ทิวาราตรี ตอนที่6

คาเรนนั่งเดียวดายอยู่บนหอคอย ห้องนี้ช่างเงียบเหงาไร้ซึ่งเสียงของทาสสาว

หากเป็นเวลาปกติ นางคงจะถูกข้าทำร้ายด้วยอารมณ์ร้ายกาจ หรือหากข้ามีจิตคิดเอ็นดู ข้าจะมอบเนื้อแกะชั้นเลิศแบ่งปันกับนางบนผ้าปูเตียงสีดำนั่น แล้วนั่งสนทนาถึงเรื่องราวของเหล่ามนุษย์ที่ได้ดูผ่านกระจกมนตรา

เพล้ง! มิรู้ว่าเหตุอันใดคาเรนจึงคว้างฐานคบเพลิงไปยังกระจกแห่งมนตรา เสี้ยวหนึ่งของมันหลุดออก มิใช่ว่าจะแตกเป็นเสี่ยง แต่ค่อยๆหลุดล่วงเช่นผลองุ่น กระจกบานนี้เป็นสิ่งสำคัญ ข้ารู้ดี แต่ด้วยความโมโหร้ายจึงกระทำสิ่งที่ไม่สมควรลงไป

เศษเสี้ยวของมันถูกเก็บขึ้นมาถือไว้ ธิดาเทพร่ายมนตราอาคมมหาศาลใส่ลงไป แม้ว่ามันจะใช้ได้ไม่กี่สหศตวรรษ แต่ก็ยังดีกว่าที่ต้องทิ้งมนตราส่วนนั้นให้หายไปอย่างน่าเสียดาย

ข้าจะนำเสี้ยวกระจกบานนี้ติดตัวไปด้วยยามที่ลักลอบไปยังบริเวณปลายทางวิหารนั้น มันจะเฉลยแก่ข้าให้ได้รู้ว่าผู้ใดชิงชังแก่แสง ข้าบอกกับตนเองเช่นนั้น พยามคิดถึงเรื่องการศึก เรื่องการลักลอบแทนที่จะใส่ใจกับทาสชั้นต่ำที่ถูกยกเป็นของบรรณาการแก่พี่ชาย




........................




ความมืดบอดกอดรัดอัดในอก คอยฉวยฉกแย่งชิงสิ่งมีค่า โปรดเถิดแสงนำพาข้าอ่อนล้า ทางข้างหน้าเช่นไรจงไขความ....

นกน้อยปีกหักเลิกบั่นทอนตัวเองชั่วครู่ นางตัดสินใจเปิดห้องออกพร้อมกับสัมภาระคู่ใจ มิมีสิ่งใดในที่แห่งนี้ช่วยนางได้อีกต่อไปแล้ว นางจำต้องออกเดินทาง

“เจ้าจงเตรียมม้าเร็วและผู้ติดตามเพียงหยิบให้ข้าเถิด” เสียงใสไพเราะสั่งแก่หญิงรับใช้ ช่างเศร้าหมองยิ่งนัก แล้วความทุกข์ใจนี้ก็รู้ถึงบิดาเข้าจนได้ นางจึงต้องเข้าพบเพื่อพูดเฉลยในสิ่งที่นางกำลังทำ ณ ตัวอาคารหลังย่อมที่พร้อมหน้าไปด้วยครอบครัวสุขสันต์ ทำให้อาลีธาลอบถอนหายใจทุกครั้งเมื่อสบตาเข้ากับพี่ชาย หากเขาไม่หลงกลแก่ธิดาเทพชั่วร้าย เธอคงไม่ต้องสูญเสียรักครั้งนี้ไป แต่จะให้ทำอย่างไรในเมื่อท้ายสุดหล่อนก็หาทางเข้ามาประชิดตัวเธอได้อยู่ดี

“ลูกข้ามีเรื่องใดไม่สบายใจหรือไร แล้วเจ้าต้องการจะไปที่ไหนกันรืออาลีธา” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับสายตาห่วงใยจากบิดาและผู้เป็นพี่ อาลีธาไม่สามารถเล่าความเป็นไปได้หมด นางจึงรวบรัดตัดความแค่เพียงว่า

“พวกท่านที่ข้ารักยิ่งกว่าสิ่งใด อย่าเป็นห่วงไปเลย ข้าเพียงแต่ต้องการไปยังวิหารแห่งแสง เพื่อนำอันมณีมีค่าที่ติดตัวข้ามาแต่กำเนิดไปบูชา” อาลีธาชูเม็ดพลอยที่คล้องคอไว้

“หากเป็นเช่นนั้นจริง เจ้ามีคำขอจะวิงวอนแก่วิหารแห่งนั้นรือ” บิดาใคร่สงสัย

“เป็นเพียงคำขอบคุณจากข้าเท่านั้น” อาลีธาเอ่ยปด

“ให้ข้าร่วมทางไปด้วยไหมน้องพี่” ด้วยความเป็นห่วง เขาจึงเสนอตัว

“มิได้หรอก ท่านอยู่ช่วยงานกับท่านพ่อเถิด ตัวข้าขอแค่ผู้ติดตามมีฝีมือสักสองสามคนก็เพียงพอแก่การเดินทางครั้งนี้”

“ทางนั้นอยู่อีกฟากของเมืองซึ่งห่างไกล เจ้าต้องใช้เวลาหลายวันเลยนะอาลีธา ซ้ำเจ้ายิ่งมิค่อยสบาย กว่าจะออกห้องมาได้ก็หลายวัน จะเดินทางคนเดียวไหวรือ” เขายังกังวลอยู่ไม่คลาย จึงได้ลองเสนอดูอีกครั้ง

“ข้าตัดสินใจแล้วพี่ท่าน” อาลีธามุ่งมั่นเกินกว่าใครจะทัดทาน

“งั้นจงรักษาตัวด้วยลูกข้า” เมื่อเห็นแน่แก่การตัดสินใจครั้งนี้ บิดาที่เป็นผู้ตัดสินใจทุกสิ่งในบ้านจึงไม่ค้านอันใดทั้งสิ้น เพราะการยื่นคำขาดของอาลีธาครั้งนี้ดูแข็งขันกว่าครั้งใด

เส้นทางของข้าไม่สิ้นไร้ไม้ตอกเป็นแน่ ธิดาแห่งรัตติกาลท่านจงรอคอยความเครียดแค้นของข้าอย่างใจจดใจจ่อเถิด แม้มันจะระคายผิวท่านได้เพียงนิด ข้าก็ไม่ขอถอยกลับ จงรับรู้ไว้ว่าจิตมืดบอดดวงนี้ จงเกลียดจงชังในตัวท่านยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งปวง



........................




ใกล้แล้วแก่เวลาที่ต้องอันเชิญคบเพลิง ทว่าจิตใจของนางตอนนี้ยังไม่สงบ มันเร่าร้อนเสียยิ่งกว่าเปลวเพลิงใด หากแม้นใช้มันจุดแทนเพลิงรัตติกาลได้ เปลวนั้นคงโชติช่วงยิ่งกว่าครั้งไหน

แม้จะใช้กระจกมนตราดูความเป็นไปของมนุษย์มันก็น่าเบื่อเหลือเกิน คาเรนจึงทำได้แค่นั่งอยู่เฉยๆ รอชั่วยามที่จะได้รับข้าทาสของตนกลับคืน เพียงเพื่อสนองความสนุกของพวกนั้น เธอถึงกับเสียดายในบริวารขนาดนั้นเลยรึ อีกทั้งพี่ทั้งสองยังไม่ปล่อยให้เวลาที่ได้รับสูญเสียไปแม้เพียงนิด หลายชั่วยามนั้นแทบจะกร่อนหัวใจข้าได้เลยทีเดียว

“สนุกกันมากไปหน่อยไหมพี่ท่าน หากต้องการทาสชั้นดี เหตุใดมิหามาเองเล่า” เสียงธิดาเทพเหมือนเป็นการพูดหยอกล้อเล่นตามภาษาพี่น้อง แต่ฟาบริสรู้ดีว่าคำกล่าวเฉยเมยนั่นพันธนาการโทสะไว้มากล้น

“นางมอบความสนุกให้แก่ข้าได้มากจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ น้องพี่จะ....” ฟาบริสโยนร่างทาสสาวที่บอบช้ำทุ่มใส่พื้นไม่ห่างจากตัวน้องสาว เสียงร่ำไห้แทบขาดใจก้องอยู่ใต้จิตสำนึก นางทาสโชคร้ายไม่แม้แต่จะมีแรงเปล่งคำใดๆ ออกมา

“ข้าให้นางแก่ท่านมิได้ฟาบริสพี่ข้า” คาเรนทำหน้าตาเฉยเมย ดวงตานั้นไม่บ่งบอกความรู้สึกใดออกไป จึงทำให้ฟาบริสเองพยักหน้าอย่างแสนเสียดาย ไม่วายเขายังตรงเข้าไปแหย่ให้ทาสเคราะห์ร้ายนั่นได้หวาดกลัวระหว่างรอกาเอล

คาเรนหลับตานิ่ง มิได้ใส่ใจกับสิ่งยั่วยุตรงหน้า เธอรวมพลังที่มีพร้อมกับยื่นกริดศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏในมือชั่วพริบตา จ่อตรงไปบนคบเพลิงให้แสงสีดำได้โชติช่วงลุกฮือขึ้นอย่างง่ายดาย

“โอ น้องพี่ เจ้าช่างดูน่าศรัทธาจริงเวลาเรียกกริดแห่งรัตติกาล” แววตาเขาทอประกาย มันเป็นคำชมแน่แท้ แต่แฝงไว้ด้วยความขี้เล่นที่ติดตัวเขามาช้านาน

“จงนำไปและรอพี่กาเอลตรงหน้าทางออก ข้าขออวยชัยให้พวกท่านในศึกครั้งนี้” คาเรนพูดรวบรัดตัดตอนเพื่อเชิญแขกที่ก่อกวนออกโดยไวที่สุด

“เจ้าก็ไล่ข้าเสียจริงเชียว ข้าไปก็ได้ แต่ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจจะยกนาง....”

“ออกไปพี่ข้า” แล้วเสียงฉุนเฉียวก็ไล่เขาให้วิ่งกระเจิงด้วยท่าทางกึ่งสนุกออกจากวิหารได้สำเร็จ อีกหนึ่งยังไม่มา กาเอลจงใจจะใช้เวลาที่ข้าให้จนหมดชั่วยามเลยหรืออย่างไร แค่ไล่ความโกรธออกจากจิตก็ยากมากพอแล้ว หากได้เจอกับท่านพี่ ข้ามิต้องเก็บอารมณ์ไม่อยู่สาปแช่งท่านเลยรึ

“ในตอนนี้เจ้าดูไม่ต่างจากหญิงสำส่อนเลยนะเอเรน่า เจ้าทาสต่ำต้อย” คาเรนเลือกระบายคำพูดชั่วร้ายกับทาสต้อยต่ำที่กองบนพื้นหินเบื้องล่าง

“เจ็บช้ำเหลือเกิน เหตุใดท่านจึงทำลายข้าได้ถึงเพียงนี้” นางทาสกัดฟันพูด จิตใจนางกำลังมอดมลาย

“ข้าหรือที่ทำให้เจ้าเป็นแบบนี้ มิใช่ข้ามั๊ง....จะว่าไปฟาบริสคงชอบใจในเจ้านะ หรือเจ้าอยากติดตามเขาไปล่ะ” คาเรนตอกย้ำ ซ้ำเติมด้วยการพูดขู่ดูคล้ายจะยกนางให้แก่ฟาบริส

“ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น” นางทาสที่บอบช้ำจุมพิตลงแทบเท้าธิดาเทพ

“อย่าโดนตัวข้า เจ้าทาสโสมม.... แม้ว่านั่นจะเป็นพี่ข้า แต่กลิ่นเขาติดไปทั่วกายเจ้า เห็นแล้วยิ่งน่าขยะแขยง” คาเรนสาดคำร้ายกาจแก่นางทาง หัวใจบอบช้ำยิ่งย่ำแย่ลงไปทุกขณะ นั่นก็ทำให้เธอรู้สึกคลายโกรธาจากกาเอลลงได้เยอะ เพราะมีที่ระบายอารมณ์ชั้นดีอยู่ตรงหน้า

“....” เอเรน่าฟูมฟายแทบขาดใจ แต่ก็ทำได้เพียงนอนนิ่งๆ รอเวลาที่ความบอบช้ำนั่นจะหาย

“หึหึหึ ข้าดูเป็นคนเลวร้ายขนาดนั้นเลยรึ มองข้าสิ มิเช่นนั้นก็จงไปอยู่กับฟาบริสซะ” คาเรนหัวเราะที่ทาสเคราะห์ร้ายรีบเงยหน้ามองด้วยแววตาเลื่อนลอย หล่อนกำลังสิ้นหวัง

“เจ้ามีสิ่งใดที่อยากจะอ้อนวอนแก่ข้าอีกหรือไม่” คาเรนเอ่ยถามเหมือนเป็นเรื่องสนุกที่คำขอเหล่านั้นจะต้องแลกมาซึ่งสิ่งตอบแทนเสมอ

“ได้โปรดทำลายจิตข้าเสียเถิด” นางทาสหลับตาลง....รอคอยการดับสูญไปตลอดกาล นางมิอาจทนอยู่กับความเลวร้ายนี้ได้ต่อไปอีก

“ข้านึกว่าเจ้าจะขอเป็นอิสระเสียอีก.... เจ้าคงรู้นะว่าสิ่งที่เจ้าขอ ผลมันจะเป็นเช่นไร” คาเรนยิ้มเย้ย

“ข้าทราบดี ท่านคาเรน” หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับตรงข้าม

“จงหายดี” คาเรนชุบกายทิพย์นางทาสให้ได้คลายจากอาการบอบช้ำ ร่องรอยและคราบเลือดเจือจางลางเลือนไปในที่สุด ทว่าตัวนางยังหมอบต่ำด้วยความมุ่งมั่นที่อยากดับสูญ แม้กายจะหาย แต่ใจนั้นมิลืมเลือน

“ลุกขึ้นให้ข้าได้ยลโฉมเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย” คาเรนออกคำสั่ง นางทาสรีบทำตาม ด้วยคิดว่านางจะได้รับสิ่งที่เอ่ยขอไป

“เจ้ามีชะตาโชคร้ายตอนยังเป็นมนุษย์ ทั้งบิดามารดาต่างทอดทิ้ง เมื่อเติบใหญ่ด้วยรูปโฉมอันสง่า น่าจะได้สบาย แต่ชะตากลับเล่นตลกจนเกือบได้เป็นหญิงเร่ขาย.... แต่รู้รึไม่ วินาทีสุดท้ายเจ้าก็เลือกสังหารตัวตายเสียเอง....นั่นโง่เขลามาก เพราะเมื่อการพิจารณาจากข้ามาถึง ข้าก็มิได้ปล่อยเจ้ากลับไปวนเวียนในทางเบื้องล่างนั่น แต่กลับดึงเอาจิตเจ้ามาเป็นทาส....” คาเรนหยุดพูดมองดูน้ำตาที่หลั่งรินจากเอเรน่าที่เหมือนโดนตอกย้ำความทุกข์ระทม

“ข้าอาจเป็นคนเร่งให้เจ้าทนทุกข์ จนต้องรีบปลิดชีพครั้งยังเป็นมนุษย์ นั่นก็เพื่อให้เจ้ารอดจากการถูกพรากความบริสุทธิ์ แน่นอนว่าข้าอยากครอบครองมันเอง.... แต่ชะตาของเจ้านั้น ข้ามิใช่ผู้กำหนดเลยเอเรน่า.... แล้วหากเจ้ามิได้อยู่ยังวิหารแห่งนี้ เจ้าจำต้องไปวนเวียนอยู่เช่นนั้น จนกว่าความปวดร้าวที่เป็นโทษทัณฑ์ของเจ้าจะทำลายหัวใจนี้จนสิ้น เจ้าจึงจะหลุดพ้นและได้เริ่มต้นใหม่.....”

“กาลนี้ ข้าก็มิอาจรู้ว่าเจ้าได้หลุดพ้นจากพันธนาการโทษนั้นแล้วหรือยัง แต่ในเมื่อเจ้าขอร้องการดับสูญ มันอาจมากพอที่เจ้าจะเจ็บช้ำแล้วก็ได้.... เจ้าจงกลับไปวนเวียนยังเบื้องล่างนั่นเถิด เกิดยังสถานที่อุดมสมบูรณ์ มีชีวิตที่สุขสบาย พรจากข้าคงมอบให้เจ้าได้เท่านี้” คาเรนยื่นมือไปลูบศีรษะนางทาสผู้ซึ่งร่ำไห้เป็นสายฝน

“ท่านคาเรน” ทาสสาวเอเรน่าสวมกอดผู้เป็นนายด้วยหัวใจบอบช้ำ

นางสะอื้นเสียใจกับสิ่งที่ตนเป็น ตลอดเวลานางเฝ้าแต่โทษในสิ่งที่ธิดาเทพทำ กล่าวหาอย่างร้ายกาจว่าเป็นผู้ที่นำเรื่องเลวร้ายมาให้นางประสบ รังเกียจทุกครั้งเมื่อผู้เป็นนายสวมกอดทั้งยังหัวเราะเย้ยหยันเมื่อได้รังแกนางทุกครั้งไป มิหนำซ้ำยังยกตัวนางเป็นเครื่องบรรณาการแก่ฟาบริส

“ท่านคาเรน ฮือๆ” คาเรนเชยคางนางทาสร่ำไห้ มองดูโฉมงามน่าหลงใหล ไม่ผิดหากจะเก็บนางไว้เชยชมต่อ แต่นางคงไม่อาจมอบความเศร้าโศกให้ข้าได้อีก มันคงมิน่าสนุกอีกแล้วล่ะ

“ข้ามิได้ช่วยอันใดแก่เจ้านะ หยุดร้องเถิด.... ตัวข้าเองก็กัดกินความทุกข์นั้นเห็นเป็นเรื่องสนุก แต่จากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว....เอเรน่าเอ๋ย จุมพิตข้าเป็นครั้งสุดท้ายสิ” คาเรนกล่าวอ้างว่าสิ่งนั้นเป็นแค่เรื่องสนุกสำหรับนางเท่านั้น เป็นแค่การแลกเปลี่ยนธรรมดาไม่มีค่าอันใด

ทว่าการตอบรับของนางทาสครั้งนี้มิใช่การปฏิเสธแก่ผู้เป็นนายหรือมีจิตคิดเดียดฉันท์แต่อย่างใด นางทาสสวมกอดธิดาเทพและเต็มใจมอบจุมพิตสุดท้ายด้วยหัวใจที่แปรเปลี่ยนเป็นภักดี....

“จงเป็นอิสระเถิด....” คาเรนร่ายมนต์คลายการสะกดแก่ทาสผู้กอดรัดนายมิห่างคลาย ดวงตานั้นมิได้มืดมน มิได้ชื่นชมแก่ชะตาโชค.... หากแต่รำลึกแก่ใจเสมอ มิว่าจะต้องวนเวียนอยู่นานเท่าใด ข้าขอจงรักและบูชาแก่ธิดาราตรีตราบเท่านาน....




........................