ฉันก็แค่... ตอนที่5

"ทำไมต้องทำให้มันเป็นเรื่องยากด้วย" ธาดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือกึ่งตัดพ้อ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยมีค่าเลยใช่มั้ย บทจะไปถึงตัดเยื่อใยอย่างไม่ใยดี เธอเองก็ทุ่มเทให้กับความรักครั้งนี้จนเรียกได้ว่ายากเกินกว่าจะถอนตัว แต่แล้วคนที่เธอรักที่สุดกลับตีจากด้วยการตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาที หล่อนไม่ได้มีใครใหม่ ข้อนี้เธอรู้ดี แต่เป็นอุปสรรคบางอย่างที่ยากเกินกว่าจะทำใจ

"เข้าใจกันบ้างสิ ฉันรักเธอมากนะ อย่าเป็นแบบนี้เลย ให้โอกาสกันบ้าง แล้วเวลาจะพิสูจน์เอง" 

คนที่เธอรักหมดหัวใจแงะมือของเธอซึ่งเกาะกุมไม่ยอมปล่อยออก แววตานั้นธาดารู้ดี มันปวดร้าวไม่ต่างกันเท่าไรนัก ถ้าหนทางความรักของเรามันจะจบลงเท่านี้ ก็คงต้องทำใจ ที่ผ่านมามันมีค่า 

การบอกเลิกในวินาทีสุดท้ายก่อนจาก มันช่างน่าเศร้า เธอรู้ว่าอีกฝ่ายอยากคงความสัมพันธ์จนวินาทีสุดท้าย หากก็ไม่อยากรั้งช่วงเวลาถัดจากนี้ของเธอเอาไว้ มันไม่เกิดประโยชน์อันใด ชีวิตยังคงต้องเดินต่อ 

ถ้าความรักของเราทั้งสองมันยั่งยืนและจริงพอ ต้องไปถามหาเอากับโชคชะตาในวันข้างหน้าก็แล้วกัน ธาดาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ กระชับกอดอันอบอุ่นซึ่งอาจเป็นครั้งสุดท้าย เอื้อมมือไปจัดผ้าพันของของอีกฝ่ายให้พอดี กล่าวด้วยน้ำเสียงสุดฝืน

"โชคดีนะคะ ถ้ามีโอกาส...." เธอหยุดอยู่แค่นั้น ไม่อยากเอ่ยอะไรเหนี่ยวรั้งกันให้มากไปกว่าเดิม

"ต้องมีสิ" หล่อนจุมพิตหน้าผากมนของเธอแล้วก้าวออกไปจากจุดๆ นั้น โดยไม่หันกลับมาเป็นรอบที่สอง มีแค่เธอคนเดียว และคนเดียวเท่านั้นยังคงยืนรอโอกาสบ้าๆ อย่างไร้จุดหมาย ธาดาเอื้อมมือจะไขว่คว้าแล้วก็หายวับไปกับตา

เป็นเวลาเกือบสามสิบนาที เธอไม่ได้ขยับไปไหน ไม่แม่แต่จะบีบน้ำตา ด้วยเข้าใจว่าความเจ็บปวดนี้ฆ่าเราทั้งสองมามากพอแล้ว อย่าให้ทั้งเธอและหล่อนต้องทุกข์หนักเข้าไปอีกเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอก็คงต้องออกเดินไปตามเส้นทางของเธอบ้าง หวังเพียงทางเดินเราสองจะมาบรรจบกันอีกครั้ง

การมุ่งหน้าสู่ประตูทางเข้าของผู้โดยสารภายในประเทศ มันเป็นเวลาเฉียดฉิว เธอเกือบจะตกเครื่องบินแล้ว ยังดีที่การประกาศครั้งสุดท้ายเธอยื่นตั๋วแก่เจ้าหน้าที่ได้ทันเวลา

เมื่อเข้ามาในตัวเครื่องก็พบผู้โดยสารคนอื่นๆ นั่งรออย่างมีระเบียบ เธอเองก็เลือกจะปฏิบัติตามแบบแผนนั้นไม่ต่างกัน ผิดแต่มีเหตุการณ์บางอย่าง เป็นความวุ่นวายเล็กๆ ทำให้เครื่องบินลำนี้เกิดความล่าช้า หญิงสูงวัยที่นั่งถัดจากเธอบ่นเบาๆ คล้ายกับอยากให้เธอคล้อยตามและเห็นด้วยว่าความวุ่นวายนี้ไม่น่าจะเกิด

ธาดาได้แต่เออออยิ้มไปตามน้ำ จนในที่สุดเธอเองต้องอาสาไปนั่งข้างผู้โดยสารที่เกิดอาการผิดปกติบางอย่าง แม้จะมีผลค้างต่อเนื่องจากความเศร้าเมื่อครู่ หากแต่จรรยาบรรณในวิชาชีพอันมากล้นก็ทำให้เธอบอกกับแอร์โฮสเตสคนหนึ่งว่าตนขออาสาเอง

คุณหล่อนมีชุดที่เปื้อนของเหลวเหม็นคลุ้งราวกับเศษซากการอาเจียนติดอยู่ที่เครื่องแบบ ตรงข้ามกับหน้าตาและจิตใจบริการที่คงเส้นคงวาเป็นที่สุด แอร์โฮสเตสพาเธอมานั่งข้างกับหญิงสาวท่าทางดูซีดเซียวคนหนึ่ง 

เธอเข้าไปดูอาการครู่เดียว แม้ไม่เป็นหมอก็พอจะทราบว่านี่เป็นอาการอดหลับอดนอน ไม่พอยังแฮงค์มาอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้ามาขึ้นเครื่องบินด้วยสภาพแบบนี้ ธาดาแอบอดยิ้มเยาะเย้ยนิดๆ ไม่ได้ คงเผลอทำให้เจ้าตัวรู้ไปบ้าง เห็นนั่งตัวเกร็งเชียว ไม่อยากให้ใครว่าเอาได้ล่ะสิ

ธาดาพิจารณาคนไข้จำเป็นของเธออยู่สักพัก เห็นท่าทางหวาดระแวงของหล่อน เลยจำต้องทำเป็นไม่สนใจ นั่งนิ่งๆ รอดูไปก็ได้ ไม่รีบร้อน ดูซิจะเผยอะไรออกมารึป่าว เล่นทำผู้โดยสารคนอื่นวุ่นวายกันไปหมด เห็นหน้าจ๋อยๆ นี่คงสำนึกผิดแล้วสิท่า 

ว่าแต่บัตรที่หล่อนทำตกนั่น.... เพียงวินาทีเดียวเธอก็กวาดสายตาอ่านมันได้ครบ ก็จะไม่ให้รู้ได้ยังไง บัตรนี้เธอก็มี ผู้หญิงคนนี้ทำงานที่เดียวกับเธอ แล้วสีของบัตรประจำตัวก็ระบุชัดเจนว่าหล่อนเป็นแพทย์หญิงประจำโรงพยาบาล เธอก็รู้จักหมอทุกคนดี 

ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นคนที่น่าจะย้ายมาใหม่ ป้าเฝ้าหอพึ่งบอกกับเธอวันก่อนว่าจะมีคนย้ายเข้ามาอยู่ สงสัยคนนี้แหละ

แล้วทำไมต้องกลัวใครรู้ขนาดนั้นเล่า ดูจากหน้าตาท่าทาง ธาดาคิดว่าคงเป็นลูกผู้ดีมีตังค์ ไม่เคยทำความผิดแม้แต่บี้มดตาย เรื่องอะไรที่ผิดพลาดเล็กๆ ในสายตาคนอื่น อาจเป็นเรื่องที่ดูใหญ่โตถ้าเจ้าหล่อนเป็นคนทำซะเอง นึกแล้วก็อยากแกล้งชะมัด ถือว่ารับน้องใหม่ก็แล้วกัน แม้เธอจะพึ่งเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลไม่ถึงสองปี ยังไงก็นับว่าเป็นคนเข้ามาก่อนล่ะน่า

จะแกล้งด้วยคำพูดก็ใช่ที่ ดูท่าไม่อยากเสวนากับใคร เดี๋ยวพาลอ้วกระเนระนาดไปอีก งั้นเหล่มองด้วยสายตาจับผิดนี่แหละ....

ปี๊ดๆๆ ๆๆ .... ธาดาส่งลูกตาจับผิดไปที่คุณหมอคนใหม่....นั่นไง ได้ผลสุดๆ หล่อนลุกลี้ลุกลน นั่งไม่ติด ซ้ำยังทำท่าเหมือนจะเป็นลม เอ่อนะ แค่แกล้งนิดหน่อย ยังหวาดขนาดนี้ คุณหมอเอ้ยยย ธาดาเลยเลิกคิดจะรบกวน นั่งอยู่ในท่านิ่งๆ ปกติสุขของเธอต่อไป....

เป็นรอบสองของวันเธอเจอกับทั้งคู่อีกครั้ง ใจหนึ่งก็คิดว่าสองคนนั้นอาจรู้จักกัน แต่พอได้พูดคุย ก็คงบังเอิญเหมือนๆ กับเธอนั่นแหละ แต่ครั้งนี้คุณหมอเหมือนจะเลือดตกยางออก ซุ่มซ่ามดีแท้ 

ธาดาทำแผลให้เจ้าหล่อนเสร็จ เห็นลุกออกไปที่ม้านั่ง จึงเดินเข้าไปหมายจะถามไถ่ เป็นยังไงมายังไงถึงหกล้มหกลุก ทว่าคนถูกถามกลับรีบขอตัวเดินจากไป เธอดูน่ากลัวขนาดนั้นเชียว ก็ไม่ได้คิดจะอยากรู้อะไรขนาดนั้นซักหน่อย

รุ่งสายของวัน หลังจากพึ่งได้นอนไปไม่นาน เสียงทุบกำแพงที่ดังสนั่นก็ปลุกเธอตื่นจากฝันหวาน อันที่จริงในฝันเธอก็เห็นตัวเองนอนหลับอย่างสบายอยู่นั่นแหละ มันเป็นความสุขที่สุดของการได้พักผ่อนหลังเข้าทำงานเป็นเวลานาน แต่ด้วยอะไรบางอย่าง กลับทำให้นึกถึงอีกคน ผู้มาใหม่ชั้นบนสุด หล่อนจะรู้มั้ยน้อ 

เฮ้อ.... เธอขยี้ตาลุกไปล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เดินขึ้นไปที่ชั้นสี่ ปากกำลังจะเอ่ยทักอยู่แล้วเชียว แพทย์หญิงหน้าซีดก็วิ่งกลับมาทางเธอ หน้าตาตื่นตระหนกตกใจ คิดว่าหล่อนคงไม่ได้กลัว แค่ตกใจ แต่ร้องไห้อย่างกับเด็กเชียว แหม่ๆ น่าแกล้งซะจริง

"ถ้วยพิเศษของร้านนี้เลย ทานให้อร่อย" ธาดาชื่นชมอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า เห็นแววตาปลาบปลื้มและพอใจกับอาหารของอีกฝ่ายเช่นกัน 

ก็แอบแปลกใจ นึกว่าจะไฮโซกว่านี้ซะอีก ทั้งการเป็นอยู่ในห้องเมื่อครู่ การต้มบะหมี่ใส่ไข่ มันช่างขัดกับภาพลักษณ์ภายนอกของคุณหมอมาริสา นามสกุลดังนั่นอีก เท่าที่พอทราบมา สกุลนี้เป็นแพทย์กันเกือบหมด ที่ไม่ใช่ก็มีกิจการของตัวเอง ร่ำรวยได้ดิบได้ดีสุดแสน เรียกได้ว่าเกิดมาก็ไม่น่าต้องเพียรพยามอะไรสำหรับตระกูลนี้ พันธุกรรมดีนำชัยไปกว่าครึ่งล่ะมั้ง 

"คุณธาดาไม่ทานเหรอคะ เห็นนั่งมองแต่จานของฉัน" คุณหมอเงยหน้าขึ้นมาถาม 

"อ่อ เปล่าค่ะๆ ว่าจะสั่งแบบนี้อีกสักจาน" ช่างเงยหน้าขึ้นมาถามได้อย่างหน้าซื่อตาใสเสียจริง เป็นคนอื่นเธอคงรู้สึกเสียมารยาทกว่านี้ที่ไปนั่งดูเค้ากิน 

ธาดามองพฤติกรรมมาริสาอย่างขบขัน ดูเป็นคนอยู่ง่าย ไม่เรื่องมาก และเข้ากับคนได้ดีทีเดียว ตรงข้ามกับเมื่อวาน รู้สึกจะกลัวเธอเป็นพิเศษ ไหงตอนนี้กลับไว้ใจขึ้นมาได้ เพียงเพราะเธอเลี้ยงข้าวมื้อเดียวอาจจะไม่ใช่ 

แต่น่าจะเป็นเหตุการณ์กระชากหัวใจคุณหมอเมื่อตะกี้มากกว่า ก็นะ วิ่งหน้าตื่นกลับห้องซะขนาดนั้น ถ้าเธอไม่มาเห็นคงแอบไปคลุมโปรงผวาอยู่คนเดียวในห้อง

"อร่อยมากเลย" ท่าทางจะอร่อยจริงๆ หล่อนกินเกือบหมด ถ้าไม่คิดเกรงใจบ้างคงยกซดน้ำซุปที่เหลือ 

"ตอนเย็นออกมากินอีกรอบสิ เธอเป็นเจ้ามือบ้าง" ธาดาเอ่ยชวน เห็นอร่อยขนาดนั้น

"คือว่า...." มาริสาคงไม่รู้ตัวหรอกว่าพฤติกรรมของตัวเองมันกระตุ้นต่อมอยากแกล้งของคนที่มาด้วยมากแค่ไหน

"ทำไมเหรอ มีอะไรรึป่าว" ธาดาใช้สายตาจับผิด พลันแอบหัวเราะในใจที่คุณหมอหน้าขาวๆ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ

"ฉันมีเงินติดตัวแค่นี้เอง เอาไว้สิ้นเดือนหน้าก่อนได้มั้ย คุณธาดาอยากกินอะไรได้หมดเลย" หล่อนง้างกระเป๋าตังค์ออกมาเปิดให้ดู แล้วยิ้มแห้งๆ

อะไรกัน ดูท่าทางน่าจะมีเงินนี่นา ทำไมมีติดตัวมาเท่านั้นเล่า จะว่าหลอกก็ไม่ใช่ หน้าตาใสซื่อซะขนาดนี้ ก็นะ ไม่รู้ว่าจะเงินน้อย

"งั้นมื้อนี้ฉันไม่เลี้ยง ไปละ" พยาบาลทำหน้าตาย แกล้งทำเป็นลุกขึ้นยืน

"คุณธาด๊าาา" เสียงเล็กของหล่อนเอ่ยราวกับจะอ้อนให้เธอเปลี่ยนใจ แววตาก็น่าสงสารใช่เล่น แหม่ เงินน้อยละยังกินไปตั้งสองจานนะคะ

"ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า....ป่ะๆ ไปกินไอศกรีมร้านข้างๆ กันเถอะ" คนที่ทรัพย์หนากว่าหยิบเงินจ่ายให้ร้านอาหารแล้วชักชวนมาริสาด้วยขนมหวานล่อตาล่อใจ

"ไม่แล้ว ฉันอิ่มละค่ะ" มาริสาคิดว่าใครจะยอมตกที่นั่งลำบากเล่า ไม่รู้ไหนเล่นไหนจริง แล้วถ้าสั่งเกินงบขึ้นมา มีหวังเธอได้อดตายก่อนสิ้นเดือนแน่ๆ

"แหม่ ฉันล้อเล่นนิดเดียว มาๆ ฉันเลี้ยงเอง" แล้วธาดาก็แฝงมาด้วยมาดคนใจดีสุดฤทธิ์ สั่งไอศกรีมเค้กส้มเปรี้ยวจี๊ดสอดไส้อัลมอน มาคู่กับวะนิลาหวานหอมผสมรัมเรซินราดน้ำผึ้ง เห็นคุณหมอนั่งอมยิ้มมองขนมหวานอยู่เงียบๆ ไม่กล้าจะแตะต้องจนเธอต้องขู่อีกรอบ

"กินเลยนะ ไม่กินจะออกร้านละ" เธอพูดเบาๆ ทำหน้าจริงจัง หล่อนรีบหยิบช้อนขึ้นมาตักเชอรี่กลางก้อนไอศกรีมไปเคี้ยวอย่างมีความสุขแบบกั๊กๆ คนอะไร๊ ปากไม่ตรงกับใจ สงสัยแอบเกรงใจเธอ ก็พึ่งรู้จักกันนี่เนอะ นี่ขนาดหล่อนเกรงใจนะเนี่ย หึหึ.... แย่งเชอรี่อีกก้อนไปต่อหน้าต่อตา หันมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีก

"ทำไมถึงมาทำงานที่นี่ล่ะ" ธาดาถาม ในเมื่อที่ๆ จากมามีทุกอย่าง ซ้ำยังมีโอกาสเจริญรุ่งเรืองและกอบโกยเงินได้ดีกว่ามากนัก

"ฉันจบได้ไม่นาน แล้วก็เห็นว่าที่นี่บรรยากาศดี คงจะมีอะไรน่าเที่ยวมากกว่าน่ะ" มาริสามองค้างอยู่ที่ไอศกรีม

"แน่ใจเหรอ ว่านั่นคือเหตุผล" ด้วยความที่เธออ่านแววตาและท่าทางนั้นออก ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ หล่อนดูอ่อนต่อโลกขนาดนั้น จะไม่อ่อนก็คงมีแต่ตำราเรียนเท่านั้นมั้ง

"แน่สิ" คนนั่งตรงข้ามตอบแบบขอไปทีพร้อมกับกลืนไอศกรีมคำใหญ่ลงคอ เอามือกุมหัว แล้วปล่อยให้ความเงียบเล็กๆ เข้าครอบงำการสนทนา

"ฉันไม่ชอบคำโกหกนักหรอก" ธาดาพูดลอยๆ ไม่ได้เจาะจงอะไรมากนัก

"...." แววตาใสแจ๋วเงยขึ้นมาสบตา มันช่างดูดุดันขึ้นมาเยอะ กลบเกลื่อนความไร้เดียงสาไปเกือบจะหมด หากแววตาคู่นั้นไม่เฉมองไปทางเชอรี่เม็ดสุดท้ายนั่นก่อน

"มันเป็นเหตุผลรองค่ะ" หล่อนจ้วงเอาของหวานแสนอร่อยได้ทันท่วงที โดยที่มือเธอยังค้างที่ช้อนอยู่เลย นับว่าเป็นการยุติการสนทนาเรื่องตึงเครียดเล็กๆ ธาดารู้ดีว่าคุณหมอที่เห็นว่าซื่อๆ ก็มีมุมมองที่จริงจังด้วยเหมือน

"ฉันยังไม่ได้กินเลย" เธอเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับทำหน้ามุ่ย

"อ่ะ แบ่งให้" หล่อนกัดเชอรี่ไปจนเกือบหมดลูก แล้วส่งที่เหลือมาให้เธอ

"ไม่ดีกว่า" เหอะๆ มาริสาช่างยักคิ้วได้กวนประสาทเสียจริง 

ถึงจะอยากแกล้งมาริสาก็เหอะ แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ธาดาก็พอรู้ตัวว่าก้าวก่ายเรื่องของคนอื่นมากเกินไป ถ้าเจ้าตัวอยากให้รู้ คงจะบอกกับเธอเอง 

คนเราจะสนิทกันมากขึ้นก็ด้วยความลับ หรือเรื่องที่พูดต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ของกันและกัน ตัวเธอไม่ค่อยมีความลับสักเท่าไหร่ แล้วอีกคนเล่า ความคุ้นเคยเพียงชั่วครู่ แวบหนึ่งดูเหมือนหล่อนเปิดใจกับทุกคน หาใช่เข้าถึงได้ยาก หากยังมีบางสิ่ง สิ่งเล็กๆ ที่ธาดาเองก็เข้าไม่ถึง 

ไม่เป็นไร ตัวเธอเองก็มีเพื่อนมากมายอยู่แล้ว ถ้าหล่อนเปิดไพ่มาเท่านี้ก็คงต้องเท่านี้แหละ


........................