ทิวาราตรี ตอนที่4

จงมืดมิดชิดใกล้ให้ว้าเหว่ จงเจ้าเล่ห์เพทุบายให้คลายเหงา จงสงบแง้มเสงี่ยมง้ำช้ำซมเซา จงเป็นดั่งเช่นเงาเศร้าตามตัว....

เรื่องใดทำให้ตัวข้าร้อนใจได้เช่นนี้ หอคอยแห่งข้าไม่เคยมีผู้ใดแม้มิตรสหายปราดเปรยเข้ามาเยี่ยม แต่ด้วยเหตุอันใดเล่า พี่ท่านทั้งสองจึงจำตรากตรำลำเค็ญเพียงเพื่อต้องการพบข้าสักเสี้ยววินาที

“ชาร์น่า ข้าเพียงต้องหยุดลงเท่านี้ อีกไม่ช้านาน พี่ท่านทั้งสองจะปรากฏยังห้องกว้างของตัววิหาร จงไปบอกแก่บริวารอื่นให้เตรียมการต้อนรับ”

นางทาสผู้พึ่งได้รับการปราณีจากคาเรนเพียงอึดใจนั้นก็ทำให้นางมีความสุขหาสิ่งใดเปรียบ ทั้งบุคคลที่นางหวังยังฟื้นพลังกายทิพย์ให้นางได้หายขาดจากความเจ็บปวด ชาร์น่าจึงรีบกระตือรือร้นจัดเตรียมการต้อนรับสองผู้พี่แห่งธิดาราตรี

แสงคบเพลิงส่องสว่างหน้าปากทางเข้าก็เป็นที่ทราบดีแก่ธิดาผู้พำนักบนหอคอย หล่อนมองเห็นมาแต่ไกล นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่พี่ข้าไม่ได้ย่างเข้ามายังที่แห่งนี้ แต่ทุกครั้งนั้นก็นำพามาซึ่งความเดือดร้อนให้แก่คาเรนเสมอ จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อสายใยนั้นตัดไม่ขาด

“โอ้น้องข้า....คาเรน เจ้าดูดีขึ้นในทุกคราที่ข้าเจอ ความมืดมนของเจ้านั้นช่างน่าศรัทธา เจ้าว่าเช่นนั้นมั้ยฟาบริส” บุตรชายคนโตกาเอลแห่งความมืดเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวเท้าเข้ามายังห้องรับรองรโหฐาน

“เป็นเช่นนั้นมิเสื่อมคลาย น้องคาเรนของพวกเราสง่างามยิ่งนัก แต่เหตุใดเล่าข้าทาสบริวารนั้น เจ้ามิได้สั่งสมไว้รึ” ฟาบริสพี่ชายคนรองมองไปรอบๆ ห้องโถงขนาดใหญ่

“ข้าชอบสันโดษเสียมากกว่า ข้าทาสเยอะไปมันรกหูรกตา ข้าไม่เหมือนกับพวกท่านหรอกพี่ข้า” แล้วคำพูดนั้นเองก็ทำให้ชาร์น่าถึงกับเผยยิ้มออกมาเป็นที่สังเกตแก่กาเอล

“แล้วจะว่าเยี่ยงไรเล่า หากเจ้ามอบมันให้พวกข้าได้คลายล้าสักหน่อย เจ้าก็รู้นี่ว่าเลือดแกะกับเนื้อวัวนิลบริสุทธ์นั้นมิอาจแบ่งเบาความล้าได้สักเท่าไหร่” กาเอลกับฟาบริสยิ้มกว้าง

ด้วยข้าทาสที่คาเรนเลือก มักจะมาจากดวงจิตมนุษย์ชั้นหนึ่ง หาไม่แล้วนางก็จะส่งพวกมันกลับไปยังที่แห่งเดิม

นางไม่เคยต้องสะสมบริวารให้มากเพื่อสถิตพลังแห่งรัตติกาล เพราะหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นจะได้สิทธิ์และศักดิ์ในการครอบครองพลังทั้งหมดไว้ตราบเท่านาน และการเป็นสายเลือดเดียวกับนาง นั่นก็หมายความว่าต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นแน่แท้

“นั่นเป็นเรื่องที่ข้าจะพินิจ หลังจากที่ท่านทั้งสองบอกแก่ข้าว่าพวกท่านมาที่แห่งนี้ด้วยเรื่องอันใด” คาเรนกอดอก นางมิได้ต้องการฟังคำเยินยอ มิได้ต้องการฟังความต้องการเล็กน้อยเหล่านั้น แต่เรื่องที่นางรอคอยตั้งแต่พี่ทั้งสองก้าวเข้ามา จนมื้ออาหารใกล้ร่วงเลยนั้น ยังไม่ถึงการปรากฏสักครา

“เจ้ายังเป็นน้องสาวที่ตรงไปตรงมาเช่นเดิม” ฟาบริสวางถ้วยอัญมณีประดับลง พิศไปรอบๆ ขอบเขตที่ตัวอาคารจะกว้างถึง

“ออกไปก่อนชาร์น่า” คาเรนออกคำสั่ง

“แน่แท้แล้วน้องข้าถึงสัญญายุติการโจมตีระหว่างรัตติกาลและแสงสว่าง แต่เหตุที่ข้ามาก็ยังคงข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ดี” กาเอลผู้เงียบขรึมขมวดคิ้วคันศรเป็นปุ่มปม ใบหน้านั้นบ่งบอกได้ว่าพี่ใหญ่แห่งเงากำลังเจอเรื่องหนักเข้าให้

“มันมิใช่กองกำลังที่มาจากแสงอัสนี หากแต่เป็นมนุษย์” ฟาบริสทอดถอนใจ

“นี่หรือเหตุที่ท่านมาพบข้า เพียงเพื่อบอกว่าพวกท่านมิอาจปราบปรามกองกำลังมนุษย์”

คาเรนหัวเราะ อะไรกันพวกนี้ จะกี่แสนกี่ล้าน พวกมันก็เทียบชั้นอะไรกับเราไม่ได้เลย

“หาใช่ไม่น้องข้า ที่ข้าไม่อาจล้มมันลงได้ เพราะเหล่าราชาคุมกองกำลังนั้น มิได้อยู่ฝั่งเรา พวกนั้นสวดอ้อนวอนแก่วิหารทวยเทพแห่งแสงนภา ซึ่งยิ่งนับวัน กองกำลังนั้นก็ยิ่งเพิ่มทวี” กาเอลเอ่ยทำให้คาเรนหยุดสีหน้าขำขันเป็นขบคิด

“เหล่าผู้ถวายความจงรักแก่บรรดาเรานับวันยิ่งถดถอย ตัวข้านั้นแม้ดับสูญก็จำต้องทำหน้าที่จวบจนวาระสุดท้าย ห่วงก็แต่บัลลังก์ของน้องข้าจะสั่นคลอน ข้ากลัวว่าถึงเวลานั้น จะไม่มีที่ให้รัตติกาลได้หยัดยืน” เป็นคำพูดที่กระทบแก่ใจผู้ที่ได้ฟัง แม้ว่าฟาบริสจะเป็นพี่คนรองที่น่าเชื่อถือน้อยที่สุด แต่ทุกคำที่มาจากเขาในเวลาคับขัน มักกินใจและสื่อถึงความตั้งใจที่แท้จริงได้เสมอ

“การณ์เป็นเช่นนั้น พวกท่านจึงให้ท่านพี่คาเอลรับหน้าที่อยู่ลำพัง แล้วเดินทางมายังวิหารข้าเพื่อบอกกล่าวรือ มิกลัวว่าพี่สามจะต้านทานไว้มิอยู่หรือไร” คาเรนพอเข้าใจสถานการณ์ ณ ตอนนี้ดี แต่หาใช่เหตุไม่ที่ทิ้งพี่สามไว้รับภาระเพียงลำพัง ตัวแทนจะส่งมาเพียงหนึ่งก็ย่อมทำได้

“เจ้าคงไม่รู้ว่าพวกเราเสียข้าทาสไปมากเท่าไรกว่าจะมาถึงยังเขตวิหารแห่งนี้ ข้ากับฟาบริสจำต้องสละบริวารไปมาก แล้วหากมาเพียงหนึ่ง เกรงว่าน้องข้าอาจต้องเสียพี่ชายไป อย่าห่วงไปกำลังของคาเอลสามารถต้านทานไว้ได้ แต่เราผู้พี่ทั้งสองที่สารวนอยู่กับทัพหน้านั้นรู้ตัวอีกทีก็แทบจะล่มสลาย วิหารถูกเผาทำลายนับสิบ” กาเอลเล่าความอย่างตรงไปตรงมา

“คาเอลเป็นสายเลือดที่ใกล้เคียงกับเจ้ามากที่สุด เหล่าข้าทาสบริวารของเขาย่อมแข็งแกร่งเป็นธรรมดา คิดแล้วช่างน้อยใจเสียจริง” ฟาบริสทำหน้ากึ่งเล่นของเขากลับมาตามเดิม

พี่ชายฝาแฝดเพียงหนึ่งเดียวได้คุมทัพอยู่เบื้องหลัง ณ วิหารเทพแห่งใดมิอาจทราบ คาดว่าเวลานี้เขาคงอ่อนล้าเต็มทน สร้างความร้อนรนให้กับคาเรนยิ่งนัก แม้ว่าอยากก้าวออกไปยืนเคียงข้างเหล่าบรรดาพี่ชาย แต่นั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถทำได้ มิมีใครในรัตติกาลเห็นชอบว่าต้องการให้ธิดาเทพเพียงองค์เดียวออกไปเสี่ยง ด้วยหากพลั้งพลาด ทุกสิ่งเป็นอันจบสิ้น

“หลังเหตุการณ์นี้ พวกท่านจำต้องฟังเสียงเหล่ามนุษย์ให้มาก เล่นกับความสนุกเพียงชั่วครั้งเท่านั้น จิตใจมนุษย์มีแต่ความโลภ พวกนั้นมิยินดีที่จะแลกสิ่งมีค่ามากเท่าไรนักหรอก” คาเรนสยายผม ขมวดมันเล่นเหมือนไม่มีความทุกข์ร้อนอันใด ตรงข้ามกับจิตใจที่หมองมัว

“ข้าเกรงว่าต้องเป็นเช่นนั้น เจ้าเองก็ด้วยใช่มั้ยฟาบริส” กาเอลหันไปมองน้องชายคนรองผู้ที่มักสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนมากที่สุด จะมีก็แต่เหล่าโจรร้ายที่บูชาแก่เขาเท่านั้นแหละ

“ข้ามิสัญญา แต่จะปรับตนให้ดีเท่าที่จะทำได้” ฟาบริสดื่มเลือดแกะเป็นดั่งคำมั่น

“พวกท่านนำคบเพลิงแห่งรัตติกาลไป ค่ำรุ่งพรุ่งนี้ข้าจะจุดมันให้พวกท่านก่อนเดินทางอีกครา” คาเรนลุกขึ้นยืน เป็นอันรู้ว่ามื้ออาหารจบลงเป็นที่เรียบร้อย เธอเบื่อกับพฤติกรรมหลากหลายที่เหนือการควบคุม หากเธอว่าเป็นตัวร้ายที่ร้ายกาจที่สุดแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังใช้สมองในการตริตรองมากกว่าความต้องการของตน เธอรู้ดีว่าทำอย่างไรถึงจะซื้อใจเหล่ามนุษย์ได้ ดังนั้นวิหารรูปเคารพของเธอจึงมีมากสุดในบรรดาน้องพี่และเหล่าทวยเทพแห่งรัตติกาล ด้วยความที่เธอเป็นประมุข นั่นยิ่งทำให้แทบทุกเมืองจำต้องสร้างวิหารศักดิ์สิทธ์ทั้งสองไว้คนละฟากฝั่ง

“ช้าก่อนน้องพี่ เจ้าลืมสิ่งใดหรือไม่” ฟาบริสยิ้มกว้างเป็นสองเท่า ดูเหมือนเขาจะหวาดกลัวการแพ้พ่ายน้อยกว่าสิ่งที่ต้องการเสียจริง

“ทาสบริวารของข้า จงออกมา” คาเรนเอ่ยเรียบนิ่ง เหล่าบรรดาข้าทาสต่างทยอยเดินมายืนอยู่เบื้องหน้า มิได้มีมากมายนับร้อย เพียงแค่หลักสิบเท่านั้นที่เธอมี แต่ข้าทาสเหล่านี้ถูกกลั่นกรองมาจากมนุษย์ชั้นหนึ่ง ไม่ดีอย่างก็ดีอย่าง นางผู้เลอโฉม ผู้ปราดเปรื่อง ผู้เก่งกล้า หรือแม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ เหล่านี้ที่ยอมถวายความจงรักภักดีวาระสุดท้ายแก่ธิดาเทพ หรือบ้างเป็นเพียงแค่กลลวงที่ถูกล่อหลอกมาเท่านั้น

“เลือกเพียงหนึ่ง” คาเรนกล่าว แม้จะเบื่อหน่ายกับการเล่นสนุกของพวกพี่ชาย แต่ถ้านี่หมายถึงการต้อนรับที่ดี เธอควรจะทำ เพราะกำลังจากพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ความมืดมิดแห่งรัตติกาลยังคงอยู่

“ข้าเลือกโฉมงามนางนั้น” ฟาบริสรีบชี้ไปยังทาสสาวที่เขาต้องการ นางมีสีหน้าอมทุกข์ในทันที แน่แท้แล้วว่าคาเรนใช้อุบายหลอกนางมาเป็นบริวารได้สำเร็จ คงมิใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไรที่จะแบ่งนางให้กับเหล่าแม่ทัพรัตติกาล

“เลือกได้ดีพี่ข้า นั่นเอเรน่า จงใช้นางดังที่ใจท่านปรารถนาเถิด ดื่มด่ำความทุกข์ทรมานให้เพียงพอ เพราะค่ำรุ่งพรุ่งนี้ท่านต้องคืนนางแก่ข้า หายากเช่นนี้ ข้าคงไม่อาจยกให้ได้ทันทีหรอก” คาเรนหัวเราะ เธอซึมซับเสียงร่ำไห้จากก้นบึ้งหัวใจข้าทาสนางนั้น ผู้ที่ถูกล่อลวงมา และอาลีธาก็จะเป็นอีกหนึ่งที่เธอต้องการ

“แล้วท่านล่ะพี่กาเอล ข้ายังมีทาสงดงามอีกหลายให้ท่านเชยชม ท่านไม่ถูกใจเลยรึ” คาเรนเห็นกาเอลทำหน้าครุ่นคิด ดูเหมือนเขากำลังตัดสินใจเลือกได้ยากนัก หากก็ไม่ได้ยากมากถ้าปราดตามองเร็วไว เพราะข้าทาสของธิดาเทพไม่ได้เยอะเท่าไรเลย

“ข้ารู้ว่าเจ้ามีจิตคิดเสียดาย รู้ว่าเจ้าไม่ชอบใจที่จะใช้บริวารร่วมกับใคร อีกทั้งข้ายังไม่ได้เป็นเช่นฟาบริสที่มักใช้ของๆ ผู้อื่นได้โดยไม่ตะขิดอันใด” กาเอลเหลือบแลไปทางฟาบริสที่กำลังกระชากร่างทาสสาวเคราะห์ร้ายเข้ามาใกล้

“พี่ท่านก็เกินไป ข้ามิได้เป็นเช่นนั้นเสียหน่อย เพียงแต่ข้าแค่อยากคลายล้า ก่อนเดินทางวันรุ่งก็เท่านั้นเอง” ฟาบริสฉุดกระชากแขนนั่นอีกครั้งจนต้องแก่รอยแผล

“งั้นท่านคงจะมิเลือก ข้าขอตัวไปอัญเชิญคบเพลิงก่อน....” คาเรนโบกมือเป็นเชิงให้ข้าทาสทั้งหมดกลับไปยังที่พักพิง

“ช้าก่อนน้องข้า หากไม่เป็นการทำให้เจ้าเคืองใจ....ข้าขอเลือกนางผู้นั้นที่ยืนเปล่งประกายอยู่ข้างเจ้า” กาเอลชี้ไปยังทาสสาวผู้ติดตามคนสนิท

ความมืดค่อยๆ ปกคลุมทั่ววิหารอย่างเชื่องช้า เป็นสัญญาบอกกล่าวว่านางผู้ปกครองกำลังพิโรธ หากแต่ไม่เป็นที่สังเกตแก่ผู้ใดที่มาเยี่ยมเยือน ดวงตาดำสนิทเช่นนิลแห่งเถ้าถ่านเหลือบแลไปยังทาสสาวข้างกาย

ชาร์น่าผู้โง่เขลามีสีหน้าประหวาดหวั่น รอบดวงตามีหยาดน้ำประปรายคล้ายกับจะร่วงหล่นได้ทุกเมื่อที่ได้รับคำตอบจากคาเรน ทาสสาวนางนี้แตกต่างจากบริวารอื่น นางเข้ามาติดตามธิดาเทพด้วยเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เหตุผลที่ต่างโดยสิ้นเชิง ทาสอื่นใดอาจสมัครใจรับใช้ หรือไม่สมัครใจเลยก็ตาม แต่มิได้มีเจตนาแรงกล้าเช่นเดียวกับชาร์น่านางนี้

“โอ้ ดูเหมือนท่านจะเลือกของโปรดปรานของน้องเราเข้าให้แล้ว แต่ข้าคงต้องขอตัวก่อนพี่น้องข้า” ฟาบริสจงใจลากจูงผู้ที่ตนเลือกตรงไปยังห้องรับรอง เขาก็ชักไม่แน่ใจว่าอยู่ในเหตุการณ์นั้นต่อไปจะได้เจอะกับความโกรธเกรี้ยวของธิดาเทพหรือไม่ เพราะดูเหมือนกาเอลตั้งใจจะยั่วยุผู้เป็นน้อง แต่กาเอลคงลืมสังเกตบรรยากาศรอบกายไปว่ามันคล้ายจะหมองหม่นในทันควัน

“ว่าอย่างไรคาเรน ให้พวกข้าเลือกแล้วมิใช่รือ น้องข้า” กาเอลยืนกอดอกมองดูความนิ่งสงบของน้องสาว ความอำมหิตฟุ้งกระจายไปทั่ว มิรู้ว่าเพราะทาสคนสนิทนี้รึเปล่าที่ดลบันดาลให้น้องเขาใกล้พิโรธ หรืออาจเป็นแค่ความหวงของ

“แน่นอนพี่ท่าน....ชาร์น่า เจ้าจงไปกับพี่ข้าในราตรีนี้” หามีใครได้ทันสังเกตเห็นเหมือนที่พี่ชายได้รับรู้ไม่ มือของธิดาเทพกำแน่น ก่อนจะสะบัดหน้าเดินห่างออกไป

“ตามข้ามาเจ้าทาส” เขาออกคำสั่ง ทว่านางทาสผู้หมดอาลัยกลับยืนนิ่งสนิทไม่ไหวติง กลิ่นไอความสิ้นหวังโอบล้อมตัวนางไว้ แม้น้ำตาที่ร่ำไห้ก็ไม่สามารถทำให้ผู้เป็นนายหันกลับมาได้เลย

เพี๊ยะ! เสียงร่างของทาสสาวกระเด็นไปยังฝาผนัง มันดังกึกก้องจนคาเรนต้องหันกลับมามอง ถ้าไม่เพราะสบตาเข้ากับนางทาสผู้ต่ำต้อย เสียงฟ้าผ่าดังลั่นคงไม่บังเกิด พสุธาพายุโดยรอบต่างสั่นไหว หาใช่แค่ม่านบดบังของวิหาร แต่เป็นดินแดนของเหล่ามวลมนุษย์ก็เริ่มแปรเปลี่ยนด้วยเช่นกัน

“นางทาสผู้นี้ไม่ฟังคำข้า เจ้าว่าอย่างไรล่ะน้องข้า มันสมควรแก่การถูกลงทัณฑ์แล้วใช่หรือไม่” จากการยั่วยุเล่น กาเอลกลับทำให้เรื่องนี้จบยากเข้าไปอีก

“ข้าสั่งเจ้าว่าอย่างไรชาร์น่า” คาเรนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“แต่ท่านคาเรน ข้าไม่อาจ....” ทาสสาวผู้ต้อยต่ำหมอบยืนกรานอยู่กับพื้น แววตานางดูสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด หากตายได้อีกครั้ง คงเป็นสิ่งที่นางจะทำ

“ถ้านั่นจะเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการ ก็จงกลับไปวนเวียนยังที่ๆ เจ้ามา....” แต่ก่อนที่ธิดาเทพจะได้เริ่มร่ายคาถา ทาสผู้โศกาก็ลุกขึ้นปาดน้ำตาก้มหัวให้แก่กาเอล

“ดีมาก ตามข้ามา” กาเอลหัวเราะลั่น ซึ่งเป็นน้อยครั้งนักที่จะได้ยินจากพี่ใหญ่ ปกติน่าจะเป็นฟาบริสเสียมากกว่า

ทว่าบุตรชายแห่งความมืดหารู้ไม่ว่าแววตาเกรี้ยวกราดชิงชังได้ถูกมองจวบจนที่เขากับทาสนางได้เดินลับหายไป คาเรนก็มิทราบว่าเหตุอันใดความเสียดายจึงได้มีมากมายเช่นนี้ และเหตุอันใดทาสนางนี้สั่นคลอนความแข็งแกร่งแห่งข้าได้



........................




ยิ่งกว่าคำวิงวอน ยิ่งกว่าคำร้องขอ ยิ่งกว่าวันเวลาอันมีค่าใด มีมนุษย์โง่เขลานางหนึ่งนำสิ่งมีค่ามากมายมาถวายให้กับวิหารแห่งธิดาราตรี....

แกะดำหายาก วัวนิลดำขลับ ซ้ำยังอัญมณีเลอค่าหลายชิ้น บันดาลความสงสัยแก่ข้าในทุกคราที่นางมา เพราะไม่มีแม้แต่คำขออันใดออกจากปากนาง ทั้งยังเต็มไปด้วยข้าวของแห่งบรรดาศักดิ์ชั้นสูงจากที่หลายหลากแห่งนำมาถวายให้กับบุตรสาวของกษัตริย์

คาเรนที่ทิ้งร้างเรื่องความเอะใจในจิตมนุษย์ยังถึงกับต้องเอ่ยปากถามแก่ทาสผู้ลำเลียงเครื่องบรรณาการ

“เหตุใดนางผู้นั้นจึงถวายของมากมายให้ข้า มีคำขอใดที่นางต้องการรือ” หากแต่ทุกครั้งที่เอ่ยถาม ธิดาเทพก็จะได้คำตอบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“มิมีคำขอใดจากนางผู้นั้นหรอกนายท่าน นางเพียงต้องการมอบสิ่งเหล่านั้นให้แก่ท่านเท่านั้น” มันเป็นเช่นนั้นเรื่อยมา จนวันหนึ่งความใคร่รู้ก็มีมากพอให้ข้ารอนแรมกายไปยังราชวังแห่งนั้น ใช้เล่ห์เพทุบายจนเข้าออกวังได้ดังตั้งใจ ลงทุนลงแรงเสาะหาความจริงด้วยตนเอง สาวสูงศักดิ์ผู้มีใบหน้างดงามนั่น เหตุใดจึงไม่มีคำอ้อนวอน

“ทะ ท่าน เข้ามาที่นี้ได้อย่างไร” ชาร์น่าตกใจเมื่อเห็นผู้บุกรุกที่มีผิวกายเจิดจรัสท่ามกลางแสงแห่งดวงจันทร์ นางดูลึกลับและมีเสน่ห์ในคราเดียวกัน

“พ่อเจ้าอัญเชิญข้าให้เข้ามาได้.... แต่อย่าหวั่นใจไป ข้ามิได้มีเรื่องสลักสำคัญอันใดกับเจ้านักหรอก เพียงแต่ใคร่ถามความบางอย่างเท่านั้น” คาเรนเดินออกไปยังรั้วกั้นภายนอกเพื่อชมแสงจันทร์แห่งรัตติกาล และเพื่อมิให้หญิงสาวในห้องต้องหวาดกลัวแก่เธอ

“ท่านคงเป็นธิดาแห่งค่ำคืน แล้วท่านสงสัยสิ่งใด” มิใช่นางผู้นั้นจะประหวั่น แต่น้ำเสียงและท่าทีกลับดูดีใจมิน้อยที่ได้เดินตามธิดาเทพมายืนชมแสงจันทร์เคียงข้าง

คาเรนมิได้สัมผัสถึงความล้มเหลวหรือท้อถอยอันใดในจิตใจนางผู้นี้ มันช่างขาวสะอาดเสียจนน่าหมั่นไส้ นางมีความหวังที่แรงกล้า แล้วก็เหมือนการที่ตัวข้าได้เข้ามายืน ณ ตรงนี้ ก็ยิ่งทำให้ความหวังนั้นทอประกาย

“เจ้าต้องการอะไรจากวิหารแห่งข้า” แปลกที่ครานี้เป็นธิดาเทพที่หลบตา แต่มิใช่จะเป็นที่สังเกต เพราะข้ออ้างอันดีนั้นก็คือแสงจันทร์เฉิดฉาย มันน่าดูชมเสียยิ่งกว่าสิ่งใด หากผู้ที่ยืนข้างเคียงจะสนใจมันสักหน่อย

“ข้ามิได้ต้องการสิ่งใดจากวิหารแห่งนั้น ตัวข้ามิได้มีความทุกข์ร้อนอันใด มิได้ชิงชังในสิ่งไหน ข้ามีเพียงความหวังหนึ่งเดียวเท่านั้น แม้ว่ามันจะไม่เป็นจริง ข้าก็สุขใจที่ได้หวัง” ดวงตานั้นทอประกายชัดเจน

น่าแปลก น่าแปลกยิ่งนัก คำพูดวกวนของมนุษย์มิเคยทำให้ข้ากระหายรู้เช่นนี้มาก่อน คาเรนพยามคิดเล่ห์หลอกล่อเพื่อนำนางนี้ไปเป็นทาสแห่งวิหาร เพราะเมื่อถึงครานั้น บางทีเธออาจเปลี่ยนใจให้นางผู้นี้มีความระทมทุกข์ขึ้นมาบ้าง ไม่แน่ว่าความหวังแรงกล้าจะพังทลายลง

“ข้าช่วยเจ้าได้หรือไม่ หากได้เจ้าจงรีบบอกความปรารถนานั้นมาเถิด” ข้ายิ้มเป็นประกายแก่ชาร์น่าผู้ที่มิเคยละสายตาออกห่างธิดาเทพเลยตั้งแต่นางก้าวเข้ามาในห้องแห่งนี้

“ข้าจะมิร้องขออันใดแก่ท่าน เพราะข้ามิมีสิ่งใดล้ำค่าคู่ควรแก่คำอ้อนวอนนั้น....แค่โปรดนำพาข้าไปกับท่านด้วยเถิด” หญิงสาวงดงามคลี่ยิ้ม แม้สักนิด นางก็มิอาจละสายตาจากธิดาเทพได้ นางทำได้เพียงเฝ้ารอวันเวลายาวนานที่หญิงสูงศักดิ์จะปรากฏกายแก่นางอีกครั้ง

แล้วครั้งนี้ก็เกินคาดหวัง ธิดาผู้มาพร้อมรัตติกาลยืนอยู่ข้างกายแล้วในตอนนี้ จะมีสิ่งใดต้องกลัวอีกเล่า ต่อให้ความตายนั้นก็มิอาจกั้นขวางแรงหวังของเธอได้ ทั้งผู้เป็นบิดายังไม่อาจขัดขวางความรู้สึกของเธอได้ กษัตริย์ที่รักธิดาและโอรส จึงทำตามความต้องการของบุตรทุกคนอย่างเต็มที่

“ถ้าเจ้าจะขอเช่นนั้น” คาเรนแสยะยิ้ม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชาร์ตกใจหรือหวาดกลัวแต่อย่างใด นางมิสนท่าทีอื่นใดนอกจากแววตาของธิดาเทพ

เจ้าทำให้ข้าใคร่รู้ชาร์น่า ข้าแปลกใจเหลือเกิน มนุษย์นางนี้เลือกความตายเพื่อเดินทางสู่วิหารแห่งข้า.... มีผู้ใดบ้างที่ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง กระทั่งชะตาชีวิตที่แสนสุขสบาย เพื่อเดินตามข้า

แล้วในวันรุ่งก็เกิดพิธีอันยิ่งใหญ่ ก้องกังวานสะท้านไปทั่ววิหารแห่งทวยเทพ บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ กระทั่งกษัตริย์และราชินีเองก็ยังมาร่วมยินดีกับพิธีนี้ อาจเปื้อนปนด้วยจิตโศกาอาดูร แต่ด้วยความปรารถนาแรงกล้าของเจ้าหญิง ก็มิมีใครขัดขวาง

“จงเดินไปยังเส้นทางที่เจ้าปรารถนาเถิดชาร์น่า.... ธิดาแห่งข้า” คำสั่งลาครั้งสุดท้ายของกษัตริย์ แม้จะมีหยาดน้ำใสไหลอาบใบหน้า หากก็มีรอยยิ้มสุขใจตอบรับเช่นกัน

ชาร์น่าบรรจงดื่มหยดน้ำยาและหลับใหลลงตลอดกาล ร่างกายเปลือกนอกของนางได้ถูกฝังไว้ ณ วิหารแห่งรัตติกาล ที่ๆ ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดได้รับเกียรติอันภาคภูมิเท่านี้มาก่อน....




........................