ฉันก็แค่... ตอนที่2

ใครจะรู้ล่ะว่าอาการเมาค้างจากเมื่อวานจะส่งผลได้ยาวนานขนาดนี้ ที่แน่ๆ เธอไม่ใช่คนคอแข็งสักเท่าไหร่ นิดหน่อยก็เมาแอ๋ แล้วจากปริมาณที่ซดเข้าไป มันก็มากมายกว่าน้ำอัดลมขวดใหญ่เสียอีก จะไม่ให้แฮงค์ข้ามวันได้ยังไงกัน 

ดีนะที่ไม่มีใครรู้ว่าแพทย์หญิงคนเก่งเมาสุราจนทำให้เครื่องบินออกช้ากว่าปกติ....

แต่เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ไม่มีใครรู้สักหน่อย พยาบาลคนนั้น หล่อนรู้ทุกอย่างรวมถึงอาการแฮงค์นั่นก็ด้วย ที่ไม่บอกใครคงเพราะไม่อยากให้เธอเสียหน้า แล้วที่ยิ้มนั่นก็คงคิดว่าถือไพ่เหนือกว่าเป็นแน่....

เหอะ แล้วนี่เมื่อไหร่จะถึงที่พักนะ ง่วงจนไม่รู้จะง่วงยังไงละ อยากหลับพักผ่อนให้อาการมึนจนแทบอ้วกนี้หมดไปเสียที 

ระหว่างการเดินทางเนิ่นนาน มาริสาแอบหลับบ้างตื่นบ้าง หากแท็กซี่พาเธอไปฆ่า ก็คงจะไร้ทางต่อสู้ขัดขืน เรี่ยวแรงตอนนี้ก็แทบจะไม่เหลือ เหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยทั้งใจ และเหนื่อยทั้งกาย

รถคันเหลืองอร่ามนำเธอมาถึงยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใจกลางตัวเมืองอันแสนเงียบสงบในวันหยุดเท่านั้น นอกนั้นเรียกได้ว่าเมืองแห่งนี้คึกคักได้เกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง ทั้งแสงสี อาหาร อื่นๆ มากมายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญมันก็ดึงดูดเธอด้วย ใครกันจะไม่อยากมาอยู่เมืองแสนสุขแห่งนี้ 

เพราะเมื่อมีจดหมายเชิญตัวให้มาทำงานอีกครั้งที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เธอก็แทบจะตอบตกลงในทันที ไม่มีทางพลาดหรอก ก็ในเมื่อที่เดิมมันไม่มีความสุขจะอยู่ต่อ ย้ายมาที่นี่ก็ได้ ที่สำคัญ ใครๆ ก็อยากจะมากัน

หอพักหลังโรงพยาบาลถูกจัดเตรียมไว้ให้สำหรับเธอหนึ่งห้องตามคำขอร้องที่ได้ยื่นแนบเอาไว้ ก็พอทราบอยู่หรอก สถานที่แห่งนี้ไม่ค่อยจะมีใครอยากพักสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่คนที่ทำงานในนี้ก็มีบ้านกันหมด ไม่ก็เช่าห้องพักที่ดูจะสะดวกสบายกว่านี้ 

อย่างไรซะ มันก็ดูสะดวกสบายพอสมควร หรือจะเพราะเป็นข่าวลือที่ทำให้คนไม่ค่อยอยากอยู่.... ไม่เอาน่า สิ่งที่มองไม่เห็น ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แล้วเธอก็เป็นถึงแพทย์หญิงไม่สมควรจะหวาดกลัวให้เสียเซลฟ์


........................


“มาริสาค่ะ” เธอแนะนำตัวเองกับคนเฝ้าหอชั้นล่าง แม่บ้านดูมีอายุยิ้มแย้ม บอกกับเธอว่าได้จัดห้องพักเตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวานซืน หากขาดเหลือ หรืออยากได้อะไรเพิ่มเติมก็บอกได้

หล่อนหยิบกุญแจยื่นให้เธอ และเดินขากระเผลก คล้ายเคยประสบอุบัติเหตุมาก่อน นำทางไปยังห้องพัก ชั้นที่หนึ่ง....ก็ยังไม่ใช่ ชั้นที่สอง....ก็ยังไม่ใช่ ชั้นที่สาม....ทำไม๊ มันก็ยังไม่ใช่อีก....ไม่นะ ชั้นบนสุดเลยเหรอ เธอทำท่าทางลนลานจนแม่บ้านเฝ้าหอสังเกตเห็น

“มีอะไรรึเปล่าคะคุณหมอ” ป้าแม่บ้านถามถึงสิ่งที่เธอกังวล

“เปล่าค่ะ” ใครจะอยากมีปัญหาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่เล่า 

แต่ใครนะ ช่างจัดห้องให้เธอได้น่ากลัวถึงเพียงนี้ วันดีคืนดีเกิดฝันร้ายหรือเจอสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ขึ้นมา ไม่ได้วิ่งหอบกระจายลงมาชั้นล่างหรือคะ.... ไม่ใช่ละ แค่เธอไม่อยากเดินขึ้นลงจนเหนื่อยมากกว่า

“ที่นี่ไม่มีอะไรหรอก ป้าอยู่มายี่สิบกว่าปีแล้ว....ถึงมี เค้าก็อยู่ส่วนเค้า เราก็อยู่ส่วนเรา” ป้าเอ่ยเนิบนาบ หันมาพูดด้วยสีหน้าปกติสุขตามภาษาคนอยู่มานาน

“เอ่อ เปล่าค่ะ ฉันขี้เกียจขึ้นลงหลายชั้นน่ะค่ะ” 

ยังอีก คุณป้าคะไม่ต้องมองหน้าหาพิรุธเลย เชื่อฉันหน่อยเห๊อะ ที่พูดนั่นความจริงนะยะ 

“ถ้ามีอะไรก็โทรเรียกป้าที่ชั้นล่างได้นะ คุณหมอเดินทางมาไกลพักผ่อนตามสบายจ้ะ” ป้าทำท่าจะเดินลงบันไดไป

“เดี๋ยวค่ะ....แล้วชั้นนี้มีใครพักอีกมั้ยคะ” มาริสามองไปยังห้าห้องที่เหลืออยู่ ถามหาผู้ร่วมชะตากรรม เอ้ย! ถามหาเพื่อนร่วมหอข้างเคียงเผื่อจะได้ไปสวัสดีฝากเนื้อฝากตัวว่าเป็นผู้อาศัยมาอยู่ใหม่

“มี แต่ไม่ค่อยอยู่กันหรอก ส่วนใหญ่ก็มาพักตอนเข้าเวรดึกๆ ....สองห้องนั้นว่าง แล้วห้องสุดทาง ไม่จำเป็นอย่าไปเคาะนะ” ป้าพูดพร้อมกับทำท่ากังวล 

นั่นยิ่งเพิ่มความสงสัยให้เธอเข้าไปอีก จากที่ง่วงงุนอยากพักผ่อนเต็มที่ กลายเป็นตาสว่างขนลุกไปทั้งตัว อันที่จริงเหงื่อก็ออกชื้นขึ้นตามฝ่ามือด้วยสิ มันคืออะไรกันแน่กับสีหน้าท่าทางหวาดวิตกของคุณป้า อย่ากระนั้นเลย

“ทำไมเหรอคะ” ไวเท่าความคิด เธอเอ่ยถามในทันทีที่ป้าจบประโยค

“ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรหรอก พักผ่อนเถอะคุณหมอ” 

จากนั้นคุณป้าแม่บ้านผู้เฝ้าหอก็เดินลงบันไดไปชั้นล่าง ทิ้งให้เธอเพิ่มความสงสัยปนหวาดกลัว มันคงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มักกลัวในสิ่งที่ยังไม่รู้ ยังไม่เห็น 

จิตนาการในทางลบต่างๆ จะสร้างมาเพื่อหลอกหลอนเราให้มองเห็นแต่ภาพสิ่งที่เราสงสัย ใคร่รู้ และยังไม่ได้พิสูจน์ให้ประจักแก่สองสายตา เหมือนอย่างเธอในตอนนี้

และน้อยคนจะสร้างจินตนาการทางบวกได้ โดยเฉพาะเธอที่สภาพตอนนี้เหมือนซากศพเดินได้....เฮ้อ เธอจะทำอะไรได้ในเมื่อป้าบอกไม่จำเป็นอย่าเคาะ เธอก็ไม่มีความจำเป็นจะไปเคาะด้วยสิ เข้าห้องไปอาบน้ำหลับเอาแรงดีกว่า


........................


มาริสาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการเกือบสดชื่น เธอพึ่งได้สังเกตขนาดของหอพักสำหรับพนักงานโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ มันก็กว้างขวางพอสมควรสำหรับหนึ่งหรือสองคน 

มีห้องรับแขก แยกเป็นครัวหน่อยนึง ถัดไปไม่ไกล เป็นเตียงนอนนุ่มสบาย แล้วหัวมุมห้องเป็นห้องอาบน้ำฝักบัว และส้วมแบบชักโครก แต่ค่อนข้างจะเก่าไปนิด 

เธอสำรวจห้องอย่างช้าๆ ทุกซอกทุกมุม เฟอร์นิเจอร์คือเตียง ตู้เสื้อผ้า โซฟา ชั้นวางของ โต๊ะ เก้าอี้ อย่างละอันเท่านั้น แต่แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับเธอแล้ว แม้ว่าบ้านที่เธอจากมาจะมีมากกว่านี้หลายสิบเท่าตัวนัก

แกว๊กๆ ลังกระดาษขนาดไม่ใหญ่มากสามลังได้ถูกเปิดออก ภายในลังนั้นเต็มไปด้วยหนังสือทางการแพทย์มากมาย ใช่ว่าเธอเก่งแล้วไม่จำเป็นต้องศึกษา หากความรู้ที่มียังต้องคอยพัฒนา ด้วยเหตุที่ว่าไม่มีอะไรดีและสมบูรณ์ที่สุด เธอมองไปยังตำราเหล่านั้น ขอบคุณพวกมันที่ทำให้เธอเติบโตจนมีวันนี้ 

หลายคนคงคิดว่าสำหรับเธอ ความเก่งนั้นถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมอยู่แล้ว แต่ใครไหนเลยจะรู้ เธอค่อนข้างจะฉลาดน้อยกว่าคนในครอบครัว หากไร้ความพยามส่วนตัวแล้ว คงได้รับคำครหาจากบรรดาผู้นินทาได้ว่าเธอเป็นลูกไม้หล่นไกลต้น 

ช่างน่าเจ็บปวดเสียจริง มาริสาหลับตาถอนหายใจก่อนจะเรียงหนังสืออันมีค่าไว้บนชั้นที่เอื้อมหยิบถึงได้ง่าย จากนั้นก็นำเสื้อผ้าอีกลังยัดใส่ตู้เสื้อผ้า มีเครื่องแบบของทางโรงพยาบาลที่แยกแขวนไว้อย่างดีหน่อย 

ส่วนอีกลังกระดาษที่เล็กกว่า ภายในมีเครื่องใช้ไฟฟ้าเล็กๆ น้อยๆ ไดร์เป่าผม สายชาร์จมือถือ โน๊ตบุ๊ค และอื่นๆ ที่จำเป็น เรียกได้ว่าขั้นพื้นฐานสุดๆ ก็อย่างอื่นมันไม่จำเป็น ไม่รู้จะเอามาทำไม 

คนแบบเธอหากมองจากหน้าตาแล้ว ไปอยู่ที่ไหนคงไม่มีใครคิดว่าจะสมถะได้ถึงเพียงนี้ มาริสารู้เพียงว่าชีวิตเธอไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านี้ ขอแค่ไม่เจ็บป่วย ไม่อับจน ไม่เคราะห์ร้ายมากไป เท่านี้ก็เพียงพอ

ห้องพักยังขาดตู้เย็นเล็ก กับไมโครเวฟ เป็นสิ่งที่เธอขาดไม่ได้ ยามหิว หรือยามต้องอ่านหนังสือดึก เธอมักใช้มันต้มอาหารสำเร็จรูปเติมท้องที่ว่างไม่ให้ร้องโหยหวน ดังนั้นจุดมุ่งหมายถัดไปก็คงต้องเป็นห้างสรรพสินค้า

ประตูห้องเธอได้เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เธอยืนจ้องประตูห้องลึกลับที่ป้าแม่บ้านเตือนไว้อยู่นาน มันเป็นประตูไม้บานขนาดปกติ ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปจากห้องข้างเคียงเลยแม้แต่น้อย 

เธอยังคงกลั้นความสงสัยไว้ได้ หากแต่ทุกทีเมื่อสงสัยเข้ามากๆ เธอจะต้องได้รู้ ไม่เช่นนั้นมันจะคาใจจนถึงขั้นที่กินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว นิสัยเธอส่วนนี้บางทีก็เป็นข้อเสีย มันทำให้ระบบการดำเนินชีวิตรวนไปได้ แต่ก็มันก็มีข้อดีตรงที่ว่า ด้านวิชาการต่างๆ ที่เธอสงสัย ก็มักหาคำตอบเอาจนได้

ส่วนเรื่องห้องแห่งความลับนั่น มันไม่มีประโยชน์ที่เธอจะต้องรับรู้ งั้นก็ให้มันเป็นท็อปซีเคล็ดของหอพักแห่งนี้ต่อไปแล้วกัน สักวันคงได้รู้คำเฉลย ตอนนี้ไปจัดการเรื่องเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นก่อนจะดีกว่า


........................


มาถึงชั้นล่างยังไม่ทันได้หายหอบดี สายตาเธอสอดส่ายหาคุณป้าคนเมื่อครู่ อยากถามสักหน่อยว่าห้างสรรพสินค้าใกล้ที่สุดอยู่แถวไหน คนในพื้นที่ที่อยู่มาเป็นสิบๆ ปีอย่างป้าน่าจะพอบอกได้ 

แต่จนแล้วจนรอด ชั้นล่างก็เงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เลย จะมีก็แต่แมวที่มีลวดลายคล้ายวัวสีขาวดำ นอนอ้วนอืดมองเธอจากตรงข้างห้องเก็บของใต้บันได มันคงถูกเลี้ยงไว้อย่างดีโดยคุณป้าเป็นแน่ สังเกตได้จากปลอกคอสีชมพูอ่อนพร้อมกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งสุดแสนน่ารัก 

มาริสาคิดว่าจะรอสักพัก เลยเดินตรงไปหาเจ้าแมวอ้วน ไม่มีเพื่อนให้พูดด้วย ก็พูดกับแมวคั่นเวลาไปก่อนก็ได้ คิดว่ามันคงเข้าใจภาษามนุษย์ได้บางคำ

“ว่ายังไงเจ้าแมว....” เธอยื่นมือไปแตะลูบหัวและหูนุ่มๆ ของมัน เจ้าแมวลายวัวหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข มันเป็นแมวสุขภาพดีตัวหนึ่ง ที่คาดว่าเป็นตัวเมีย ป้าคงเอาไปทำหมัน ไม่เช่นนั้นมันคงไม่พองกลมซะขนาดนี้

“กินเก่งด้วยสิเรา....อ้วนท้วนสมบูรณ์เกินแมวแล้วนะ” เธอเอ่ยจบแล้วก็หัวเราะคิกคักอยู่กับแมว หากแต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเสียงหัวเราะหยุดลง เจ้าแมวอ้วนกลับคำรามในลำคอ 

ฟ่อ ฟ่อ ....อะไรกัน เมื่อกี้ยังนอนกลิ้งให้เธอลูบหัวอยู่เลย พอทักว่าอ้วนทำเป็นมาขู่ มาริสาเลยต้องลุกถอยออกมาให้พ้นรัศมีของการข่มขู่โดยแมวอ้วนเจ้าถิ่น


........................


“อุ้ย! คุณป้า” 

เธออดเอามือทาบอกอย่างทกใจไม่ได้ ในเมื่อป้าท่าทางใจดีมายืนหน้าตานิ่งเรียบอยู่ข้างหลังเธอ อะไรกัน จะมาก็ไม่ให้ซุ่มให้เสียง ดีนะที่เธอไม่ตกใจกรี๊ดๆ แบบที่ผู้หญิงบางคนเป็นกัน

“ระวังหน่อยนะ มันจะข่วนทุกคนที่ว่ามันอ้วน” 

ป้าเหมือนจะพูดติดตลก แต่สีหน้ากลับดูจริงจังเสียเหลือเกิน สงสัยคงจะจริงอย่างที่ป้าบอก อุตส่าห์จะได้เป็นเพื่อนกับแมวเจ้าถิ่นแล้วแท้ๆ มีอันต้องถอยทัพเพราะมันยอมรับในความพองของตัวเองไม่ได้

“อ่อ ค่ะ” เธอรับคำ

“เมื่อกี้เรียกป้าเหรอ ได้ยินแว่วๆ” เหมือนว่าหูป้าแกคงไม่ดีด้วย เพราะเสียงเรียกเธอดัง และได้ยินชัดแน่ๆ คุณป้าคงทำธุระอย่างอื่นอยู่ล่ะมั้ง

“ใช่ค่ะ พอดีว่าจะถามว่าห้างฯ ที่อยู่ใกล้ๆ แถวนี้มีที่ไหนบ้างคะ สาอยากซื้อตู้เย็นเล็กกับไมโครเวฟสักหน่อยค่ะ” เธอเอ่ยถามกับป้า 

“ไม่ไกลหรอก ห่างจากนี่ประมาณสิบนาที แล้วมีรถมารึเปล่าล่ะคุณหมอ” ป้าคงหมายถึงรถส่วนตัวของเธอ เห็นว่านอกจากจะมีที่พักให้แล้ว ยังให้ที่จอดรถยนต์อีกคนละคัน เพราะเนื้อที่โรงพยาบาลนี้กว้างถึงกว้างมาก ถูกแบ่งออกเป็นหลายสัดส่วน 

ดูจากที่จอดรถที่ค่อนข้างว่างในยามเย็น คงไม่ค่อยมีใครมาพักในหอนี้สักเท่าไหร่ แล้วเธอก็ไม่มีรถมาจอดอย่างใครเค้า เพราะการเดินทางครั้งนี้มันกะทันหัน รถส่วนตัวของเธอได้ถูกทอดทิ้งไว้ที่บ้าน

“เอ่อ ไม่มีหรอกค่ะ พอจะเรียกแท็กซี่ไปส่งได้มั้ยคะ” 

รถก็ไม่มี เรียกรถโดยสารว่าจ้างจะได้ไหมน้อ น่าจะสะดวกต่อการขนตู้เย็นเล็ก และไมโครเวฟมาด้วย

“ตอนขาไปคงเรียกไปได้ แต่ตอนขากลับอาจเรียกรถยากหน่อยนึงนะคุณหมอ ถ้ายังไงเอารถป้าไปก็ได้นะ” ป้าแกเสนอทางออกที่ดีที่สุดให้เธอ เพราะตอนนี้ตะวันก็เริ่มลับขอบฟ้ามานิดๆ แม้ว่าเวลาเปิดทำการของห้างสรรพสินค้ายังไม่ปิดก็เถอะ

“เกรงใจน่ะค่ะ” เธอเอ่ยอย่างมีมารยาท แท้ที่จริงในใจก็อยากยืมเหมือนกันแหละ ปากก็เกือบจะเอ่ยถามว่าไหนคะรถของป้า 

แหม ก็ไม่ใช่ล่ะนะ ในเมื่อภาพลักษณ์ฉันเป็นคุณหมอใจดี๊ใจดี เอาเถอะ อย่างน้อยก็ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายได้ล่ะน่า ไว้ค่อยแวะซื้อขนมมาฝากคุณป้าเป็นการตอบแทน

“ไม่หรอกคุณหมอ มาๆ ตามมา” ป้าสูงวัยกวักมือให้เดินตามไปยังลานจอดรถด้านหลังหอพัก

“งั้นรบกวนด้วยนะคะ” มาริสายิ้มอายๆ สงสัยดวงตาเธอจะปิดบังไม่มิด ก็ป้าแกอยากช่วยก็ให้ช่วยแหละดีแล้ว จะได้ไม่เสียน้ำใจ

อ้อมตัวตึกไปได้ไม่มาก เธอก็ยังสงสัยอยู่ว่ารถของป้าคันไหนรึ กระบะคันใหญ่สีดำเงาวับคันนั้น เก๋งคันสีขาวมีสัญลักษณ์สีฟ้าสลับกัน หรือรถเล็กอีโคคาร์คันน้อยป้ายแดง ไม่น่าใช่สักคัน แล้วไหนล่ะรถคุณป้าคะ

“ขี่มอเตอร์ไซค์เป็นมั้ยคุณหมอ ถ้าซื้อตู้เย็นก็ให้พนักงานของห้างฯ มาส่งให้ก็ได้” 

ป้าชี้ไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันกลางๆ ไม่ถึงกับเก่า แต่ก็ไม่ถึงกับใหม่มากเท่าไหร่ ดูโดยรวมแล้วถือว่ายังอยู่ในสภาพที่พอรับได้

หงายเงิบสิ! ไม่ใช่ว่าเธอขี่เป็นหรือไม่เป็น แต่สะกิดใจตรงที่สายตาป้ามันฟ้องว่าอย่างเธอรึจะกล้าขี่มอเตอร์ไซค์ น่าจะเหมาะกับรถยนต์สักคันในที่นี้มากกว่าจะเป็นรถของป้าคันนี้

“ได้ค่ะ” 

มาริสายิ้มแล้วขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์อย่างคล่องแคล่ว นี่เป็นถิ่นที่เธอไม่ต้องมานั่งกังวลว่าที่บ้านจะตามมาบ่นเอาได้ ไหนๆ ก็เคยแอบเอารถของเพื่อนไปหัดขี่อยู่นานสองนาน จะโชว์ให้ป้าเห็นหน่อยแล้วกันว่าเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ

แววตาคุณป้าดูหลุดพ้นจากการปรามาสเธอไปได้เยอะ แม้หล่อนจะดูใจดี แต่ก็มีบ้างที่หล่อนต้องการจะทดสอบผู้ที่มาอยู่ใหม่อย่างเธอนั่นเอง แล้วเธอก็คงไม่ให้ใครมาดูถูกเอาได้ว่าทำตัวเป็นคุณหมอสูงส่งไฮโซ

แว๊นๆ.... มาริสาใส่หมวกกันน็อคคลุมศีรษะ รัดสายไว้อย่างหนาแน่นปลอดภัย จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นถีบสตาร์ทรถอย่างง่ายดาย หันไปยิ้มให้คุณป้าที่แอบมองกรายๆ ว่าบุคลิกของเธอช่างไม่เข้ากับรถคันนี้เอาเสียเลย

........................