ฉันก็แค่... ตอนที่9

หลังจากอาบน้ำนอนพักมาสักงีบหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย ความหิวของเธอก็เริ่มกำเริบขึ้นอย่างช้าๆ ทว่าสมองก็ยังสั่งการความขี้เกียจให้นอนอืดอาดอยู่นานสองนาน ก่อนจะลุกขึ้นยืนทรงตัวตั้งฉากกับพื้นผิวห้องได้สำเร็จ 

และแล้วเธอก็ยิ้มออกมาน้อยๆ นึกถึงมื้อเช้าที่แสนอร่อยจากเพื่อนใหม่ ใช่แล้วธาดายิ้มอยู่กับตัวเอง ไม่ทราบว่าอีกคนจะมีความสุขเหมือนกับเธอมั้ย แต่เธอมี และมันก็ช่างดีจริงๆ ถ้าไม่มีบางอย่างกระซิบเบาๆ ว่า....ติ๊ดๆ

‘คิดถึง อยากไปหา’ 

บางสิ่งบางอย่างที่พ้นผ่าน มันกำลังจะกลับมาให้โหยหา เธอสะอื้นก้อนน้ำตาออกมาอีกครั้ง วางเครื่องมือสื่อสารลงที่เดิม 

ใช่ว่าเธอไม่คิดถึง ใช่ว่าเธอไม่อยากพบเจอ หากการเจอในครั้งนี้ อาจจะทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นอย่างเดิม มันคงเจ็บปวดไม่น้อย คราวนี้คงเป็นเธอเองที่ทำใจไม่ได้

ความสดชื่นเบิกบานหายไปจากใบหน้าที่กำลังโศกเศร้า เธอพาตัวเองมานั่งซึมอยู่ที่โต๊ะอาหาร รู้สึกอิ่มจนไม่อยากกินอะไร แต่นึกถึงคำพูดของคุณหมอคนเมื่อเช้า การกินอาหารให้ครบสามมื้อดีที่สุด อะไรก็ได้ขอให้กินๆ เข้าไปเถอะ แบบนี้ก็แปลว่าเธอกินแค่น้ำก็ได้น่ะสิ ว่าแล้วก็รินน้ำแร่มาดื่มไปแก้วหนึ่ง

ไม่เจริญอาหารสักเท่าไหร่ บางทีการไปหาเพื่อนคุยบ้างก็คงจะดี ไม่ต้องมานั่งเวิ่นเว้ออยู่ในห้องเวิ้งว้างนี่คนเดียว มันยิ่งทำให้เธอคิดฟุ้งซ่าน แทบจะดิ้นพล่านๆ กลับไปหาใครบางคนที่ส่งข้อความสั้นๆ แฝงความหมายมากมายมาให้เธอ

ป่านนี้คนที่เธอรักจะทำอะไรกันหนอ คงไม่ใช่เธอคนเดียวที่มีความรู้สึกคิดถึงอยู่ในใจ ช่างทรมานเสียเหลือเกิน ใครก็ได้เอาความรู้สึกนี้ออกไปที 

ปัง! พยาบาลสาวปิดประตูห้องลง เพียงแต่ตอนนี้เธอออกมาจากห้องเงียบๆ นั่นแล้ว กำลังเดินขึ้นบันไดไปยังที่ไหนสักแห่ง คิดว่าจะไปหาคุณหมอคนใหม่นั่นแหละ ชวนหาอะไรกินสักหน่อย ไม่ก็ว่าจะพาไปร้านอร่อยๆ แถวนี้ 

เดาว่ามาริสาคงไม่ปฏิเสธ ว่าแล้วก็เคาะเรียกเลย รอนานมากมายก็ไม่มีใครออกมาเปิดประตูให้สักที หรือว่าเจ้าของห้องอาจหลับอยู่ อย่ากระนั้นเลย ธาดากดโทรศัพท์หามาริสาในทันที

“อยู่ไหนเหรอจ๊ะ จะชวนไปกินอะไรสักหน่อย” เธอกรอกเสียงหวานไพเราะลงไป

“ออกมาข้างนอกแล้วล่ะ พอดีคุณนภัสชวนไปเที่ยว ไปด้วยกันมั้ย” มาริสาตอบกลับมาทำนองว่าไม่ว่างแล้ว คงออกไปนานพอสมควร เลือกไม่ตามไปจะดีกว่า  

“ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันย่ะ เที่ยวไปเลย ชิ” เธอทำเสียงตัดพ้อเล่นๆ ไปหาข้าวกินคนเดียวก็ได้ว้า เซ็งจัง

“พรุ่งนี้ก็ได้ หาคนเลี้ยงข้าวอยู่พอดี อิอิ” คุณหมองบน้อยบอกแบบไม่อยากพลาดอาหารเย็นวันพรุ่งนี้

“ย่ะ ไปละ” เธอกดวางก่อนมาริสาจะได้ตอบอะไร พลางถอนหายใจที่ความเวิ้งว้างเริ่มกลับเข้ามาอีกครั้ง 


........................


และยังไม่ทันจะเดินออกประตูห้องมาได้ธาดาก็เจอเข้ากับใครบางคน ที่เดินมากับใครบางคนมากกว่าหนึ่งคน หนึ่งในนั้นคือป้าเฝ้าหอผู้ซึ่งทำตัวลึกลับตลอดเวลานั่นเอง 

ทั้งสามหันมาทางเธออย่างกึ่งเป็นมิตร แต่อีกกึ่งหนึ่งเธอบอกไม่ได้ว่ามันคือการคุกคามหรือสัมผัสบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์เอาเสียเลย

“สวัสดีค่ะ ฉันเป็นแม่ของมาริสา เธอเป็นเพื่อนเค้าหรือจ้ะ” น้ำเสียงดูเหมือนจะสื่อความเป็นกันเองที่น่าหวาดหวั่น ทำไมต้องเน้นย้ำรังสีความน่าสยดสยองถึงขนาดนั้นก็ไม่รู้

พยาบาลสาวไม่เข้าใจว่าลูกไม้ช่างหล่นไกลต้นยิ่งนัก แม่อีกอย่างลูกอีกอย่าง จากที่เคยได้ยินเกี่ยวกับครอบครัวนี้มา ดูเป็นคนดีมีจิตการกุศล คอยช่วยเหลือและบริจาคเงินตามโรงพยาบาลต่างๆ

ไหงวันนี้มาเจอตัวจริงกลับดูร้ายกาจยิ่งล่ะ คุณสมรศรี จิตแพทย์หญิงนางนี้เหมือนกับผู้ที่มีพลังจิตอันเหี้ยมโหด 

กล้าแกร่ง คุกคามและน่ากลัวเหลือเกิน ธาดาค่อยๆ ยกมุมปากขึ้นให้ดูคล้ายการยิ้มแย้ม กล่าวคำสวัสดีพร้อมกับยกมือไหว้ 

“สวัสดีค่ะ ฉันธาดา เป็นเพื่อนมาริสาค่ะ” เธอเห็นหล่อนรับไหว้ด้วยสายตาที่ไม่คลาดเคลื่อนไปจากตัวเธอเท่าใดนัก หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว มองแล้วมองอีก คล้ายมีอะไรติดที่ตัวเธอ

“อะไรเหรอคะ” อะไรกันยะ นั่นแหละที่เธอต้องการจะถาม

“ฉันขอตัวไปพบลูกก่อน ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” แต่ละคำที่นางพ่นออกมาช่างดูงามงดชดช้อย ไม่ต่างจากเครื่องประดับวาววับราวกับปลอกคอ เอ้ย! สร้อยคอ สร้อยที่ตีบวกด้วยเลื่อมปักประดับบนชุดผ้าไหมวิ้งๆ เป็นประกาย ไฮโซสมชื่อจริง ผิดคลาดตรงที่คิดว่าน่าจะใจดีกว่านี้

“สาไม่อยู่หรอกค่ะ ออกไปเที่ยวกับเพื่อนค่ะ” ค่ะๆ ถึงสองคำ และทุกครั้งที่ลงท้ายประโยค มันจะได้ดูสมราคาหน่อยที่คุยอยู่กับท่านผู้หญิงไฮโซ

“หนูว่าเพื่อนเหรอจ๊ะ เพื่อนที่ไหน....แล้วสนิทกับลูกฉันแค่ไหนคะ ถึงเรียก สา เฉยๆ” คุณแม่ของคุณหมอรัวคำถามมาเป็นชุด รังสีที่ว่าอำมหิตในมาดความดูดีแผ่กลับมาอีกครั้ง ธาดาถึงกับผวากลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ไม่น่าไปบอกเลย ภายในลำไส้เริ่มบิดเกร็งด้วยความหิวปนหวาดหวั่น ทำให้เกิดเสียงไม่น่าพิสมัย 

โครกคราก....จิตแพทย์หญิงหรี่ตาจ้องมายังเธอ ด้วยความเคารพนะคะ ดิฉันไม่ได้ต้องการให้เสียงอันดูไร้มารยาทเช่นนี้บังเกิดเป็นคลื่นไปกระทบโสตประสาทคุณท่านหรอกค่ะ เธออยากกล่าวขอโทษเป็นพิธีรีตองให้มากกว่านี้ ทว่าท่านผู้หญิงไฮโซกลับชวนด้วยคำไพเราะแสนดี

“ทานข้าวกันหน่อยมั้ย ฉันกำลังจะไปร้านอาหารอยู่พอดี” คุณแม่เพื่อนผู้น่ารักเอ่ยชวนอย่างมีมารยาท พร้อมกับการคุกคามทางสายตา จิตวิทยา ฯลฯ จนธาดาปฏิเสธไม่ได้ไปแล้วกว่า 90% 

แย่แล้ว ฉันกำลังทำอะไรอยู่นี่ ราวกับว่าโดนสะกดจิต ธาดาเดินตามคุณแม่ของเพื่อนไปพร้อมกับชายใส่สูท และป้าเฝ้าหอที่แยกย้ายไปก่อน มันก็ช่างกระไรที่คนขับรถใส่สูทนั้นดูดีราวกับเป็นเจ้าชาย หล่อนคงชอบอะไรที่สมบูรณ์แบบเป็นแน่ ประมาณว่าให้เจ้าชายขับรถคันขาวให้ตัวเองนั่ง 

“จะไปไหนกันเหรอคะ” 

ได้สติมาหน่อยเธอก็รีบถามก่อนรถจะแล่น เสียดายที่ช้าไปนิด ไม่งั้นธาดาคงรีบโดดออกรถ

“ห้องอาหารในโรงแรมที่ฉันมาพักจ้ะ” หล่อนดูผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย จนเธอไม่กล้าขัดจังหวะ ได้แต่นั่งดูคุณหมอผู้มีอายุหลับตาเอนกับเบาะรถ 

คงจะเหนื่อยจากการทำงาน แต่ทำไมยังทำเก็กนั่งหลับตาท่าผู้ดีได้อยู่นะ เป็นเธอคงไม่มานั่งชวนเพื่อนลูกไปกินข้าวหรอก จะหาที่หลับสบายๆ อยู่ไหนสักที่มากกว่า

ธาดาเลือกเงียบตลอดทางจะดีกว่า หากพูดอะไรออกมาคงเป็นการรบกวน อีกอย่าง แค่อ้าปากก็เหมือนหล่อนสามารถลากลิ้นไก่เธอมาวิเคราะห์พิจารณาจนทะลุปรุโปร่ง ไม่รู้ว่าสามารถอ่านใจคนได้เลยมั้ยเนี่ย ช่างน่ากลัวดีแท้ 

แต่จะว่าไปหล่อนก็ไม่ได้ทำอะไรให้เธอเลยสักอย่าง ทำไมหนอทำไม กลับรู้สึกกดดันจนแทบระเบิด หรือเธอดันไปทำอะไรผิดเอาไว้ ก็ไม่น่ามี หวังว่าคงไม่เผลอไปทำไว้ล่ะนะ

รถขาวคันใหญ่เลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้าในใจกลางเมืองที่รถไม่ติดมากนัก คนไม่ค่อยสังเกตกันเท่าไหร่ เพราะแผ่นฟิล์มมืดดำที่ติดบังแสงจนเกือบหมด จะมีก็แต่เธอที่มองสิ่งรอบข้างผ่านขอบหน้าต่างไปทีละอย่าง รถคันน้อยถูกแซงขึ้นไปจนไม่ติดฝุ่น จักรยานยนต์คงไม่สามารถแซงรถคันนี้ได้เช่นกัน ส่วนจักรยานคันนั้น หากไม่รีบย้ายจากการกลางเลนถนนคงมีหวังได้ถูกปาด

จริงดังคาด คนขี่จักรยานถูกปาดหน้าไปแบบเฉียดฉิว โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าความผิดส่วนใหญ่มาจากการพยามจะปั่นเพื่อกินลมชมวิวใจกลางเมือง เขาจะรู้มั้ยหนอว่าการบ่นขมุบขมิบด่าว่ารถคันใหญ่นั้น สาเหตุมาจากความเห็นแก่ตัวเล็กๆ ของเขาเอง ดีนะที่การปาดครั้งนี้ ไม่ได้มีอุบัติเหตุอันใดเกิดขึ้น แต่มันก็ทำให้หวาดเสียวใช่เล่น 

ธาดากลั้นหายใจไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ผ่อนมันออกมาแบบโล่งใจที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กริยาของเธอเป็นที่สังเกตของผู้หญิงมีอายุอีกคนที่อยู่ตรงข้ามของเบาะรถ 

“ตกใจเหรอคะ” คนหลับถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อันที่จริงได้ตกใจจริงๆ ก็คราวนี้แหละ

“อุ้ย” ธาดาหันกลับมาหาต้นเสียงภายในรถ

“เป็นอะไรรึเปล่า” คุณหมอเอ่ยด้วยท่าทางนิ่งสงบ มีแต่พยาบาลสาวที่สายตาเป็นกังวลด้วยเหตุอันใดไม่อาจทราบ

“เปล่าค่ะ แค่นึกว่าคุณสมรศรีหลับอยู่” ใช่สิคะ หลับตาปริบๆมาตลอดทาง ใครจะนึกว่าคุณหล่อนแม่จะตื่นขึ้นมากะทันหันแบบนี้

“ใกล้ถึงแล้วค่ะ ฉันเลยตื่นน่ะ รถจักรยานเมื่อครู่ไม่น่าขี่แบบนั้นเลยนะคะ เห็นแล้วอันตราย” เหมือนคำชวนคุยทั่วไปที่ธาดาก็ยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องเลือกเธอมาคุยด้วย แอบอึดอัดอยู่นะยะ

“ค่ะ อุบัติเหตุเกิดบ่อย คนประมาทกันเยอะ” ธาดาบอกกลับเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่เจอะเจอแทบจะทุกวัน 

แล้วก็เกิดความเงียบจนรถได้ดับเครื่องยนต์ลงให้หญิงไฮโซเดินนำทางเพื่อนของลูกสาวซึ่งเดินตามต้อยๆ อย่างเสียไม่ได้ เธอแอบสังเกตบรรยากาศรอบๆ มันไม่ใช่โรงแรมธรรมดาแบบที่เธอไปพัก หรือคนทั่วไปเลือกพัก สงสัยว่าครอบครัวมาริสาจะรวยกว่าที่เธอคิดจริงๆ หรืออาจจะมากกว่าที่คิดเสียด้วยซ้ำเมื่อเมนูอาหารได้ถูกเปิดออก....

ซีดดด เป็นคำเดียวที่บรรยายลักษณะความขาวของไก่ต้ม แต่ตอนนี้มันบรรยายลักษณะหน้าเธอได้ด้วย อะไรกัน ก๋วยเตี๋ยวจานละพันกว่า ผัดผักอะไรจานแปดร้อยต้นๆ ไปเก็บผักมาจากสวรรค์รึยังไงกันยะ แอร๊ยยย ถ้ากินแบบนี้ทุกวัน ได้โดนฟ้องล้มละลายแน่ๆ หนี้สินเธอคงบานตะไท 

ดูคนพาเธอมาสิ ยังสั่งเอาๆ ได้อย่างหน้าตาเฉย ฉันไม่มีจ่ายนะคะ พามาก็เลี้ยงด้วยละกัน ถึงคราที่พนักงานสุดแสนจะไฮโซพอๆ กับสถานที่หันมาถามเธอ ธาดาเลยตอบไปแค่ว่าขอข้าวเปล่ากับน้ำเปล่าแล้วกัน เพราะไม่รู้จะสั่งอะไรอีก คุณแม่ของเพื่อนเลยคะยั้นคะยอให้เธอเลือกเอาสักอย่างจนได้

เอาละว้า ให้เลือกก็เลือก อันนี้แหละ....ผัดผักบุ้ง สี่ร้อยปลายๆ หึหึ ถูกที่สุดในสามโลก เอ้ย ถูกสุดในเมนูอาหารมื้อนี้ละ ถ้าไม่นับข้าวเปล่าโถละสามร้อยนั่น กินแล้วคงบินไปสวรรค์ได้ ทำเอาเธออิ่มทิพย์ขึ้นมาอีกซะงั้น

“ไม่ต้องเกรงใจนะคะ” อ่านะ ฉันไม่ได้เกรงใจหรอก เพียงแต่เกรงเงินต่างหาก ใจคอมื้อนี้จะกินเป็นหมื่นเลยรึ กินสามสี่มื้อก็เงินเดือนฉันทั้งเดือนแล้วนะยะ

“ค่ะ” เธอไม่ได้บอกสิ่งที่คิดหรอก เพียงแต่ ค่ะ ไม่ให้ดูเสียมารยาทก็เท่านั้น

....เงียบ.... เกิดความเงียบอีกครั้งระหว่างรับประทานอาหาร ธาดารู้ตัวเลยว่ากินได้ไม่มาก มีบางอย่างที่ทำให้เธอไม่อยากกลืนอาหารลงคอ นั่นก็คือความใจดีที่ดูไม่สมเหตุสมผลนั่นเลย ไม่มีความจำเป็นอะไรที่คุณหมอคนนี้ต้องพามาเลี้ยงอาหารในที่แพงๆ เช่นนี้ ทั้งยังอาการยิ้มแย้มให้ดูเหมือนใจดี ทว่ามันตรงข้ามซะเหลือเกิน เธอรับรู้ได้ จากการสัมผัสคนไข้มากมายนับสิบทุกๆ วัน ธาดาก็รู้ว่าใครกำลังโกหกอยู่ บางรายโกหกว่าไม่เจ็บปวดแล้ว ทั้งๆ ที่มันแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดแจ่ม อย่างเช่นคุณป้าคนนี้ นางกำลังใช้จิตวิทยาสักอย่างกดดันเธออยู่ ซึ่งมันก็ได้ผลดีทีเดียว 

“คุณสมรศรีคะ” 

เธอรวบช้อนส้อมวางลงที่จาน ไม่ได้เป็นการรวบว่าอิ่ม แต่รวบให้ดูเหมือนว่ามีเรื่องสำคัญที่อยากจะคุยมากกว่าการรับประทานอาหารไปอย่างเงียบๆ 

ธาดาสูดหายใจเข้าลึกๆ แม้ว่ามันยากลำบากที่จะพูด หากแต่มันก็น่าจะทำให้เรื่องทุกอย่างคลี่คลายปมได้ ก็คงดีไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาโดนวิเคราะห์ทางอ้อมอยู่แบบนี้

“ว่ายังไงคะ” คุณสมรศรีเงยหน้าขึ้นสบตาคนเรียก ทำเอาสะดุ้ง ขนาดเตรียมพร้อมจะถามแล้วนะเนี่ย

“คือ เข้าเรื่องเลยดีกว่านะคะ อาจดูไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าจะถามว่าคุณต้องการอะไรจากฉันรึเปล่า” ธาดาสงสัยมานาน เป็นแม่เพื่อน แต่พาเธอมาเลี้ยงข้าว แล้วท่าทางเหมือนจ้องจับผิดอะไรบางอย่างนั่นอีก คิดแล้วชวนขนลุก

“ฉันนึกว่าเธอจะดูเรียบร้อยกว่านี้ซะอีก ก็ดี ฉันจะได้พูดตรงๆ ได้” หล่อนยกน้ำขึ้นจิบ จิบแบบจิบ ไม่ได้จิบที่เหมือนดื่ม เธอไม่เข้าใจว่ามันจะแก้กระหายน้ำได้เท่ากับดื่มไปเลยจะดีกว่ามั้ย แล้วต่อมาก็รวบช้อนส้อมเป็นการบอกกรายๆ ว่ามื้อนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ธาดารอคอยมาแสนนาน....

แต่ที่ว่าเธอน่าจะเรียบร้อยกว่านี้ นี่มันยังไงคะ ธาดาชักหงุดหงิด มารยาทเธอก็มีอยู่หรอก หลายคนชอบบอกว่าเธอดูเหมือนผ้าไร้รอยพับไว้อย่างดี 

แล้วป้านี่ ไหงมาว่าเธอดูไม่เรียบร้อยไปได้  อันที่จริงก็อาจเป็นดังป้าแกว่าก็ได้มั้ง เพราะตัวจริงเธอไม่ได้เป็นดังที่ใครๆ เห็นสักเท่าไหร่ หึหึ เริ่มได้แล้วย่ะ....

“เธอสนิทกับลูกฉันแค่ไหน” หล่อนเปิดเรื่องหลังจากทำพฤติกรรมผู้ดีเสร็จสิ้น เล่นเอาธาดาลุ้นทุกวินาทีว่าการสนทนาจริงๆ จะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่

“เราพึ่งรู้จักกันได้ไม่นานค่ะ และก็ทำงานที่เดียวกัน สาเป็นเพื่อนที่ดีค่ะ” ก็ความจริงเป็นแบบนั้นก็คงต้องพูดแบบนั้น

“ไม่นาน นี่ยังไงเหรอคะ” 

เอาล่ะสิ เธองงเอง ไม่นานก็คือไม่นานสิ จะเรียกว่านานไปได้ยังไงกัน หรือต้องให้ขยายความ

“ไม่ถึงอาทิตย์ค่ะ เรารู้จักกันตอนที่มาริสาขึ้นเครื่องบินมาที่นี่วันแรกค่ะ” เธอบอกให้ชัดเจน เผื่อคุณป้าจะยังไม่รู้จักคำว่าไม่นาน

“งั้นก็ดีแล้ว ฉันคงหมดคำถาม.... ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวจะให้คนขับไปส่งเธอที่เดิมก็แล้วกัน” คุณป้าลุกขึ้นยืน ราวกับว่าหมดธุระกับเธอเป็นที่เรียบร้อย หรือง่ายๆ เธอไม่ใช่คนที่ป้าแกต้องสนใจอีก

“ขอบคุณค่ะ” ธาดาลุกขึ้นกำลังจะออกเดินไปยังที่จอดรถ แต่เมื่อได้ออกตัวก้าวเท้าไปจากวงสนทนาที่พึ่งจบลงนั้น คุณป้าก็ได้เรียกดักทางเอาไว้เสียก่อน

“ฉันหวังว่า....เธอคงไม่ได้เป็นสาเหตุที่มาริสามาทำงานที่นี่นะ” หล่อนบอกเพียงเท่านั้นก็ลุกจากไป ทิ้งท้ายให้เธอฉงน งงงวย อยู่กับความมึนงง ที่หล่อนก่อไว้

อะไรกันยะ ฉันไปยุ่งอะไรกับลูกป้า ถ้าจะให้เดานะ เป็นเธอก็คงจะอยากออกมาทำงานห่างไกลบ้านล่ะย่ะ ช่างน่าสงสารมาริสาดีแท้ ไม่รู้ว่าต้องเติบใหญ่ท่ามกลางความฉลาดล้ำเกินมนุษย์ของบรรดาครอบครัวเหล่านี้มาได้อย่างไร มันดูสมบูรณ์แบบสุดๆ และสุดโต่งจนเกินไป 

หรือบางที เพื่อนของเธออาจเป็นสิ่งมีชีวิตผ่าเหล่า แปลกแยกแตกต่างจากเหล่าบรรดาคนเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง หรือไม่น่าแตกต่างมากเท่าไหร่มั้ง เพราะมาริสาเองก็ดูฉลาดไม่ต่างจากป้าที่เลี้ยงข้าวเธอนี่เลย เพียงแต่น่าคบหากว่าเยอะ


........................