ฉันก็แค่... ตอนที่4

อ้าววว โลกกลมครบชุดเลย จากที่แยกย้ายกันเมื่อเช้า คุณพยาบาลเจ้าเล่ห์ ยืนจ้องเธอด้วยอาการสงสัยเพียงแวบหนึ่ง แต่ก็รีบมาจัดการกับแผลของเธอก่อน ตามมาด้วยคุณแอร์ ที่เดินมาประกบทีหลัง

"สวัสดีค่ะ เจอกันอีกครั้งแล้วนะ" เป็นพยาบาลที่เอ่ยทักทั้งคู่อย่างอารมณ์ดี ท่าทางคุณพยาบาลเหมือนจะมือหนัก ตรงข้ามกับแผลเธอที่ถูกปิดโดยไม่รู้สึกเจ็บมากเท่าไร

"ทำงานที่นี่เหรอคะ โลกกลมจัง" แอร์สาวหันไปถามโดยไม่หวังคำตอบ สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเจอคนรู้จัก คงมีแต่เธอเท่านั้นที่นั่งมองบุคคลทั้งสองคุยกัน โดยมีคนดวงซวยที่ทำให้โลกกลมนั่นก็คือเธอ

"ว่าแต่ทำไมถึงมาสภาพนี้ได้คะเนี่ย" พยาบาลหันมาเปิดการสนทนากับเธอบ้าง

"มีคนทิ้งขยะบนพื้น ฉันลื่นล้ม คุณภัสก็เลยพามาส่งที่โรงพยาบาลค่ะ" แหะๆ จะให้บอกว่าเธอซุ่มซ่ามเดินไปเหยียบเองก็ใช่ที่ บอกแบบนี้แหละ ไว้ให้ไปหาทางคิดเอาเอง

"แล้วรู้จักกันมาก่อนเหรอคะ" พยาบาลยังถามอีก

"ไม่หรอกค่ะ บังเอิญมาเจอแบบคุณพยาบาลเลย" นภัสสรตอบแทน ดูเหมือนคุณนางฟ้าจะยิ้มให้คุณพยาบาลแสนเรียบร้อยมากกว่าเธอเสียอีก คงต้องเป็นเช่นนั้น ก็พยาบาลไม่ได้ทำให้หล่อนเสียเงินนี่

แผลเล็กน้อยจบลงด้วยการรักษาอย่างง่ายถึงง่ายที่สุด มาริสาหันไปทางแอร์สาว แล้วก่อนที่จะได้เปิดปากอันใด มือถือของเจ้าหล่อนก็ดังขึ้นเสียก่อน

"ได้ๆ ภัสจะรีบไปค่ะ" หล่อนคุยธุระกับใครบางคน สีหน้าท่าทางใจลอยๆ ราวกับว่ามีเรื่องบางอย่างต้องรีบไปจัดการ เธอก็ไม่รู้หรอกว่าธุระที่ว่ามันคืออะไร แต่สำหรับเธอก็มีเรื่องต้องตกลงกับคุณนางฟ้าให้เรียบร้อยเสียก่อน

"เอ่อ คุณภัสคะ เรื่องค่าเสียหาย...." มาริสาคิดว่าสิ้นเดือนหน้าเธอน่าจะหามาได้แบบพอดิบพอดีล่ะนะ บวกค่าปลอบใจไปด้วยหน่อยที่คุณนางฟ้าต้องมารับเคราะห์ไปด้วย

"ไม่เป็นไรจ๊ะ เดี๋ยวไว้ฉันค่อยมาหาคุณสาอีก ตั้งใจเรียนดีกว่านะ วันนี้ขอตัวก่อน...." หล่อนหลิ่วตาแล้วเดินออกไป

"แต่ เดี๋ยว...." งง ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วนะยะ

"เบอร์สา ฉันมีแล้ว ไว้ฉันโทรหา เจอกันใหม่นะคะ"

วิ้งๆ .... มาริสาหน้าหวอ เพราะลุกตามคุณนางฟ้าไปไม่ทัน ทรวดทรงอันโค้งเว้าเพรียวบาง หากแต่ขยับได้ว่องไวราวสายฟ้า เปรี้ยงเดียวหายไปละ เธอจำต้องนั่งขมวดคิ้วอยู่ที่เดิม

"อะไรกันคะคุณหมอ ไปหลอกอะไรเค้าอีกล่ะ" พยาบาลคนเดิมหันมายิ้ม รอยยิ้มของเจ้าหล่อนทำไมมันดูแฝงเล่ห์ลมคมใน เธอรู้สึกประหม่าก็ไม่ใช่ ตื่นเต้นก็ไม่เชิง เป็นอะไรที่บอกได้ยากยิ่ง รู้สึกราวกับเด็กน้อยฟันผุที่แอบเอาลูกอมซ่อนไว้ในกระเป๋า รีบกลับห้องพักดีกว่า อยู่นานจะพาลวุ่นวาย

"เปล่าค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ" มาริสารีบเดินออกห้องนั้นไปตามทางที่มีแสงไฟสาดส่องให้พอมองเห็น เธออยากพักผ่อนอย่างสงบๆ หวังว่าคงไม่สะดุดอะไรเข้าอีก 

บรรยากาศรอบข้างก็ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน ทั้งต้นไม้ใหญ่ ทั้งแสงนีออนดวงที่กำลังดับๆ ติดๆ อยู่ข้างฝา แล้วป้าไปไหนซะล่ะ เธอจะเอากุญแจรถคืนสักหน่อย พร้อมกับบอกที่ๆ รถจอด อาจจะควักตังค์ที่เหลือเป็นค่าน้ำมันด้วย ทั้งๆ ที่รถป้าก็ไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลย เพิ่มความวุ่นวายอีกต่างหาก

"วันนี้โชคไม่เข้าข้างเลย" เป็นครั้งที่สามที่เธอบ่นกับตัวเองในห้องพัก มองไปทางไหนก็มีแต่ผนังรายล้อม เหมือนถูกขีดเขตจำกัดไว้ให้อยู่แต่ในกรอบสี่เหลี่ยม 

เหนื่อยเสียเหลือเกิน จะมีอะไรแตกต่างไปจากเดิมบ้าง ชีวิตมีแต่หนังสือ ความขยัน เงินทอง และของนอกกายทั้งนั้น คิดแบบนี้ก็ใช่ว่าปรงได้แล้ว ยังไงเธอก็ยังต้องใช้สิ่งเหล่านี้อยู่ดี ขาดไม่ได้จนวาระสุดท้ายของชีวิต

อย่ากระนั้นเลย เวลาว่างที่มี การเปิดตำราเพียงชั่วครู่ก็มีค่า หลายคนไม่ชอบการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะตำราทางวิชาการ สำหรับเธอนั้น การได้อ่านตำรามันคือความสุข สิ่งเหล่านี้สร้างความสุขสงบทางจิตใจ บางครั้งก็เหมือนเป็นยานอนหลับชั้นเลิศได้อีกเช่นกัน


........................


ช่วงสายของอีกวัน มาริสารับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มาส่งเป็นที่เรียบร้อย มื้อแรกที่ตกถึงท้องก็เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ไข่ รสชาติก็ไม่ได้ต่างอะไรกับซองก่อนๆ ที่เธอกินเท่าไหร่ 

ถ้าหากไม่มีเสียงตึงๆตังๆ ดังมาจากห้องไหนสักห้องเสียก่อน ขัดจังหวะการกิน ทำเอาเธอสำลักเพราะอาการสะดุ้งกะทันหัน อยากออกไปด่าเสียเหลือเกิน หากไม่ติดว่าเป็นผู้มาใหม่ควรเจียมเนื้อเจียมตัว

ตึงๆ ตึงๆ 

อะไรกันนักหนา ใครนะ มาโยนอะไรใส่ผนังห้อง นี่เป็นที่พักส่วนรวมนะ ไม่ใช่ที่สาธารณะส่วนบุคคล แถมคนส่วนใหญ่ในหอก็ออกไปทำงาน กลับมาก็อยากพัก แล้วนี่อะไร ทำเสียงดังแต่หัววัน ไม่ใช่เรื่องของเธอหรอก แต่ขอแง้มหน้าออกไปหน่อย เผื่อเหตุผลของผู้ก่อกวนจะน่าดูชม

อุ้ย! นั่นมันห้องสุดท้ายซ้ายสุด มาริสาเกิดอาการขนลุกเลิกลั่ก มองหาตัวช่วยซึ่งไม่น่ามีเลย ณ เวลานี้ มันเสียงอะไรกัน แถมยังดังขึ้นเรื่อยๆ แต่เสียงฝาผนังห้องกระทบแบบนี้ ตามหลักการแล้วมันน่าจะมาจากวัตถุมีมวลสองอย่างมากระแทกกัน ถ้าเป็นแบบนั้น สิ่งที่ไร้ตัวตนและยังไม่อาจพิสูจน์ได้ก็ตัดออกไปได้เลย ทว่าทำไมตอนนี้เธอเหงื่อแตกผลั่กๆ คิดว่าคงสำลักบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นแน่แท้

หลังจากตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ เท้าน้อยสั่นๆ ก็ก้าวอย่างมั่นคงไร้เสียง ค่อยๆ ย่องไปยังหน้าห้องนั้น.... 

ตึงๆ ตึงๆ .... เหมือนจะยังไม่หยุด เธอเลยยืนฟังอยู่หน้าห้อง ไตร่ตรองหาความเป็นไปได้ว่าจะมาจากอะไรได้บ้าง ทุบก่อสร้างรึ ไม่น่าใช่ เจาะผนังรึ ไม่ใช่แบบนี้แน่นอน จนแล้วจนรอด มาริสาจึงยกมือขึ้นทำท่าจะเคาะ 

ฉับพลัน เสียงนั้นหยุดลงทันที สงสัยคงจะเลิกทุบผนังแล้วล่ะมั้ง เธอจึงหันหน้าจะกลับห้อง ตรงข้ามกับการเคาะผนังที่ดังขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง คราวนี้ เป็นเธอที่หงุดหงิดเสียเอง อาการกลัวเมื่อครู่หายไป กำปั้นถูกกำขึ้นมาแทนที่ แค่เพียงคืบเดียวเท่านั้นจะสัมผัสลงกลอนประตูอยู่แล้ว

กรี๊ด.... ว๊ากกกกก.... รอบแรกเป็นเสียงจากในห้อง เสียงกรีดร้องราวฟ้าจะถล่มทลาย ส่วนรอบสองไม่ใช่เสียงใคร เป็นเธอนั่นเอง เสียงดังขึ้นจากภายใต้จิตใจฝ่อๆ ของเธอ มาริสาหน้าซีดเผือด โกยกลับมายังห้องตัวเองแทบไม่ทัน

จะว่ากลัวรึก็ใช่ ใช่เลย เธอกลัว.... อะไรเนี่ย มันตกใจต่างหาก แล้วทำไมพยาบาลถึงมายืนระหว่างทางเดินกลับห้องเธอได้ล่ะ หล่อนดันเห็นภาพที่ไม่ควรเห็นอีกจนได้ 

ก็ตอนนี้เธอเหงื่อแตก หน้าซีด ซ้ำยังน้ำหูน้ำตาไหลพรากๆ ตัวสั่นหงึกๆ หงักๆ แทบจะเก็บอาการไม่อยู่ และสิ่งที่ได้รับกลับมา ก็แอบทำให้เธออายได้เช่นกัน พยาบาลสาวทำหน้าตากึ่งจะหัวเราะ ระคนเอ็นดู มาริสาเลยทำปากพะงาบๆ ชี้มือไปที่ห้องแห่งความลับนั่น ทำหน้าแหยเก ปาดน้ำตาตัวเอง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

"โอ๋ๆ คุณหมอ ไม่ต้องตกใจ" พยาบาลไม่ทำเพียงเท่านั้น หล่อนยังดึงมือเธอมาลูบเบาๆ คล้องแขนและนำทางไปยังห้องพักของเธอ 

"ป้าบอกฉันว่าคุณพักชั้นบน เลยแวะขึ้นมาดู เห็นยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าห้องนั้นซะนานเลย จะเรียกก็ไม่ทันแล้ว" หล่อนเหล่มองมาทางเธอ

"...." แม้ว่าจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่อาการผวายังหลงเหลือ มาริสาเลยพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนมองประตูห้องตัวเอง

"กลับเข้าห้องไปเถอะ คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว" พยาบาลทำท่าจะเดินไป หากก็ถูกทำให้หยุดด้วยมือเธอที่ดึงชายเสื้อหล่อนไว้

"คะ" 

"เอ่อ...." เธอก็ไม่รู้ว่าคุณพยาบาลมีธุระอะไรที่ไหนรึเปล่า เพียงแต่ตอนนี้เธอไม่อยากอยู่คนเดียว แต่ก็อายเกินกว่าจะเอ่ยปาก

"ป่ะๆ ฉันอยากเห็นห้องพักคุณพอดี ขออนุญาตเข้าเยี่ยมชมนะคะ" หล่อนถือวิสาสะเปิดประตูห้องเธอเดินนำเข้าไป

ครู่หนึ่งเห็นหล่อนแปลกใจที่ภายในห้องดูไม่มีอะไรมากเท่าที่ควร จะเดินไปหาโซฟารึก็ไม่มี เลยยืนแกว่งแขนเล่นอยู่กลางห้อง

"มาอยู่ใหม่ ของยังน้อยอยู่เลย โล่งดีนะ" เหมือนจะเป็นคำชมนะ มาริสาคิด

"นั่งตรงนั้นก็ได้" เธอชี้ไปที่ปลายเตียงซึ่งติดอยู่กับโต๊ะอ่านหนังสือของเธอ ส่วนบนเตียงก็รกไปด้วยกองหนังสือซึ่งทำหน้าที่เป็นยานอนหลับเมื่อคืน

แพทย์หญิงคุ้ยตู้เย็นอยู่สักพัก ก็มาพร้อมน้ำผลไม้แก้วเล็กสองใบยื่นให้แขกผู้มาเยือนหนึ่ง ตัวเองอีกหนึ่ง แล้วหันหน้าไปรวบช้อนส้อม ในจานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มันคงพร่องไปได้นิดเดียวจนอีกคนหันมามอง

"ไม่ทานให้หมดล่ะ"

แหม่ ใครจะทานหมดได้ล่ะ ตกใจซะขนาดนี้ เลิกตัวสั่นได้นี่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว

"อิ่มแล้วล่ะ ฉันต้องกินแบบนี้บ่อย วันนี้เลยอิ่มเร็ว"

"ไม่เบื่อเหรอ ฉันว่าฉันเริ่มหิวแล้วนะ ไปหาอะไรกินกันเถอะ" พยาบาลสาวที่ดูเหมือนเรียบร้อย ยกแก้วน้ำผลไม้กระดกขึ้นจนหมด มองมาที่มือเธอ คว้าแก้วของเธอไปดื่มอีก แล้วหยิบแก้วจานไปวางแช่ในอ่างล้างจาน คว้ามือเจ้าของห้อง หยิบกุญแจ และกระเป๋าสะพายของเธอเดินออกมาล็อคกลอนประตูให้เสร็จสรรพ

"คุณ...." มาริสาอึ้ง พยามจะค้นหาคำว่ามารยาท คิดว่าก็ยังมีอยู่ แต่หล่อนเหมือนจงใจจะชวนเธอกินข้าวเสียมากกว่า

"มาเถอะคุณหมอ มื้อนี้ฉันเป็นเจ้ามือ คุณพึ่งมาที่นี่ ฉันเป็นเจ้าถิ่น ฉันพาไปกินข้าวละกัน ก๋วยเตี๋ยวแถวโรงพยาบาลได้มั้ย” หล่อนถามความสมัครใจที่ยัดเยียดมาหมดแล้วแต่แรก

"ดะ ได้ค่ะ ฉันกินได้หมดแหละ" อันที่จริงก็ดีนะ มีคนเลี้ยงข้าวในยามยาก อิอิ 

"เจ้านี้อร่อยนา รับประกันเลยค่ะ" คุณพยาบาลเดินนำเธอ ลงบันไดไป ก็ช่างน่าแปลกที่เสียงบ้าๆ บอๆ ในห้องนั้นกลับเงียบสงบลงเสียอย่างนั้น....

........................