ฉันก็แค่... ตอนที่1

ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้ เที่ยวบินที่... ประกาศอันแสนไพเราะน่าฟังดังกึกก้องไปทั่วสนามบินในระยะเวลาอันสั้น เธอนำตัวเองมาถึงประตูทางเข้าได้สำเร็จ ด้วยกระเป๋าสะพายข้างเพียงชิ้นเดียว ทำให้ไม่จำเป็นต้องโหลดสัมภาระใต้ท้องเครื่องบินให้เสียเวลายืนต่อแถวรอ เหตุว่าสายการบินราคาถูกย่อมเป็นที่ต้องการของคนทั่วไป รวมถึงเธอด้วย

มาริสาออกเดินทางจากสถานที่ที่ใจหนึ่งก็อยากจดจำ หากอีกใจหนึ่งอยากลืมมันทิ้งไปเสีย เพียงแต่สภาพเธอในตอนนี้ไม่สามารถคิดอะไรได้มากนัก จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ การพาตัวเองให้ไปถึงที่นั่งโดยเร็วคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ ณ เวลานี้

ท่วงท่าการไหว้สวัสดีของพนักงานบนเครื่องบินช่างน่าชื่นชมและน่าอิจฉาในคราวเดียวกัน หล่อนเป็นภาพที่น่ามองสำหรับคนทั่วไป ผิดกับเธอเสียจริง รอบดวงตาคล้ำด้วยอาการอดหลับอดนอน นัยน์ตาแดงก่ำราวกับว่าเส้นเลือดจะทะลุออกมาในไม่ช้า คนอย่างเธอสมควรจัดการตัวเองได้ดีกว่านี้ แม้เธอจะไม่ได้สวยงามจนเทียบเทียมมนุษย์ที่ยืนไหว้ด้วยท่าทางบรรจงนี้ได้ หากเธอก็ยังเรียกได้ว่าเคยน่ารักสดใส 

พอรู้ตัวเองอยู่ว่าภายนอกมันไม่น่ามองสักเท่าไหร่ แล้วทำไมเจ้าหล่อนต้องทำหน้าตาตื่นราวกับเห็นผีแบบนั้นเล่า ก็แค่ฉันทรงตัวไม่ค่อยอยู่ บวกกับอาการมึนหัว และเพลียจนเกือบจะฟุบหลับ

แน่ะๆ ยังมองไม่เลิก เธอไม่ได้ต้องการเครื่องดื่ม ชา กาแฟ หรือสินค้าสำเร็จรูปจากทางสายการบินของหล่อนสักหน่อย แค่อยากนั่งสบายๆ ไร้สายตาจ้องจับผิด

หรือจะเห็นเรามีพิรุธ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่กระเป๋าสะพาย ใครมันจะเอาไรซุกซ่อนมากระทำความผิดบนเครื่องบินได้ยะ ด่านตรวจก็ผ่านมาแล้ว แล้วคนแบบเธอก็ไม่คิดเอาชีวิตที่เฝ้าเพียรพยามด้วยความอุตสาหะมาทิ้งเพราะสิ่งผิดกฎหมายหรอกน่า

ผู้โดยสารท่านอื่นๆ ทยอยเบียดตัวเข้ามาอย่างเชื่องช้า บางคนขนกระเป๋าที่มองออกได้ว่าน้ำหนักเกินจนสมควรจะต้องโหลด ก็ไม่เห็นว่าพนักงานต้อนรับจะบ่นสักนิด อาจเพราะไม่อยากเสียเวลา และถึงบอกไป มนุษย์ป้ามนุษย์ลุงก็เถียงจนเอาชนะได้อยู่ดี 

อีกกี่คนกันกว่าที่นั่งทั้งหมดจะเต็ม ชักเริ่มตาลายแล้วด้วย ภาพเบลอๆ ข้างหน้าทำให้มาริสารู้ว่าอีกไม่นานเธอจะหมดสติ เธอปล่อยตัวเองให้นั่งคอพับคออ่อนบนเก้าอี้ผู้โดยสาร ค่อยๆ หลับตาให้แสงสีวูบวาบดับมืดลง....แล้วก็ได้ยินเสียงรบกวนจนน่าหงุดหงิด

“ขอโทษนะคะ รบกวนท่านผู้โดยสารปรับเบาะพนักพิงให้อยู่ในระดับปกติด้วยค่ะ” สำเนียงหวานจ๋อย เชิญชวนให้เธอทำตามโดยไว หากมันขัดอารมณ์ในเวลาเช่นนี้ เธอกำลังจะเป็นลม หัวหมุน คลื่นไส้ และ....

........ ........ ........ ........

อ้วกกกก แหวะ! .... ความอดกลั้นที่มีพังทลายลงเมื่อคอของเธอโก่งขึ้น พร้อมๆ กับที่สองมือฉวยเอาถุงมารองรับเศษซากอาหารเมื่อคืนไว้ได้ทัน กลิ่นเหม็นคละคลุ้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเธอรีบปิดถุงโดยไว อย่างน้อยเธอก็ยังพอมีมารยาทบ้างล่ะน่า 

ถึงแม้ตัวเธอไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร หากผลกระทบทางอ้อมมันก็ตามมาโดยไม่ได้คาดหมาย เมื่อเด็กแถวที่นั่งตรงข้ามเธอ เกิดคออ่อนขึ้นมากะทันหัน ลอกเลียนพฤติกรรมการอ้วกตามเธอซะงั้น ทว่าผิดตรงที่พ่อของเด็กน้อย หยิบถุงให้ลูกตัวเองไม่ทัน

ความไม่ได้ตั้งใจของเด็กส่งผลให้การเดินทางของผู้โดยสารคนอื่นต้องหยุดชะงัก เพราะกลิ่นอ้วกข้นๆ เหลวๆ สีเหลืองอ่อนกระจัดกระจายเต็มทางเดิน ซ้ำร้ายยังมีบางส่วนเกาะติดไปรอบๆ เสื้อและชายกระโปรงของพนักงานต้อนรับที่ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ 

ถึงแม้ผลกระทบที่เกิด ต้นเหตุจะมาจากเธอเต็มๆ แต่เธอก็ไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นขอโทษใครได้ในเวลานี้ แวบหนึ่งก่อนสายตาจะปิดลง เธอเห็นพนักงานต้อนรับผู้เคราะห์ร้าย ประคองเธอเอาไว้ไม่ให้หน้าคว่ำ เจ้าหล่อนจัดการชุดตัวเองเป็นอันดับสุดท้าย และเพื่อนพนักงานต้อนรับอีกคนกุลีกุจอเข้ามาจัดการอ้วกของเด็กน้อย พร้อมกับอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารท่านอื่นขึ้นนั่งได้สะดวก

“เป็นอย่างไรบ้างคะ” ใครบางคนถามเธอ พร้อมกับกลิ่นยาดมหรืออะไรสักอย่างทำให้เธอต้องทำจมูกฟุดฟิด คลี่ตาดูอย่างมึนๆ 

เสียงแว่วจากผู้โดยสารบางท่านกำลังบ่นว่าทำไมเครื่องบินไม่ขึ้นตามเวลาที่กำหนด ทำให้มาริสาประติดประต่อเรื่องราวได้ว่าเธอหลับไปไม่กี่นาทีที่แล้ว ส่วนข้างๆ เวลานี้มีแอร์โฮสเตสสาวกำลังเอายาดมจ่อจมูกเธอ 

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ส่งสายตาสำนึกผิดไปยังเสื้อผ้าของพนักงานสาวสวย และมองกวาดไปรอบๆ ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางหมดแล้ว เครื่องบินก็ควรจะออกได้เสียที  

แต่ความจริงมันยังไม่เป็นเช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นสายการบินที่มีราคาถือว่าถูกสำหรับการบินข้ามจังหวัด ทว่าความปลอดภัยของผู้โดยสารยังต้องมาเป็นอันดับแรก แล้วผู้โดยสารที่ถือว่าปลอดภัยน้อยสุดในตอนนี้ก็คือ....เธอนั่นเอง 

มาริสายกมือขึ้นกุมขมับ ไม่ได้ปวดหัวหรอก แต่รู้สึกอับอายเล็กๆ ไม่นึกว่าเรื่องเมื่อคืนที่เธอทำ มันจะส่งผลได้ยาวนานเรียงเป็นโดมิโน ล้มเป็นทอดๆ มาเรื่อยๆ คนอื่นต้องมาเดือดร้อนกับเธอไปด้วยเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ

“คุณคะ ปวดหัวมากมั้ย” พนักงานสาวในชุดสวยเปื้อนอ้วกเด็กเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง หล่อนพยามหากระดาษมาพัดอากาศเย็นๆ ต้องผิวเธอให้ได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง 

เธอปฏิเสธทุกอย่างว่าเธอไม่ได้เป็นโรคประจำตัวอะไร อีกทั้งตอนนี้ยังอาการดีขึ้นมาบ้างแล้ว อย่ากังวลกับเธอเล้ยยย เดี๋ยวเครื่องบินออกช้า พาลเอาทุกคนสาปแช่งเธอเสียเปล่าๆ มาริสาคิด

........ ........ ........ ........

“ผมกับตันสายการบิน....ขณะนี้สายการบิน....ต้องขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากมีผู้โดยสารท่านหนึ่งเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ทำให้การเดินทางเที่ยวบินนี้เกิดความล่าช้าไปบ้าง....แต่ผู้โดยสารท่านดังกล่าวยืนยันที่จะเดินทางพร้อมสายการบิน....

และท่านผู้โดยสารท่านใดที่เป็นแพทย์ พยาบาล หรือผู้ที่เกี่ยวข้องทางสายการแพทย์ ขอความกรุณาแจ้งแก่พนักงานต้อนรับ เพื่อทำการสลับเปลี่ยนที่นั่ง และช่วยเหลือท่านผู้โดยสารคนดังกล่าวด้วยครับ....” บลาๆ กัปตันร่ายมาซะยาวเชียว

ได้เรื่องแล้วสิเนี่ย มาริสากลืนน้ำลายลงคอ เธอค่อนข้างจะมีอาการดีขึ้นจากเมื่อสิบห้านาทีที่ผ่านมา ไม่ต้องประกาศก็ได้ย่ะ ใครจะรู้ว่าที่หน้าเธอออกอาการแดงๆ สลับคล้ำบ้างที่รอบดวงตา เกิดจากอาการอับอายซะส่วนใหญ่

ในช่วงเวลาไม่ถึงสามนาทีแห่งการรอคอย พยาบาลใจดีเพียบพร้อมทั้งใบหน้าและกิริยามารยาท เดินมาแลกที่กับคนที่นั่งอยู่ข้างเธอ คุณป้าผู้นั้นรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว คงกลัวว่าเชื้ออ้วกจากเธอจะแพร่กระจายไปแปะเอาได้

คุณพยาลบาลท่าทางเรียบร้อยยิ้มให้เธอหน่อยๆ ช่างเป็นยิ้มที่ดูเหมือนจะจริงใจในช่วงแรก หล่อนเข้ามาดูอาการ จากนั้นก็หรี่ตามองเธอ พร้อมกับรอยยิ้มที่แตกต่างไปจากเมื่อครู่มากมาย มันเป็นรอยยิ้มที่เรียกได้ว่าไม่เต็มใจ ปนเสแสร้งและแกล้งแสยะยกปากขึ้นเสียมากกว่า แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะมันก็ควรจะเป็นแบบนั้นแหละน้อออ

“ดีแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ” เธอตอบไปอย่างสุภาพ เพราะพยาบาลคนข้างๆ ยังคงต้องถามไถ่อาการเธอตามหน้าที่ 

มาริสาพยามเอื้อมมือจะหยิบกระเป๋าถือที่วางหมิ่นเหม่ แต่พยาบาลคนนั้นก็ดันเข้ามาช่วยถือไว้อีก หล่อนจัดแจงหยิบของที่ตกอยู่บางส่วนใส่เข้ากระเป๋าให้ 

โดยฉับพลันมาริสารีบคว้ากระดาษคล้ายนามบัตรแผ่นเล็กๆ มาถือไว้ในมือแล้วส่งยิ้มน้อยๆ ไปให้คุณพยาบาล เหมือนหล่อนจะไม่ได้สังเกตอะไรมาก ราวกับว่ามองสิ่งที่เธอรีบคว้าผ่านๆ

เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ เกือบไปแล้วจริงๆ เฮ้ออ....แค่นี้เธอก็อับอายมากพออยู่ละกับพฤติกรรมตัวป่วนบนเครื่องบิน ถ้าให้ใครมารู้มากกว่านี้ คงพาลทำเอาเธอหน้าแทรกแผ่นดินหนี เธอจะบอกใครไม่ได้เด็ดขาด ไม่มีทาง ไม่ได้ แอร๊ยยย เสียงกรี๊ดดังๆ ภายในใจพุ่งทะยานราวกับสายฟ้าบ้าคลั่ง กึกก้องในหัวให้เพิ่มความอับอายและมึนงงเข้าไปอีก

........ ........ ........ ........

“ท่านผู้โดยสารต้องการรับอะไรเพิ่มมั้ยคะ” มาอีกแล้วแอร์โฮสเตสคนเดิม เข้ามาถามไถ่อาการ ตามด้วยสอบถามอาการเธอจากคุณพยาบาลข้างๆ ที่ตอบกลับไปว่าไม่เป็นอะไรมากแล้ว เสื้อและกระโปรงของเจ้าหล่อนคงถูกเช็ดทำความสะอาดคร่าวๆ เพราะดูจากคราบอ้วกเด็กน้อย มันยังเป็นวาวๆ อยู่เลย

ส่วนเธอรึ นั่งยิ้มเจื่อนด้วยอารมณ์ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเท่าไหร่ อยากให้เวลาอีกยี่สิบนาทีที่เหลือบนเครื่องบิน ย่นระยะทางเหลือแค่นาทีเดียว 

ไม่ๆ ขอแค่สามวินาทีก็พอ เพราะอะไรน่ะเหรอ สายตาที่ทำท่าว่าจะหัวเราะไม่หัวเราะอยู่รอมร่อของพยาบาลที่นั่งเหล่มองอยู่ข้างๆ ทำเอาเธอสยอง หล่อนคงไม่ได้รู้อะไรหรอกน่า มาริสาคิดในใจ แต่ถึงรู้แล้วจะทำอะไรได้ คนเรามันก็ต้องมีอะไรผิดพลาดกันบ้างล่ะนะ 

ให้ตายสิ! ยังมองอยู่ได้ ยิ่งเครื่องกำลังลงจอดด้วย ทำเอาเธอที่มึนหัวอยู่แล้วยิ่งต้องมึนเข้าไปใหญ่เมื่อต้องคอยหลบสายตาของนางพยาบาลจำเป็นข้างกาย

ถึงที่หมายในที่สุด มาริสาเดินออกมาจากเครื่องบินรั้งท้าย เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาชวนน่าขนลุกมากนัก ตามติดๆ มาด้วยแอร์โฮสเตสคนเดิมที่เดินตามเธอออกมา คิดว่าคงเป็นหน้าที่ของเจ้าหล่อนที่ต้องส่งผู้โดยสารให้ถึงที่หมาย มันก็ถึงที่หมายแล้วนี่นา ไหนยังจะมีพยาบาลผู้เรียบร้อยทำทีเป็นว่าเธอยังต้องการคนช่วยเหลือเผื่อเกิดเป็นอะไรขึ้นมากลางทาง 

ไม่เอาน่า ฉันไม่เป็นไรแล้ว พวกคุณๆ ที่ติดตามมา จะมาส่งถึงที่พักฉันเลยรึไงคะ ไป๊ไป กลับๆ ไปทางใครทางมัน แยกย้ายได้แล้วค่ะ มาริสาเกิดอาการบ่นอยู่เพียงลำพัง จนครั้นเดินผ่านออกมาเจอะกับป้ายทางออกขนาดใหญ่

“คุณไม่เป็นไรแล้วนะคะ แล้วจะเดินทางไปที่ไหนเหรอคะ มีคนมารับหรือยัง” มนุษย์ชุดเปื้อนอ้วกถามเธอ

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันเรียกแท็กซี่ไปส่งได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” เธอยิ้มตอบด้วยแววตากึ่งขอบคุณที่พนักงานสายการบินนี้ทำหน้าที่ได้ดีเกินคาด ทั้งยังยอมเดินตามมาส่งเธอกับคุณพยาบาลถึงด้านนอกอีก

“เดี๋ยวฉันเดินไปส่งเองค่ะ” พยาบาลหน้าใสหันไปบอกกับนางฟ้าบนเครื่องบิน แล้วนางฟ้าผู้น่ารักก็เดินจากไป 

มาริสาคาดว่าหล่อนคงไปห้องน้ำอันดับแรก คิดแล้วก็ขำ แม้มันจะเป็นความผิดเธอเต็มๆ แต่มันก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ก็หล่อนเดินหายไปแล้วนี่ คงไม่ต้องมีมารยาทมากนักก็ได้ 

“คุณคงไม่เป็นอะไรมากหรอก ยิ้มออกมาได้แล้วนี่ จริงมั้ยคะ” ผู้ที่เดินตามมาติดๆ เอ่ยเสียงเรียบ 

อุ้ยต๊ะ! ลืมไปมีคนเดินตามมา นึกว่าแม่นางพยาบาลคนนี้จะแยกย้ายกันไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว นี่ไม่ต้องหวังดีเดินมาส่งถึงแท็กซี่ก็ได้นะคะ แค่นี้ฉันก็เกรงใจคุณหล่อนจะแย่แล้ว นั่น! ยิ้มแบบนี้อีกแล้ว เหมือนว่าหล่อนรู้ดีไปหมดทุกเรื่องของเธอ หรือหล่อนจะรู้ ไม่นะ ม่ายยย.... คงไม่มีทางรู้หรอก

“ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวฉันขึ้นแท็กซี่ไปเองได้ค่ะ” มาริสาเดินออกมายืนเตรียมจะขึ้นรถโดยสาร

“แน่ใจนะคะ” จรรยาบรรณที่ดีของหล่อนยังทำหน้าที่จนวินาทีสุดท้าย

“แน่ใจเป็นที่สุดค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ อย่างน้อยฉันก็อุ่นใจที่มีพยาบาลโดยสารมาด้วย ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยขอบคุณเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ถึงแม้มีบางอย่างในแววตากับรอยยิ้มแปลกๆ ของหล่อน แต่ก็ต้องยอมรับล่ะว่าหล่อนมาคอยดูแลเธอระหว่างทาง

“งั้นก็ดีแล้วล่ะค่ะ ฉันไปก่อนนะคะ” พยาบาลผู้สุขุม ยิ้มเก๋ไก๋แล้วเดินไปยังแท็กซี่อีกคันที่อยู่ถัดไปไม่ไกล 

มาริสารู้สึกโล่งอก หายจากอาการที่เป็นบนเครื่องบินไปเยอะ ต้องขอบคุณคนที่ช่วยเหลือเธอในวันนี้ หวังว่าคงไม่มีครั้งหน้าที่ต้องมาตกเป็นเป้าสายตาและเป็นตัวถ่วงของคนจำนวนมากให้เดินทางช้าไปหลายนาที เพราะบางคน หนึ่งนาทีของเค้าอาจมีค่า

เธอยื่นมือจับประตูรถแท็กซี่ แต่ด้วยเหตุอันใดก็ไม่ทราบที่ทำให้ต้องหันไปมองยังบุคคลที่นั่งมาข้างเธอระหว่างการเดินทาง หล่อนยังมีท่วงท่าที่ดูสุภาพนุ่มลึกอยู่ตลอดเวลา และเหมือนว่าสายตาหล่อนยังคงมองการเคลื่อนไหวของเธออยู่ จึงเอ่ยทิ้งท้ายให้เธอก่อนจะมุดหายเข้าแท็กซี่ไป

มันเป็นคำทักทายปกติที่ทำให้เธอตัวชา ไม่ใช่เหตุผลอื่นใดนอกเหนือไปจากการที่หล่อนรู้จักตัวตนของเธอ อีกทั้งยังรู้ถึงอาการทั้งหมดที่เธอเป็น มาริสากลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอกับคำกล่าวนั้น....

“แล้วเจอกันนะคะ....คุณหมอ”



........ ........ ........ ........