ทิวาราตรี ตอนที่5

ณ เบื้องล่างสถานอันเป็นที่เก็บสมบัติล้ำค่าของความมืดมน เจ้าของวิหารบรรจงเปิดหีบใบหนึ่งซึ่งเกาะกรังไปด้วยฝุ่น นานมาแล้วที่มิได้มีการนำของมีค่าเหล่านี้มาใช้

อานุภาพแห่งรัตติกาลยังมีอีกมากมายนักที่เธอสามารถเรียกขึ้นมาสถิต แต่กาลนี้ เพียงคบเพลิงก็น่าจะเพียงพอแก่การต่อกรกับกองทัพมนุษย์ที่มีพลพักแห่งแสงเป็นผู้บงการ

ทางนั้นมีจุดประสงค์อันใดเล่า ในเมื่อข้อยุตินั้นได้จบลงเนิ่นนานมาแล้วตั้งแต่ครั้งเธอยังแรกเริ่มลืมตา สงครามยุติลงเมื่อมีการถือกำเนิดจากธิดาเทพของทั้งสองฝ่าย ธิดาเพียงองค์เดียวจากแต่ละฝ่ายเป็นดั่งคำมั่นว่าจะไม่มีการรบกันให้ต้องสูญเสีย แม้ว่าทางฝั่งรัตติกาล ณ ตอนนั้นกำลังเรืองรุ่งด้วยชัยชนะ

ทว่าก็ต้องร่างสัญญานั้นเพื่อเป็นการยุติการรบ มิเช่นนั้นเหล่ามวลมนุษย์จะสูญสิ้นด้วยเช่นกัน มันคงไม่เป็นผลดีแก่ทั้งสองฝ่าย ข้อยุติจึงถือกำเนิด แล้วคืนแผ่นดินเบื้องล่างให้เหล่ามนุษย์ปกครอง ในพันธะสัญญาศักดิ์สิทธิ์ห้ามมิให้เทพทั้งสองฟากต่อกร แต่ก็มิได้ห้ามให้มนุษย์ชิงดีชิงเด่นแก่กัน

แม้ว่าจะต้องสูญเสียวิหารเคารพไปหมด ก็ไม่ได้หมายความว่าเหล่ารัตติกาลจะสลาย เพียงแต่นั่นจะทำให้แผ่นดินเบื้องล่างถูกกวาดล้างด้วยอริศัตรู มันคงยากขึ้นถ้าต้องต้านทานแสงสว่างเรืองรองโดยไร้ทาส และไร้กำลังจากเหล่ามนุษย์ แน่แท้ว่าอีกฝั่งต้องมีแผนการที่ตรึกตรองไว้ดิบดีแล้วอยู่เบื้องหลัง ต้องมิใช่ใครที่ไหนเป็นแน่ ผู้ที่ครอบครองพลังสูงสุดของแสงนภา ผู้ที่เกลียดชังต่อรัตติกาล....

ธิดาแห่งแสง ต้องเป็นนางอย่างแน่แท้ หาไม่แล้วคงหาใครที่มีพลังมากพอเพื่อล้มสามทัพของรัตติกาลลงได้อย่างไม่ยากมากนัก ว่าแต่การกระทำนั้นทำไปเพื่อสิ่งอันใดกัน คบเพลิงในมือถูกกำไว้แน่น เมื่อได้ยินเสียงข้าทาสคนสนิทกรีดร้องดังไปทั่ววิหาร ความโกรธาตราตรึงในก้นบึ้งของหัวใจ หากแม้นมิใช่สายเลือด ป่านนี้ท่านพี่กาเอลคงดับสลายไปแล้ว

“ทีลดา....เจ้าคิดว่าเหตุใด เหล่าแสงนภาจึงต้องการชัยชนะใครครานี้” คาเรนทำเป็นไม่ไยดีกับเสียงกรีดร้องที่ได้ยินจากทาสคนสนิท เธอหันไปขอคำปรึกษาจากปราชญ์ผู้ชำนาญการสงคราม ครั้นยังเป็นมนุษย์ นางผู้นี้มิเคยทำให้การศึกใดผิดหวังกับราชาผู้ปกครอง แต่ด้วยความริษยาอาฆาตร้ายจากผู้ที่ด้อยกว่าทางปัญญา ทั้งยังภาพลักษณ์ของความเป็นหญิงที่หลักแหลม ก็ยิ่งทำให้กุนซืออื่นไม่เห็นชอบ

นางถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายจนใกล้แล้วแก่ความตาย หากว่าสิ่งสุดท้ายคือความจงเกลียดจงชัง เสียงสาปแช่งเหล่านั้นก้องมายังธิดาเทพ ทีลดาปิดชีพตนลงพร้อมถวายความจงรักภักดีแก่คาเรน แน่นอนว่าฟากฝั่งราชาผู้อยุติธรรมที่ฟังความข้างเดียวก็จำต้องล่มสลาย

“ข้าเห็นว่าต้องมีเบื้องหลังที่ซับซ้อน หากต้องการรู้ความ ท่านคาเรนจำต้องส่งบริวารจำนวนหนึ่งลักลอบไปยังปลายเขตแดนของวิหารแสงขาว ความนั้นอาจมิได้คลายจากชาวแสงเอง แต่จะคลายมาจากผู้ที่บวงสรวง หรืออาจเป็นผู้ที่มิได้คิดชื่นชมแก่วิหารแห่งนั้น ข้าเชื่อว่าต้องมีข้อความใดชี้แจ้งแก่ทางเราได้บ้าง” ทีลดาครุ่นคิด

นางมีดวงตาแห่งปราชญ์ที่หาได้ยากยิ่งในดินแดนชั้นล่างนั่น ความสามารถนี้ใกล้เทียบชั้นได้กับปราชญ์ผู้ชาญฉลาดในดินแดนรัตติกาล ทว่าเขาผู้นั้นกลับดับสลายไปแล้วพร้อมๆ กับพันธะสัญญาของทั้งสองฝั่งที่ร่างมันขึ้นมา

“แล้วเจ้าเห็นว่าใครเหมาะสมแก่การนั้นรือ ผู้ที่เข้าใกล้วิหารนั่นได้มากสุดโดยไม่มีใครสังเกต มีเพียงตัวข้า และทาสแห่งข้าเพียงไม่กี่คนเท่านั้น” คาเรนครุ่นคิด เหล่าทาสชั้นสูงที่มาจากแดนราตรีมีน้อยนัก ทั้งเธอยังมอบภารกิจแก่พวกนั้นให้คอยรับฟังเสียงวอนจากมนุษย์ในแต่ละแห่งของวิหาร หากหายไปหนึ่ง จะมิยิ่งเป็นที่สงสัยแก่ทางแสงนภาหรืออย่างไร

“ท่านอาจต้องใช้ฤทธาจากอาวุธชิ้นนั้น มันเป็นสิ่งเดียวที่จะเข้าใกล้สถานที่แห่งนั้นได้โดยไม่เป็นที่สังเกต ทั้งยังมีพลังอำนาจพอในการหลบหนีเมื่อเจอะกับเหตุคับขัน” ทีลดามองสบตานายเหนือหัว ไม่มีความเกรงหรือหวาดกลัวต่อสิ่งที่ตนได้พูดออกไป

“เจ้านี่ช่างเป็นคนตรงไปตรงมา มิรู้หรือไรศาสตราวุธนั่นมีความสำคัญเพียงใด” คาเรนเอ่ย

มิมีใครผู้ไหนที่เธอวางใจแก่การมอบกริดแห่งรัตติกาลให้ครอบครอง จะมาจากดินแดนความมืดเองก็เถอะ กริดนั้นเป็นของเธอแต่ผู้เดียว จะมอบมันให้ใครหาใช่สิ่งอันควรไม่

“หาได้ไม่ ท่านคาเรน ข้าเพียงแต่เสนอความให้ท่านนำไปพินิจเพียงเท่านั้น มิได้มีสิ่งอันใดล่วงเกินแก่เกียรติยศแห่งธิดาเทพ” ทีลดายอบตัวลงต่ำ

“ข้ามิถือโทษโกรธอันใดเจ้า” ด้วยรู้ว่าข้าทาสนางนี้มีสมองอันปราดเปรื่อง มิมีสิ่งไหนที่นางต้องการอีก นอกเหนือไปจากการกำชัยชนะของฝั่งตนไว้เท่านั้น มิว่าสิ่งนั้นจะขัดใจใครก็ตาม

นางเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ครั้งยังเป็นมนุษย์ ด้วยสิ่งนี้เองจึงไปขัดใจแก่ผู้รับฟัง แต่หาใช่กับคาเรนไม่ ธิดาเทพไม่ใช่มนุษย์ สามารถแยกแยะความได้ว่าการโกรธาเพียงน้อยนิดต่อความจริง อาจทำให้แพ้พ่ายต่อการศึก

“หากเป็นเช่นนั้น นั่นหมายถึงต้องมีใครสักคนลงไปสืบความในช่วงเวลาหนึ่งจนกว่าจะนำข้อชี้แจ้งเท็จจริงเหล่านั้นมาประติดประต่อได้ใช่หรือไม่ทีลดา” คาเรนคิด หนทางนี้เป็นสิ่งที่เร็วที่สุดก็จริง หากก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เกิดถูกพบโดยเหล่าบริวารแสง เป็นเช่นนั้นแล้วจะฝ่าดงวงล้อมออกมาคายความได้ก็ต้องมีกริดนี้เพียงเท่านั้น

“ท่านมีความเป็นปราชญ์ในตัวแน่แท้ แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าใคร่ขอเสนอ” ทีลดาสบตากับผู้เป็นนายอีกครั้ง

“ว่ามาสิ” คาเรนเองก็ยังนึกมิถึงว่ามีเรื่องอันใดอีก

“การส่งสายเราไปครั้งนี้ ท่านต้องให้จำแลงไปในคราบมนุษย์ มิใช่ผู้สูงศักดิ์ดังเช่นทุกคราที่ท่านส่งไป ตัวแทนจากรัตติกาลอาจต้องยอมลดเกียรติ เพื่อกุมชัยในวันข้างหน้า หาไม่แล้ว ความสูงค่าที่สังเกตได้ง่ายจะเป็นภัยแก่สายสืบของเราเอง ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวเลือกที่เหมาะสมอาจต้องมีความสามารถที่เก่งกาจ หากเข้าตาจนแล้วติดในวงล้อม ก็เป็นไปได้สูงที่จะกลับออกมาได้” คำแนะนำนี้เริ่มจะประจักแก่คาเรนแล้วว่านางทาสทีลดาผู้นี้ มีเล่ห์เพทุบายอันแยบยล นางยอมสละได้แม้เกียรติยศที่จับต้องไม่ได้แล้วกำชัยชนะอยู่ในมือ ทั้งยังรู้ด้วยว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีของนายตนมีสูง แต่ก็ยังเลือกพูดในสิ่งที่ขัดใจ

“ข้าเข้าใจทีลดา เจ้าคงเห็นว่าตัวข้านั้นส่งบริวารลงไปทีไรต้องเอิกเกริก นั่นก็เพื่อเป็นเกียรติแก่วิหารรัตติกาล.... แต่ครั้งนี้มันจำต้องแตกต่างดังที่เจ้ากล่าวนั่นแหละ การลักลอบเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ มันให้ทั้งความสนุกและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน จะว่าอย่างไรหากข้าเสนอผู้ช่ำชองในการศึกลงไปทำภารกิจ” คาเรนนึกถึงนางทาสอีกตนที่ผ่านสมรภูมิรบมานับครั้งไม่ถ้วน ทุกการศึกนางมักจะวิงวอนแก่ธิดาเทพเพื่อให้ฟาดฟันเหล่าศัตรูได้อย่างไม่กลัวเกรง จวบจนวันสุดท้ายแห่งแสง นางถูกลายล้อมด้วยหอกแหลมคม จึงได้สวดวอนเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อกำชัยชนะ แล้วยินดีกลายเป็นข้าทาสแห่งธิดาราตรี

“นางมีความช่ำชองอันเลอค่าก็จริงอยู่ แต่การลักลอบนั้นก็มิได้เหมาะสมกับนาง เมื่อถึงคราจนตรอก เป็นนางแล้วคงฝ่าฟันออกมาได้ไม่ยาก แต่ท่านจะมีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ที่จะได้ข้อความลับนั่น” ทีลดาเอ่ย

“เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า นางจะไม่สามารถสืบได้ชี้แจ้งงั้นรึ แล้วหากหนีกลับมาได้ ก็จะไม่เกิดผลอันใด ซ้ำยังเป็นที่รู้ตัวแก่ทางแสงสว่าง” คาเรนถาม

“ตามดังที่ท่านเห็นแจ้ง หากการลักลอบครั้งนี้เดิมพันไว้ด้วยเป้าประสงค์หลักของการรบใหญ่ จึงมิควรแก่การพลาดพลั้ง.... ข้าขอเสนอตัวเองเพื่อกิจนี้ด้วย ท่านคาเรน” ทีลดาครุ่นคิดมาได้พักใหญ่แล้ว หากเป็นนางคงทำการนี้ได้ดีที่สุด

“เจ้านั้นมีปัญญาทีลดา แม้ว่าการเคลื่อนไหวและท่วงท่าการรบของเจ้าจะไม่ดีเด่นเท่าปัญญา แต่ก็น่าจะลอดเล้นออกจากที่แห่งนั้นมาได้.... ทว่าการที่ข้าต้องนำขุมปัญญาของตนเข้าไปเสี่ยง มันก็นำพามาซึ่งจุดจบได้เช่นกัน”

“ข้า....” ทีลดาโค้งตัวลงต่ำ นางรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิอย่างที่สุด แม้ว่าธิดาเทพไม่ได้เอ่ยปากชมตรงๆ แต่ก็เอ่ยออกมาทางอ้อม

ด้วยสติปัญญาอันแหลมคมของนางนั้นจะเป็นประโยชนน์แก่จอมราชันหรือประมุขที่ศรัทธาแก่ปัญญาแล้ว ก็ยิ่งทำให้เกิดความยินดีที่จะมอบสิ่งตอบแทนล้ำค่าที่นางมีให้แก่ท่านผู้นั้น เช่นนี้นางทาสปราชญ์ผู้นี้จึงยอมถวายแล้วซึ่งปัญญาและความจงรักตราบเท่านาน

“หากการณ์สำคัญเป็นเช่นนั้น ข้าจะปลอมแปลงไปด้วยตัวของข้าเอง เจ้าจงอยู่รอยังวิหาร เมื่อข้ามาถึง ทุกสิ่งอันจะต้องเตรียมพร้อม” คาเรนมิหวั่นเกรงอันใด เพียงเพื่อกำชัยแล้ว เสียเกียรติสักหน่อยจะเป็นไรไป

“ข้าเกรงว่า....”

“อย่ากังวลไปทีลดา ตัวข้าแม้นตกไปอยู่กลางวิหารแห่งนั้น ข้าก็ไม่ดับสลายง่ายดายนัก ถึงอย่างไรข้าก็เป็นถึงธิดาแห่งรัตติกาล” คาเรนพูดแล้วก็กวักมือเป็นการบอกแก่นางทาสว่าทุกข้อความมิต้องการคำเสนออะไรต่อแล้ว

ทีลดาโค้งตัวลงด้วยความภักดี แต่ก่อนที่นางจะได้ปลีกตัว ความกังวลสุดท้ายก็ปรายออกปากนางทาสมาจนได้

“ท่านคาเรน.... จิตที่โกรธามากล้นจะมิอาจเรียกแสงแห่งรัตติกาลมาจุดยังคบเพลิงได้” ทีลดายอบตัวต่ำ นางยอมโดนแส้ฟาดกี่ร้อยกี่พันครั้งก็ย่อมได้ แต่จะมิยอมให้คบเพลิงรัตติกาลจุดไม่ติด เพราะแม่ทัพใหญ่ทั้งสามอาจจบสิ้น

“ข้ามิได้ถาม เจ้าจงไปเสียก่อนแส้นั่นจะฟาดใส่หลังเจ้า” คาเรนปรายตามุ่งร้ายไปยังนางทาส

มิมีใครในที่แห่งนี้จะไม่ทราบถึงความเกรี้ยวกราด เพราะเมื่อเสียงกรีดร้องของทาสคนสนิทดังขึ้นครั้งใด สายฟ้าฟาดยามราตรีก็ปรากฏขึ้นทุกครั้ง

“ยังมิสายถ้าจะพาท่านชาร์น่าออกมาจากที่แห่งนั้น” ทีลดาแม้จะอยู่ในสถานะทาสรับใช้ หากก็ยังยึดติดกับบรรดาศักดิ์ครั้งยังเป็นมนุษย์ นี่แหละที่คาเรนพยามแก้ไข แต่ก็ยังไม่หายได้สักครา นางเอ่ยเรียกทุกคนที่มีศักดิ์สูงกว่าด้วยความนอบน้อม แต่ก็มิเคยปฏิบัติต่ำทรามแก่ผู้ที่มีศักดิ์ต่ำกว่าเลย

“ออกไป” เป็นคำสั่งสุดท้ายที่ธิดาเทพเอ่ย ทาสต่ำต้อยจึงจำใจถอยกลับไป




........................