ฉันก็แค่... ตอนที่8

ด้วยอารมณ์อะไรมาริสาไม่อาจรู้ วันนี้ทำไมเธอต้องนั่งมองไปยังประตูบ่อยๆ ระหว่างที่รอคนไข้คนต่อไปเข้ามา เหมือนเธอกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าคนไข้ คนไข้ และคนไข้

บ่ายแก่ๆ ของวันที่อากาศเย็น ที่จริงมันก็เย็นได้ทุกวันนั่นแหละ โรงพยาบาลเปิดเครื่องปรับอากาศได้หนาวเหน็บไปหน่อยสำหรับเธอ คนที่พึ่งเข้ามาอาจคิดว่ามันเย็นสบายดี แต่เมื่อนั่งไปนานๆ มันก็หนาวใช่เล่น ดีนะที่มีเสื้อเครื่องแบบคลุมตัว ไม่งั้นคงต้องกลับไปนอนจับไข้ 

เริ่มงานวันแรกก็รู้สึกตื่นเต้นเสียจริง ต้องเฝ้ารอว่าอาการคนไข้คนต่อไปจะเป็นอย่างไร มีอะไรที่เกินกว่าความสามารถของเธอหรือไม่ จำเป็นไหมที่ต้องเรียกหัวหน้าหมอมาจัดการ 

แต่ไม่เลย ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากไข้หวัดธรรมดาทั่วไป จะมีก็แต่โรคอะไรแปลกๆ โผล่เข้ามาไม่มาก เธอเองก็คิดว่ามันดีที่ไม่ได้เจอะเจอโรคร้ายแรง เพราะนั่นหมายถึงสุขภาพของคนทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ที่ดี 

การมองประตูห้องเป็นรอบที่ร้อยกว่าของวัน สลับกับการสั่งจ่ายยาผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ส่งผลให้เธอเริ่มจะชินชากับสถานที่ขึ้นมาได้บ้าง นานๆ จะมีพยาบาลเดินเข้ามาส่งคนไข้บ้าง บางทีก็มีพยาบาลคนที่พึ่งเป็นเพื่อนกันไม่นานโผล่เข้ามายิ้มทักทายแล้วก็หายเงียบไป คล้ายๆ กับจะมาดูท่าทีว่าเธอตื่นสถานที่รึเปล่า

ห้าสิบเก้า อีกห้าสิบเก้านาทีโดยประมาณ จะเป็นเวลาที่มีหมออีกคนเข้ามาทำหน้าที่แทน มาริสาไม่ต้องอยู่นอกเวลาจนกว่าจะพ้นเดือนที่สาม ก็หมายความว่าวันนึงๆ เธอทำงานเท่าเวลางานปกติ อาจมีเพิ่มนิดๆ หน่อยๆ ช่วงที่รอคนมาผลัดเปลี่ยน แต่ก็ไม่นานอะไรมาก 

สามสิบสามนาที อีกเดี๋ยวคงมีพยาบาล หรือหัวหน้าแผนกเดินมาบอกว่ากลับได้ หรือว่าเธอต้องเดินออกไปลงชื่อออกเองหนอ เอ๊ะๆ ยังไม่รู้ งั้นก็รอต่อไป....

เจ็ดนาที.... 

มาริสาเลื่อนมือไปที่ระบบลงชื่อออกที่จอคอมพิวเตอร์ เพราะโรงพยาบาลนี้เน้นย้ำเรื่องการตรงต่อเวลา คนใหม่ที่มาแทน ต้องลงชื่อในระบบไม่เกินห้านาทีต่อจากเธอ ส่วนเธอก็ต้องออกได้ก่อน หรือหลังจากเวลาแทนไม่เกินห้านาทีเช่นกัน แต่ธาดาบอกว่าถ้ามีอะไรรีบร้อน ก็ฝากลงๆ แทนกันได้ พยามอย่าให้รู้ถึงหูผู้อำนวยการมาดนิ่งคนนั้นก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้น โดนปรับเงินเดือน

ปรับอะไรไม่ว่า ปรับเงินมันช่างเจ็บปวด สิ้นเดือนเธอต้องหามาคืนคุณแอร์ให้ครบตามจำนวน ซึ่งคิดว่าคืนได้แน่ๆ แล้วก็น่าจะเหลือใช้อยู่บ้าง คริคริ คิดแล้วก็ทำให้เธอยิ้มออก ว่าแต่เจ้าหนี้ของเธอไปไหนนะ ส่งข้อความไปว่าเธอสะดวกคืนวันไหน เจ้าหล่อนก็ไม่เห็นจะตอบกลับเลย สงสัยทำงานอยู่มั้ง

กริ๊งๆ ประตูเปิดออกพร้อมกับเสียงกริ่งเบาๆ เป็นการเตือนให้เธอรู้ตัวว่าต้องนั่งมาดขรึม ทำหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแบบเราพร้อมรักษาคุณเสมอนะ โปรดวางใจได้เลยค่ะ มาริสายิ้มกว้างให้คุณยายแก่คนหนึ่ง หันไปหลิ่วตาให้ธาดาที่เข็นรถผู้ป่วยเข้ามาให้ แล้วก็อ้าปากหวอ ทำตาโตทันใดเมื่อเห็นผู้ที่เดินตามเข้ามา....

“อ้าว!” ผู้หญิงแสนสวยคนที่เป็นเจ้าหนี้ของเธออุทานออกมาเบาๆ หล่อนทำหน้าฉงน อมยิ้มเหมือนจะหัวเราะอะไรบางอย่าง

“....เป็นยังไงบ้างคะคุณยาย” เธอยิ้มกลับ แต่ก็ต้องทำหน้าที่ก่อน แล้วเริ่มลงมือตรวจอาการคนไข้ สั่งยา จากนั้นก็หันไปส่งยิ้มน้อยๆ ให้คุณแอร์ที่ยังทำท่าเหมือนจะหัวเราะแต่ก็ไม่หัวเราะ 

จนทั้งหมดออกไปนอกห้อง มาริสาจึงลงชื่อออกระบบ ไม่ทันได้ลุกขึ้นยืนก็มีคุณหมออีกคนเดินเข้ามาในห้อง กล่าวทักทายกันนิดหน่อยพอเป็นพิธี

มาริสาออกห้องมา พลางคิดไปว่าทำไมโลกกลมบ่อยจัง กำลังคิดถึงคุณแอร์อยู่ พาญาติมารักษาพอดีเลยด้วย หล่อนคงไม่รีบทวงเงินเธอตอนนี้นะ ก็เธอยังไม่มีให้จริงๆ นี่

แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เดินไปหาคุณนางฟ้าสักหน่อยจะดีกว่า อย่างน้อยก็ทำตัวเหมือนเธอไม่ได้หนีหนี้ น่าจะเป็นห้องรอจ่ายเงินค่ายา เธอสั่งยาที่ตรงกับอาการให้ คนไข้ไม่ได้มีอาการอะไรแทรกซ้อนทำให้กลับบ้านได้ปกติ แล้วคุณนางฟ้าจะกลับด้วยเลยรึเปล่าน้อ

“คุณนภัสคะ” 

มาริสาเดินเข้าไปทักเมื่อเห็นว่าหล่อนจัดการค่ารักษาเป็นที่เรียบร้อย มีผู้หญิงอีกคนเข็นคนไข้ไปทางลานจอดรถ คิดว่าคงเป็นแม่บ้าน เธอก็ไม่ทันได้ดูชัดๆ ทันเรียกแค่คุณนางฟ้า

“ว่ายังไงคะ....คุณหมอ” ท่าทางคุณนางฟ้ายืนเก้อๆ

“ฉันส่งข้อความไปเรื่องที่ยืมเงินคุณมาน่ะค่ะ ถ้ายังไงขอรบกวนเป็นสิ้นเดือนนะคะ ไม่เบี้ยวแน่ๆ” บอกไปแบบเกรงๆ

“ไม่ได้รีบค่ะ ฉันไม่ได้อ่านข้อความเลย เมื่อวานยุ่งๆ” หล่อนตอบ แต่แววตาเหมือนว่าเรื่องที่ยุ่งๆ นั้นทำให้ไม่มีความสุขเอาเสียเลย

“ไม่เป็นไรค่ะ” ใครจะกล้ากวนล่ะ

“ว่าแต่ ฉันนึกว่าคุณกำลังเรียนอยู่ซะอีก ไหงไม่เจอไม่กี่ชั่วโมงเป็นหมอไปซะแล้ว” 

แอร์สาวหัวเราะร่า กึ่งๆ อายที่ตัดสินไปว่าเธอยังเด็ก และทำตัวเหมือนตัวเองอายุมากกว่ามาตลอด

“ฉันคงลืมบอกคุณไปน่ะ” ก็แอบเขินสิคะ นึกว่าเรียนอยู่ก็คงหน้าเด็ก อิอิ แต่จะว่าไป ก็พึ่งจบมาไม่นานนี่เอง เอาน่ายังไงหล่อนก็ว่าฉันเด็ก คริคริ

“แหม่ ไม่ลืมหรอก แต่ฉันไม่ได้ถามมากกว่า....ไว้ต้นเดือนหน้าฉันมาทวงคุณหมออีกละกัน ยังไงคงต้องพาคุณย่ามาตรวจ แล้วเจอกันนะคะ” 

นางฟ้าปราดเปรียวเดินเฉิดฉายไปกับสายลม ทิ้งให้เธอยืนยิ้มอยู่กับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จางไปบ้างตามระยะเวลา 

เพียงเท่านี้ทำไมเธอถึงอมยิ้มให้กับตัวเอง เพราะอะไรกันหนอ โชคชะตาถึงพาคนๆ นี้มาให้เจอถึงสามครั้งในไม่กี่วัน บางทีเราอาจเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ได้ เธอคิด....

“ยิ้มอะไรคะ” มีอะไรมาทำให้เธอสะดุดใจก็คงเป็นท่าทางเงียบๆ เรียบๆ ที่โผล่มาทางไหนก็ไม่รู้ 

“เปล่า” แพทย์หญิงปฏิเสธ แล้วเฉไฉสายตาไปทางอื่น 

“แน่ใจ มีความสุขอะไรก็ไม่บอกกันหน่อย ยิ้มอยู่คนเดียว” พยาบาลเดินนำไปทางห้องเปลี่ยนชุด ทำท่าไม่สนใจแต่ก็หันกลับมามองเป็นระยะๆ

“วันนี้มีธุระที่ไหนรึเปล่า” เธอลองหันไปถามเพื่อนร่วมทาง

“ไม่ ทำไมเหรอ” ธาดาสงสัย

“....เปล่า” ที่จริงอยากชวนเพื่อนใหม่ไปไหนสักที่ ที่ไม่ใช่หอพัก เพราะเธอยังไม่อยากกลับไปขลุกอยู่กับกองหนังสือตอนนี้ แต่มาคิดดูอีกที ทรัพย์ที่ติดตัวมีไม่มากพอจะให้ไปเที่ยวที่ไหน ดังนั้นการเลือกกลับไปต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินไปก่อนสักเดือน ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า


........................


แกร๊ก! แพทย์หญิงตังค์น้อยปิดประตูห้อง วางกระเป๋าลงบนโต๊ะ นั่งถอนหายใจอยู่สักพัก เธอรู้สึกไปเองหรือว่าความเงียบดลใจให้....เหงา มันเงียบเหงา ใช่แล้วชีวิตเธอมันช่างเงียบเหงา

เธอเลือกเปิดเพลงเบาๆ จากโทรศัพท์ ซึ่งไม่ว่าจะเปิดเพลงไหนที่ดีเจเลือกเอามาเล่น มันก็สื่อไปในทางเหงาสุดหัวใจ ช่างตอกย้ำเหลือเกิน 

มาริสาเลยเปลี่ยนมาไล่เบอร์มือถือทั้งหมดที่เธอมี ทางครอบครัวเธอคงติดงานกันหมด ส่วนเพื่อนฝูงก็อยู่ไกลกัน ทุกคนมีภาระ รวมถึงเธอ แต่จะมีใครเหงาแบบเธออีกมั้ยน๊า

‘วันนี้ไปที่ไหนคะ’ เป็นข้อความที่เธอคิดว่าจะส่งไปเล่นๆ อันที่จริงก็ส่งให้คนนั้น คนนี้ ทว่าไม่มีใครตอบเธอทันทีเลยยกเว้น

‘อีกหลายวันค่ะ ช่วงนี้หยุดพัก’ 

ว้าว สงสัยจะเป็นวันหยุดจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ตอบเร็วแบบนี้ แล้วทำไมวันก่อนไม่ตอบหนอ

‘ดีเลย ได้พักยาว’ ก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรต่อน่ะ 

‘สาคงงานเยอะล่ะสิ คนไข้เต็มโรงพยาบาลเลย’ คิดว่าน่าจะเป็นคำถามทั่วไป

‘พึ่งย้ายมาทำงานใหม่ ไม่เยอะหรอกค่ะ’ คงหลายเดือนกว่าจะได้กะงานแน่นๆ เหมือนคุณหมอรุ่นพี่

‘พึ่งมา แปลว่าไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอคะ ฟังจากสำเนียงไม่น่าใช่คนที่นี่เลย’ คงเป็นการชวนคุย ก็ดีเหมือนกันมีเพื่อนคุย

‘จังหวัดนี้พึ่งมาครั้งแรกค่ะ ไม่รู้จักใครเท่าไหร่เลย’ อันที่จริงเหงาน่ะ แต่ไม่กล้าบอก ขอบคุณที่คุยด้วย

‘เลิกงานแล้วเหรอคะ ถึงมีเวลาทักมา’ ก็เลิกงานเมื่อกี้แหละ ตอนนี้นั่งแกร่วอยู่ในห้อง

‘ค่ะพึ่งเลิกงาน ญาติของภัสเป็นคนไข้รายสุดท้ายของวันนี้เลย’ 

กำลังจะออกจากระบบพอดี คุณก็เข็นคุณย่าเข้ามารักษาน่ะ อันที่จริงก็คิดเรื่องที่ติดเงินคุณอยู่ด้วย คิดปุ๊ปเจ้าหนี้ก็มาเลย

‘แล้วติดธุระที่ไหนรึเปล่าคะ’ คุ้นๆ เหมือนคำถามนี้เธอพึ่งถามใครสักคนไป

‘ไม่นะ ทำไมเหรอ’ ไม่มีธุระอะไรเล้ยยย ไม่รู้จะทำอะไรต่อ นั่งเบื่อๆ อยู่คนเดียว

‘ไปเที่ยวกันหน่อยมั้ย’ อะไรนะ ชวนรึ ชวนจริงรึ ดีใจนะเนี่ย

‘ค่ะ....แต่ว่าฉันคงต้องยืมเงินคุณก่อนนะ’ อยากไปก็อยากไปอยู่ ทรัพย์จาง ทำไรไม่ได้ อีกอย่างพูดไปตรงๆ ดีกว่า 

ถ้าเริ่มต้นด้วยการหลอกลวงทำเป็นว่าเธอมีเงินจะไปเที่ยวด้วย มันคงไม่ดี แม้ว่าจะเกรงใจที่พึ่งรู้จักกันใหม่ๆ แต่ถ้าหล่อนรับได้ เราคงได้เป็นเพื่อนกันยาว

‘ได้สิคะ อีกสองชั่วโมงไปรับนะ รอได้มั้ย’ แอบรอนานนะเนี่ย 

‘ได้ค่ะ’ จะหลับรอละกัน

‘ใกล้ถึงแล้วจะโทรหานะคะ’ ก็ดี โทรมาเป็นนาฬิกาปลุกให้เลย

มาริสาทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนทันที ตอนนี้เธอปิดเพลงเหงาไปแล้วล่ะ เธอมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกคน อย่างน้อยก็ไม่เหงาล่ะว้า มีคนชวนไปเที่ยว ก็สงสัยว่าทำไมคุณนางฟ้าถึงอยู่ดีๆ มาชวน ไว้ค่อยไปถามละกัน นอนเอาแรงดีกว่า  


........................


“วันนี้อาหารอร่อยนะคะ” นภัสสรบรรจงป้อนข้าวให้คนแก่ประจำบ้าน เธอนั่งร่วมวงกับคนที่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อปฏิเสธการทานข้าวเย็นกับแฟนหนุ่ม แล้วก็บอกปัดครั้งที่สองว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อน ซึ่งคิดว่าเขาคงส่งคนมาสืบ และแน่นอนว่ายังไงเธอก็จะออกบ้านไปกับเพื่อนใหม่ คิดว่าคงเป็นเพื่อนได้ล่ะนะ 

ตอนแรกก็นึกว่าเป็นนักศึกษา ที่แท้ก็จบมาแล้วนั่นเอง ว่าแต่อาชีพนี้เงินดีมิใช่หรือ แปลกใจที่คุณหมอยังขาดเงิน ช่างเขาดีกว่า ยังไงก็ดูเป็นคนดี ไม่น่าเบี้ยวเธอง่ายๆ อีกอย่างคุณหมอก็ยังเป็นเพื่อนยามจำเป็นให้เธอได้คราวนี้ล่ะ 

ใช่ว่าเธอไม่ชวนคนที่รู้จักคนอื่นไปด้วย แต่ว่าทุกคนที่เคยเอาเป็นข้ออ้าง ล้วนแล้วแต่เบื่อการตามประกบของแฟนเธอทั้งนั้น มันน่ารำคาญ เธอเองก็เข้าใจ เธอยังรักเขาอยู่ ทว่าไม่อยากให้เขาตามติดเธอแบบนี้ มันไม่มีอิสระในตัวเอง 

นกน้อยในกรงทอง เป็นคำจำกัดความที่เขาจะหยิบยื่นให้เธอ และมันคงเป็นเช่นนั้นในเร็ววันถ้าเธอไม่ทำอะไรสักอย่าง ปีกเธอจะถูกตัด สังคมรอบข้างทุกทางจะถูกตรวจสอบ คิดแล้วคงไม่เหลือทางให้ได้ทำอะไรเลย 

ผู้หญิงบางคนคงคิดว่าเธอโชคดีที่ได้แฟนหล่อด้วย รวยด้วย ติดแจด้วย มันก็ดีอ่ะนะ ก็คงดีแบบที่พวกหล่อนว่าแหละ แต่ทำไม๊ ทำไมกัน ทำไมคำว่าทำไมถึงมีมากมายในสมองเธอแบบนี้ และที่สำคัญ คำถามพวกนั้น เธอก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าทำไม

นภัสสรรวบช้อนส้อมวางกับจานอาหาร ส่งคุณย่าเข้าห้อง นั่งคุยกับครอบครัวอยู่สักพัก เหลือบไปเห็นนาฬิกา ใกล้ได้เวลานัดของเธอกับเพื่อนใหม่แล้ว เธอจึงขอตัวออกมาก่อน

เป็นจริงดังที่คิดเอาไว้ ขับรถออกหน้าบ้านมาไม่ถึงหนึ่งนาที ก็สังเกตเห็นรถคันดำสนิทจอดอยู่แถวนั้น คิดว่าเป็นรถของหนึ่งในลูกน้องแฟนสุดที่รักของเธอ เขาคงส่งคนมาดูความเคลื่อนไหวของเธอว่าอยู่ที่ไหนทำอะไร

บางครั้งมันก็ดี อย่างเช่นครั้งก่อนๆ ที่เธอตัดสินใจบอกไปว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ กลุ่มนางฟ้า แล้วก็ดันมีผู้ชายเข้ามาพยามจะเลื้อยใส่ กลุ่มเพื่อนของเธอ ด้วยความที่ตกใจอยู่บ้าง แต่ก็แอบสะใจที่ลูกน้องพวกนั้นจัดการให้แบบไม่ต้องออกคำสั่ง 

แล้วมันจะดีจริงรึเปล่าล่ะเนี่ย เธอถอนหายใจ ขับรถไปทางโรงพยาบาล ในใจกำลังวุ่นวายสับสน ทุกอย่างมันก็ดี แต่ทำไม....

แอร๊ยยยย เอาอีกแล้ว คำว่าทำไมกลับมาอีกแล้ว ฉันเกลียดคำนี้จริงๆ เลย นภัสสรแอบกรี๊ดเล็กๆ ในรถของตัวเอง คงไม่มีใครได้ยินหรอกนะ 


........................


“ใกล้ถึงแล้วนะคะ” เธอฝากข้อความเสียงถึงเพื่อนใหม่แทนการโทรไปหา เพราะสองมือกำลังจับพวงมาลัยรถ ความปลอดภัยก็คือความปลอดภัยอยู่วันยังค่ำ แต่ความจริงคือเธอไม่อยากถูกปรับเพราะใช้มือถือขณะขับรถต่างหาก 

ว่าแต่ ที่พักของคุณหมออยู่ตึกไหนกันแน่หนอ ลองเสี่ยงทายดูดีกว่า ไหนๆ เธอก็ได้เจอะเจอหล่อนแบบไม่คาดฝันมาก็หลายรอบ ถ้าครั้งนี้ได้เจอโดยที่เลือกที่พักถูก ขอให้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันด้วย....นภัสสรคิดในใจ


........................