากทำร้ายใคร” ฉันถอนหายใจแล้วเบี่ยงตัวหลบลูกไฟที่ตามมาอีกลูก แต่เพราะหลบนั่นแหละ ลูกที่สองเลยกระดอนไปโดนตัวอาคารที่สร้างด้วยไม้ไหม้เป็นรูพรุน

“ไม่เห็นสนุกเลย” วาเนสซ่าบันดาลลูกไฟให้ใหญ่กว่าเดิม ดวงตาลุกวาวดั่งเพลิงลาวา หล่อนกำลังหัวเราะ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมต้องอยากเข่นฆ่ากันด้วย ทั้งๆ ที่เธอคิดว่าจะไม่ทำร้ายผู้ใช้ไฟคนนี้เพราะหล่อนเป็นเพื่อนของณิกานต์ แล้วเพื่อนที่ณิกานต์รู้จักก็น่าจะเป็นคนดีไม่ใช่รึไง

“ฉันบอกแล้วว่าไม่อยากทำร้ายใคร” ฉันเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับรากไม้ขนาดมหึมาที่เลื้อยทะลุขึ้นกลางสวนหย่อม

รากแรกถูกเผาด้วยไฟ ทว่ารากที่สองพันรัดเข้าที่ตัววาเนสซ่า ดวงตาหล่อนเบิกค้าง พยามจะปล่อยความร้อนในตัวให้เผารากขนาดใหญ่นั่น

แต่ไม่ว่ามันจะไหม้ไปสักเท่าไหร่ รากไม้ก็ไม่มีทางเป็นเถ้าล่วงลงพื้นได้ง่ายๆ ซ้ำยังขยายขนาดรัดตัวจนแทบจะหายใจไม่ออก

“จัสมิน!” ใครบางคนเรียกฉัน หล่อนโผล่มาจากทางที่ลูกไฟพุ่งไปเจาะเป็นรูกว้าง

แววตาเขียวมรกตของฉันตอนนี้ค่อยๆ กลับเป็นสีดำสนิทอีกครั้ง ฉันคลายรากไม้นั่นออก แล้วสั่งให้มันดำดิ่งลงไปในดินตามเดิม ร่างของผู้ใช้ไฟร่วงหล่นลงพื้น

หล่อนเกือบจะตายไปแล้วถ้าณิกานต์ไม่ออกมาเรียก ยังดีที่เพียงแค่สลบ ไม่งั้นเพื่อนสนิทคนนี้คงว่าเธอเอาได้

“เข้าไปรอข้างในก่อนนะ เดี๋ยวฉันตามไป” ณิกานต์เดินมาทางฉัน ผายมือออกแล้วชี้ไปทางตัวบ้าน มีใครอีกคนที่เดินตามออกมา หล่อนเบิกตาโพลง ตกใจกับภาพที่เห็นแต่ก็ตั้งสติแล้วเรียกเธอให้ตามไป

“ชะ เชิญทางนี้ค่ะ ดร.จัสมิน” แวบแรกที่สัมผัสได้ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนธรรมดาที่ไม่มีพลังอะไร หล่อนเป็นเสมือนเลขาให้ณิกานต์ ฉันเดินตามหล่อนไปจนถึงด้านในของตัวบ้าน มันช่างร่มรื่นน่าอยู่เสียจริง

“ไม่ต้องกลัวฉันหรอก ฉันไม่ทำร้ายคนที่มีเหตุผล” จัสมินยิ้มกว้างเป็นมิตรให้กับหล่อน

“อ่า.... ค่ะ ฉันฐิติพร มะ มาช่วยพี่ เอ่อ คุณณิกานต์” หล่อนรนราน แม้ว่าจะยิ้มให้แล้วก็เถอะ

“ฉันเรียกเธอว่ามิวนะ” พูดแล้วก็หันไปสนใจกับกระเป๋าเป้และเสื้อผ้าที่ถูกเผา หล่อนจะได้ไม่ประหม่าที่เธอมองกลับไป

“เดี๋ยวฉันเตรียมชุดใหม่ให้นะคะ” ครู่หนึ่งก็เหมือนอีกคนจะตั้งสติได้แล้วรีบหันมาถาม

“ไม่เป็นไรๆ .... ไม่ใช่ๆ ฉันหมายถึงขอบคุณค่ะ” จัสมินรีบบอกก่อนที่ฐิติพรจะเดินไป

“เมื่อกี้ต้นไม้พวกนั้นบอกจะส่งใยฝ้ายทอถักมาให้ฉันใส่น่ะ แต่ฉันขอชุดจากเธอจะง่ายกว่า” ฉันว่าพลางส่งยิ้มให้หล่อนอีกครั้งแล้วเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ประดับอยู่ข้างน้ำตก ยื่นมือออกไปแตะเปลือกของต้นไม้ ลำต้นของมันขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ภายในแหวกกว้างเป็นโพรงขนาดย่อมๆ ราวกับจะเป็นห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางลำต้น

“ขอบคุณจ้า เท่านี้แหละนะ ฟูกนอนเดี๋ยวฉันขอจากณิกานต์ได้” เธอกระซิบกับต้นไม้ใหญ่

“โหว!” เสียงร้องตกตะลึงที่ได้เห็นต้นไม้ขยายขนาดเท่าห้องนอนเล็กๆ

ฐิติพรแทบจะลูกตาถลนออกจากเบ้า ไหนจะคนเผาแก้วด้วยมือเปล่า คนเรียกพายุ คนที่ทำให้แผ่นดินขยับ แล้วมาเจอะเข้ากับคนที่สร้างห้องนอนจากต้นไม้ได้ด้วยมือสัมผัส มันจะแปลกประหลาดมากไปแล้วโลกนี้

“อ้อ เธอยังไม่ไปเหรอ งั้นฉันขอฟูกนอนด้วยสิ....ฝากบอกกานต์ทีว่าฉันขอพื้นที่ส่วนนี้ พอดีฉันอุ่นใจที่จะนอนในโพรงไม้มากกว่า ยิ่งมีคนที่ใช้ไฟอยู่ในบ้านแล้ว ฉันไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่น่ะ” ฉันบอก เห็นหล่อนพยักหน้าหงึกหงักแล้วรีบแจ้นไปหาณิกานต์ทันที




........................