Justice II ตอนที่1

ณ ร้านกาแฟแห่งหนึ่งใจกลางตัวเมืองในวันธรรมดาแสนเงียบสงบ ช่วงเวลาปกติที่ใครต่อหลายคนจดจ่ออยู่กับงานอย่างเอาเป็นเอาตาย จะมีสักกี่คนกันที่สามารถปลีกเวลามานั่งจิบกาแฟสบายอารมณ์ได้

เธอเองก็เช่นกัน ถ้าไม่ติดว่าเคยพึ่งพาอาศัยคนๆ นี้มาก่อน ป่านนี้คงไม่ต้องมานั่งคอตกถูกเรียกตัวออกมาใช้งานอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจอยู่แบบนี้ เห้ออออ ถือว่าออกมาเปลี่ยนบรรยากาศละกัน

ขืนปฏิเสธไปไม่รู้จะโดนอีกฝ่ายเล่นงานแบบไหน ความรอบคอบจึงต้องมีอยู่เสมอโดยเฉพาะกับคนๆ นี้

กมลชนกสั่งกาแฟรสเข้มข้นที่ไม่แม้แต่จะใส่อะไรเลยลงไปผสม ความร้อนของมันทำให้ลิ้นเธอชา แต่ความขมของมันช่วยให้ตาสว่าง สว่างมากพอจะเห็นว่าคนที่นัดเธอ มาช้าเสียเอง ให้คิดว่านาฬิกาของหล่อนเสียยังน่าเชื่อมากกว่าตัวหล่อนจะมาช้า

นี่ก็ปาเข้าไปจะครึ่งชั่วโมงแล้ว เธอย่อยกาแฟเป็นถ้วยที่สองเห็นจะได้ เกิดเหตุอะไรขึ้นหรืออย่างไร ฝนก็ไม่ได้ตก รถก็ไม่ได้ติด

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ให้อีกห้านาทีก็แล้วกัน ก่อนที่กาแฟครึ่งของแก้วที่สองจะหมดลง

ก่อนที่เสี้ยวนาทีสุดท้ายของการนั่งรออย่างน่าเบื่อจะหมดไป ประตูร้านที่ประดับด้วยกระดิ่งก็ถูกเปิดออกช้าๆ ร่างสูงสมส่วนก้าวขายาวๆ ของหล่อนตรงมายังโต๊ะมุมสุดของร้าน สีหน้านั้นไม่ได้บ่งบอกว่าตัวเองผิดเวลาแต่อย่างใด สงสัยว่านาฬิกาข้อมือหล่อนจะเสียเข้าแล้วจริงๆ

“ผู้กองมาช้านะคะ” เธอเอ่ยพลางเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเป็นการติเตือน

“ฉันมาตรงเวลาต่างห่างเล่า คุณนกแหละที่มาเร็ว” หล่อนยื่นข้อมือให้เธอดู หน้าปัดบ่งบอกว่าหล่อนมาตรงเวลาไม่ขาดไม่เกิน กมลชนกทำท่าจะเถียงแต่ก็เลือกที่จะเงียบเพราะเห็นอีกฝ่ายไม่ได้สนใจกับเวลาเลย หล่อนหยิบเอกสารจากกระเป๋าสะพายยื่นให้เธออ่าน

ประวัติเกี่ยวกับนักธุรกิจสองคน หนึ่งชาย หนึ่งหญิง น่าแปลกที่ครั้งนี้ฐิติภัทรถึงกับต้องโทรเรียกเธอออกมา ทั้งๆ ที่ห่างหายกันไปนานแล้วแท้ๆ

แล้วกับแค่ประวัติคนสองคนไม่น่าต้องเดือดร้อนมาถึงเธอนี่นา หล่อนสืบเองอย่างถูกกฎหมายได้สบายๆ

“จะให้ฉันทำอะไรล่ะผู้กอง” เธออ่านสีหน้านั้นออก อีกไม่นานจะมีเรื่องอึดอัดใจวานให้เธอทำเป็นแน่ ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเธอไม่น่าหลวมตัวไปเกี่ยวข้องกับผู้กองภัทร หล่อนกำลังสืบคดีหนึ่ง ซึ่งคดีนั้นดันเกี่ยวกับบุคคลที่กำลังถูกตามสะกดรอยโดยลูกน้องเธอ

แล้วการสะกดรอยนั้นก็กลายเป็นว่าละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคลบางอย่าง บริษัทเธออาจถูกฟ้องเป็นคดีความใหญ่โต ทว่าผู้กองมาดขรึมคนนี้กลับทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น หล่อนออกรับแทนว่าตนเองเป็นผู้ให้บริษัทเธอตามดู แล้วก็จริงที่บุคคลนั้นกระทำความผิด

นับแต่นั้นบริษัทเธอก็ไม่ได้เปิดแค่การจัดหาทนายความ ทว่ายังเปิดเบื้องหลังเป็นบริษัทนักสืบ หลายคนที่เงินถึงมักเข้ามาจ้างวาน กระนั้นถ้าตรวจพบว่าพวกนั้นผิดจริง เธอก็จะแอบบอกกับทางฐิติภัทร อย่างน้อยก็ช่วยให้โจรลดลง และเพื่อให้รอดจากการโดนฟ้องร้อง น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า วันนี้ราชสีห์ต้องพึ่งหนูนาแบบเธอล่ะนะ

“คุณณิกานต์ช่วยตามดูให้ด้วย ส่วนคุณชินกรอยากให้เจาะลึกลงมากกว่านั้น ฉันสังหรว่าเขามีเอี่ยวในคดีใหญ่ๆ เยอะเลย แต่ตอนนี้ฉันโดนเพ่งเล็ง ทำอะไรก็ยาก สืบเท่าไหร่ก็ไหวตัวทันทุกที พวกนั้นคงมีคนใน ฉันเลยมาขอให้เธอช่วยไงล่ะ” ฐิติภัทรเท้าคาง คนกาแฟเล่นเหมือนไม่น่ากินเอาซะเลย

“กาแฟอร่อยนะ” เธอรับเอกสารพวกนั้นใส่ในกระเป๋าของตัวเอง เห็นผู้กองยกกาแฟขึ้นดื่มแล้วส่ายหน้า แกะผงครีมเทียมและน้ำตาลเติมลงทันที

“ไปต่อเองไม่ได้ ก็เรียกฉันทุกที ค่าจ้างอะไรก็ไม่เคยได้กับเค้า” กมลชนกบ่น

“เอาน่า ถือว่าช่วยเหลือสังคม จับคนผิดได้ก็ดีไม่ใช่เหรอ.... เดี๋ยวฉันเลี้ยงกาแฟเอง สั่งมาอีกสิ” ฐิติภัทรทำท่าจะเปิดเมนูให้เธอเลือก

“ไม่เอาแล้ว ฉันรอผู้กองเกือบครึ่งชั่วโมง ดื่มไปสองแก้ว สรุปว่าผู้กองมาช้าเพราะตั้งนาฬิกาผิดใช่มั้ย” เธอหยิบข้อมือคนที่นั่งตรงข้ามขึ้นมาเทียบกับตัวเรือนหน้าปัดนาฬิกาของตน ใช่เลย มันต่างกันครึ่งชั่วโมงจริงๆ ด้วย แบบนี้ต้องหาคนกลางเป็นตัวตัดสิน

“น้องคะ กี่โมงแล้วเอ่ย” กมลชนกเอ่ยถามผู้หญิงโต๊ะข้างๆ

“สิบโมงสี่สิบ” หล่อนตอบห้วนๆ แบบไม่สบอารมณ์ บุคลิกและท่าทางนั้นอย่างกับว่ากำลังไม่พอใจอะไรอยู่ตลอดเวลา

“อ่อ ขอบคุณค่ะ” กมลชนกหันมาเจอะพอดีเข้ากับใบหน้าผู้กองที่ยิ้มคล้ายกับจะหัวเราะที่เธอโดนเด็กข้างโต๊ะตอบแบบขอไปที

“ว่ายังไงล่ะคุณนักสืบ นี่ฉันตั้งเวลาผิดหรือคุณตั้งเวลาเร็วไป”

“ก็ นาฬิกาฉันคงเสียแหละ” กมลชนกยิ้มแห้ง อุตส่าห์จะแขวะผู้กองจอมเที่ยงตรงนี่ได้สักหน่อย ดันมาพลาดที่ตัวเองตั้งเวลาผิดเสียเอง

ฐิติภัทรยักไหล่แบบคนไม่เคยทำอะไรผิดพลาดโดยเฉพาะเรื่องเวลา เธอก็เลยจำใจก้มหน้าก้มตามองเมนูไม่อยากเถียงข้างๆ คูๆ แต่กระนั้นก็แอบลอบมองผู้กองที่ดูจะเปลี่ยนไปเยอะจากครั้งก่อนที่ได้เจอ

คนทุกคนมีเวลาหมุนไปข้างหน้า แต่เหมือนฐิติภัทรจะหมุนเวลาย้อนกลับได้ด้วย ใบหน้าเคร่งเครียดมันก็ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่เวลาที่หล่อนคิด ไหงตอนนี้มันเหมือนจะดูเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด ความเปล่งปลั่งมันฟ้องอ่านะ

“ไปทำไรมาเหรอผู้กอง ทำไมดูดีขึ้น” เธอถามออกไปตรงๆ

“ทำอะไรเหรอ ฉันก็ดูดีอยู่แล้วนี่” หล่อนนั่งตัวตรง ความเป็นระเบียบกลับมาทันที

“ไม่ใช่บุคลิก ฉันหมายถึงหน้าตา ทำไมดูเด็กขึ้นเยอะเลย” ได้ถามแบบนี้ยิ่งเปิดโอกาสให้เธอได้เพ่งไปยังดวงหน้าของผู้กองชัดขึ้น

“โห นี่ดูสิ อย่างกับคนอายุยี่สิบต้นๆ บอกมาเลยนะ ไปทำอะไรมา”

“ปกติฉันดูแก่รึไงกัน” หล่อนแหว

“ก็ไม่ขนาดนั้น แต่นี่มันเปลี่ยนไปเยอะ ฉันก็แค่อยากรู้เท่านั้นเอง” กมลชนกตาลุกวาว ผู้กองภัทรหันมาสนใจเรื่องความสวยความงามกับเค้าด้วย นึกว่าสนแต่งานเพียงอย่างเดียว

“กะ ก็ ทาคงทาครีมไรนี่แหละ ไม่มีอะไรหรอก” หล่อนตอบแบบขอไปที คล้ายกับไม่อยากให้ซักไซร้ต่อ สงสัยจะเขิน

“มีครีมดีก็ไม่บอกกันนะผู้กอง” เธอขำกับท่าทีกระอึกกระอัก

กมลชนกหารู้ไม่ว่าผู้กองนั้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากแค่ไหน ณิกานต์กับความเล้นลับเปลี่ยนเธอได้ขนาดนี้จนคนอื่นสังเกตเห็น ใช่ว่ากลัวกับความแก่ชราเสียหน่อย แต่ที่กลัวที่สุดคือเวลานั้นดันย้อนกลับไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาต่างหาก

การสนทนาพาทีดำเนินไปได้ไม่นาน ผู้กองก็มีโทรศัพท์ตามตัวกะทันหัน แน่ว่างานหล่อนวุ่นวายเพราะเจ้าตัวก็ทำตัวเองให้วุ่นวาย ความวุ่นวายก็เลยตามมา เธอเลยขอตัวกลับพร้อมกัน ด้วยความวุ่นวายที่ส่งต่อมาเป็นทอดๆ กมลชนกเลยต้องเร่งงานสองชิ้นนี้ตามคำขอของฐิติภัทร



........................