ฉันก็แค่... ตอนที่15

ปึกๆๆ! 

เธอโดนกิ่งไม้ที่ยื่นลงมาปัดใส่หน้าเป็นรอบที่สามเห็นจะได้ นภัสสรที่สูงกว่านั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคในการหลบกิ่งไม้เลย ทำไม๊ทำไม ธรรมชาติลงโทษฉันรึไงกัน แค่ฉันไม่อยากจะเชยชมกิ่งไม้พวกนี้ ถึงกับต้องฟาดหน้าฉันซะหลายรอบ

“สาๆ ดูน้ำตกตรงนั้นสิ ท่าทางเย็นสบายว่ามั้ย” นางฟ้าชี้ชวนดูทุกสรรพสิ่ง แล้วพอหันไปได้ไม่นาน กิ่งไม้ก็ลอยอยู่ตรงหน้า

เธอแทบมองไม่เห็นเงาของพ่อและแม่ของคุณนางฟ้า สองคนนั้นคงมาเที่ยวที่นี่บ่อย เดินนำลิ่วๆ ไปถ่ายรูปทิวทัศน์อย่างไม่สนใจบุตรและธิดาที่ลากสังขารตามมา มันควรจะเป็นกลุ่มเธอที่เดินนำคนสูงอายุทั้งสอง ทว่าร่างกายนี้พึ่งรู้ว่ามันอ่อนแอกว่าที่คิดก็คราวนี้แหละนะ

“น้องสาไม่ค่อยได้มาเที่ยวแบบนี้ล่ะสิ” เอาอีกแระ เจ๊นิดหน่อยคงเห็นกิ่งไม้กิ่งที่สี่เฉาะหน้าเธอเลยทักขึ้น

“ค่ะ สาไม่ค่อยได้มีโอกาสมา” และถึงมีโอกาสก็ไม่ค่อยอยากจะมาค่ะคุณพี่ 

“เห็นว่าบ้านน้องสา มีบ้านพักตากอากาศริมทะเล นึกว่าจะได้เที่ยวบ่อยซะอีก” 

นางทำหน้าครุ่นคิดและประมวลผล เคยไปสัมมนาร่วมกับคุณสมรศรีอยู่รอบหนึ่ง มารู้เอาทีหลังว่าเจ้าของสถานที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลนั้นเป็นของคุณพ่อมาริสา

“โห จริงเหรอสา ไม่เห็นจะเล่าเลย อยู่ที่ไหนกัน พาไปบ้างสิ” นภัสสรออกจะอึ้งและตกใจที่ได้ยิน ไมคนที่มีบ้านพักตากอากาศซึ่งน่าจะราคาแพงกลับไม่มีแม้แต่เงินจะใช้คืนเธอ

“ขะ ขายไปแล้วมั๊ง จำไม่ได้ค่ะ” มาริสาไม่ได้ตอบนภัส แต่หันไปบอกกับคุณเจ๊ว่ามันไม่มี๊ไม่มี 

“ไม่นี่ พึ่งไปสัมมนากับคุณสมรศรีเดือนที่แล้วเอง คุณแม่น้องสายังเอ่ยชวนหลายคนไปบ้านบนเขาด้วยนะ เห็นบอกว่าที่นั่นกว้างกว่าเยอะ” คุณรุ่นพี่ที่แสนดีกำลังเล่าถึงฐานะการเงินบ้านเธอ 

จบเห่กัน ยัยนภัสจะรีบทวงเงินฉันมั้ยเนี่ย ถ้าจนตรอกจริงคงต้องขอยืมคุณธาดาดีกว่าแบกหน้ากลับบ้าน เพราะกลับไปจะได้ออกมาอีกรึเปล่าก็ไม่รู้ เฮ้อ ยัยนิดหน่อย หล่อนน่าจะชื่อเยอะแยะมากว่านะคะ 

“อ่าค่ะ” มาริสาทำเป็นสนใจกับแก้วน้ำกระดาษที่พี่ชายของนภัสรินน้ำจากเหยือกแจกทุกคน

“น้องสา เพิ่มมั้ยครับ” เขาคงเห็นเธอตั้งใจดื่มน้ำมากกว่าจะสนทนากับใคร 

แน่ล่ะนะ ยัยเยอะแยะจะรู้ไปซะทุกเรื่องของเธอเลยรึไง ก็รู้อยู่ว่าแฟนคลับแม่เธอมีเยอะ แต่แม่นะแม่ ทำไมต้องชอบอวดทุกคนไปซะหมดทุกอย่าง ลัทธิคลั่งความเพอร์เฟครึยังไงกัน

“แล้วว่าที่คู่หมั้นของสาเป็นยังไงเหรอคะ” เธอแอบได้ยินคุณนางฟ้าคุยกับพี่สะใภ้

โอ๊ย ตายๆ หล่อนจะอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเบื้องลึกเบื้องหลังฉันซะขนาดนั้นคะ มาริสาถอนหายใจส่งแก้วน้ำคืนให้พี่ชายสุดหล่อ แสร้งทำเป็นเดินเลี่ยงไปถ่ายรูปดอกไม้พุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปสักสิบยี่สิบเมตร ถ้าไม่ติดว่าเธอเริ่มเมื่อยคงเลือกวิ่งตามกลุ่มของคุณพ่อคุณแม่นั่นไปละ

เธอถ่ายภาพดอกไม้ไปตั้งสามสิบกว่าภาพ พวกหล่อนๆ นั่งพักกันยังไม่พออีกเหร้อออ ยังคุยจุ๊กจิ๊กกันอย่างกับมีเรื่องจะนินทาระยะเผาขนเธอซะอย่างงั้นแหละ ยังดีหน่อยที่คุณพี่ชายไม่สนใจเท่าไหร่ เขาพยามเอากล้องมาส่องดูนก 

“ไหนถ่ายอะไรไปบ้างแล้ว” นภัสสรเดินมาหยุดตอนเธอกำลังเบลอๆ เกือบยืนหลับในอยู่ตรงนี้ พวกหล่อนเมาส์กันนานเหลือเกิน

“อ่าว มีแต่ดอกไม้เหรอ” นภัสเปิดดูในเครื่องมือถือ มันไม่ใช่จะมีดอกไม้สวยๆ หรอก แต่มันเป็นดอกไม้พุ่มเดิมๆ ที่ถ่ายซ้ำไปซ้ำมา ทั้งยังไม่ชัดจนเรียกได้ว่ากดชัตเตอร์แก้เซ็งไปงั้นแหละ 

“ยิ้มหน่อยๆ” หล่อนคงเห็นหน้าเธอบูดๆ เบี้ยวๆ เลยกระโดดเข้ามาเกาะแล้วยกกล้องมือถือขึ้นเพื่อจะถ่ายรูปคู่

“เดี๋ยวดิ” มาริสาคุ้ยหาเศษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดหน้า เหงื่อเต็มซะขนาดนี้ ถ่ายคู่กับยัยสวยนี่ ฉันก็ดับกันพอดี และถึงหล่อนจะไม่ได้เช็ดหน้าเช็ดตา รัศมีมันก็กลบกันอยู่กลายๆ ละ

“โห่ ฉันเช็ดบ้างสิ” นภัสสรจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าบ้าง

“ไม่ต้อง ถ่ายเลย” มาริสารั้งมือนั้นได้ทัน รีบคว้ามือถือมากดหยุดภาพนิ่งเอาไว้ ฮ่าๆ สะใจเล็กๆ อย่างน้อยเธอก็ยังดูสดชื่นกว่ายัยนางฟ้าหน่อยนึง กร๊ากๆๆ

“สาขี้โกงนี่ ถ้าฉันไม่สวยลบเลยนะ” นภัสบ่นอิดออด 

แหม่ ฉันก็อยากเห็นมุมที่หล่อนบอกไม่สวยแหละย่ะ ถ้าฉันมั่นหน้าได้เท่าหล่อน คงไม่ต้องมีเทคนิคตุกติกนี้หรอก มาริสาคิด

“หึหึหึ” คุณหมอแอบหัวเราะในลำคอ เดินไม่รู้ไม่ชี้ไปตามทางข้างหน้า 

อีกไม่นานจะถึงที่พักแล้ว เธอทนเมื่อยมาตั้งสี่ชั่วโมง เป็นการลุยป่าที่ทรหดอดทนเหลือหลาย ร้อนก็ร้อน เหงื่อก็เต็ม วิวก็สวยจริง แต่ร้อนขนาดนี้ไม่มีอารมณ์ชมสิ่งใด กลับไปจะแช่สระน้ำนั่นให้ชุ่มปอดเลย

 มาริสารู้สึกมีพลังขึ้นมากะทันหัน เธอเห็นบ้านพักลอยมาแต่ไกล ความสบายกำลังคืบคลานผ่านทิวทัศน์นี้มาเรื่อยๆ จงเดินไปหามัน อย่าหยุดแม้ทางข้างหน้าจะขรุขระเพียงใดก็ตาม คริคริ

“รีบไปไหนกัน ฮึ” 

นภัสเรียกเธอให้หันกลับไปมอง เหล่าผู้ร่วมขบวนห่างกันเป็นสิบๆ เมตร 

“อ่อ” เธอเลยยืนรอพวกอ้อยอิ่งดื่มด่ำธรรมชาติซะให้เพียงพอ

“เดี๋ยวเราจะไปปีนเขาต่อนะ” นางฟ้าเดินมาถึงก็บอกให้ฟัง ทำเอาเลือดไปเลี้ยงใบหน้าซีดๆ เกือบไม่ทัน

“อะ เอ่อ ค่ะ” อะไรกัน วันนี้ฉันจะออกจากป่าร้อนระอุนี้ไม่ได้เลยรึไงกัน แง๊ คิดแล้วน้ำตาจะไหล 

“ฮ่าๆ ล้อเล่นค่ะ ไม่ได้ไปปีนเขาหรอก แค่จะไปตั้งแค้มป์ก่อกองไฟรับประทานอาหารกันก่อนกลับที่พักเท่านั้นเอง” นภัสสรล้อเล่นซะน่ากลัวเลย เธอคิดภาพตัวเองตกลงจากหน้าผา เพราะไร้ซึ่งแรงใดๆ ในการปีนป่ายต่อ

แต่ถึงอย่างนั้น สระน้ำเย็นสบายก็คงไม่ได้แช่ อนาถจังชีวิตฉัน จะได้มีวันหยุดทั้งที กลับโดนยื้อแย่งเวลาไปเพราะครอบครัวหรรษาของนภัสสร เปลี่ยนใจไม่เป็นเพื่อนหล่อนทันมั้ยคะเนี่ย


........................


จนมาสู่ทางเดินกลับที่พัก หากเลี้ยวซ้ายก็คงได้ไปนอนลอยตัวอยู่ในสระน้ำ แต่ถ้าเลี้ยวขวาก็จำต้องไปตั้งแค้มป์ไฟปิ้งย่างเนื้อ กินกลางวิวธรรมชาติ 

ณ ตอนนี้เธอคงต้องตัดใจจากสระน้ำเสียแล้ว เพราะแสงสว่างของดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้า สภาพอากาศที่ปกคลุมพื้นที่แห่งนี้พร้อมใจกันเย็นขึ้นมาทันที กลางคืนไม่รู้จะหนาวสักแค่ไหน 

เธอเดินไปช่วยคุณแม่ของนภัสปิ้งบาบีคิว หล่อนส่งไม้ปิ้งเนื้อให้และชวนพูดคุยอย่างเป็นกันเอง บรรยากาศดูเป็นครอบครัวสุขสันต์สุดๆ ทุกคนไม่เห็นว่าจะเหนื่อยกับการเดินทางนี่สักเท่าไหร่ 

มาริสาแม้จะเหนื่อย แต่ส่วนหนึ่งเธอรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านความสัมพันธ์ในครอบครัว ความรักความผูกพันธ์ระหว่างสายใยนี้ตัดไม่ขาด 

ทำไมรู้สึกเศร้า หรือเพราะครอบครัวแสนอบอุ่นนี้เธอไม่เคยมี รู้อยู่ว่าแต่ละคนมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ กระทั้งวงศาคณาญาติทุกคนยังสายตัวเป็นเกรียว ความสำเร็จของพวกเขาขึ้นอยู่กับเงิน ความสำคัญของกิจการ และก็ชีวิตคนไข้ที่เป็นเดิมพัน ดูเหมือนว่าจะเป็นการเสียสละ แต่ที่จริงแค่เราทำให้มันพอดี ทุกคนก็มีความสุขได้ไม่ใช่เหรอ ไม่จำเป็นต้องสุดโต่งขนาดนี้เลย 

เธอยกแก้วที่พี่ชายนภัสส่งให้ขึ้นมาดื่ม มองดูเนื้อที่กำลังยุ่ยในเต่าถ่าน เนื้อนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว คงจะกลับคืนสภาพเดิมของมันไม่ได้อีก ไม่ต่างจากเธอที่ไม่อาจย้อนกลับไปแบกรับความกดดันนั้นได้

ทุกอย่างที่เคยทำ เรียน กิจกรรม เข้าสังคม ทุกอย่างจริงๆ ที่เธอพยามทำให้วงตระกูลพอใจ แต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีทีท่าว่ามันจะสิ้นสุดลง มาริสาหวังเพียงความสุขของเธอแค่อย่างเดียวเท่านั้น ความสุขที่หัวใจจะได้ลองรักใครสักคน เธอกลับโดนปฏิเสธในสิ่งที่ขอ ซ้ำยังถูกยัดเยียดความสุขนั้นด้วยชีวิตคู่ซึ่งจะผูกมัดเธอไปตลอดชีวิต

“สามไม้จ้า” คุณพี่นิดหน่อยยื่นจานมาให้เธอ 

สงสัยเธอคงต้องยืนปิ้งให้หล่อนอีกแน่ๆ เลย เพราะคุณแม่นั้นง่วนอยู่กับการเสียบผักและเนื้ออยู่ทางโต๊ะอีกด้าน

“มา พี่ช่วย” หล่อนเสนอตัว

“งั้น เดี๋ยวสาไปเอามาเพิ่มนะคะ” 

เธอเหลือบมองหาทางออก ขืนยืนปิ้งอยู่กับหล่อนนานๆ มีหวังได้โดนขุดคุ้ยถามนู่นนี่อีกแน่

“เดี๋ยวสิ ไม่ใช่ว่างั้นว่างี้หรอก ลำบากใจรึป่าวที่พี่พูดถึงครอบครัวสา” หล่อนจับแขนเธอไม่ให้หลบจากเตาบาบีคิวช่วยกันปิ้ง

“ก็ไม่นี่คะ” เธอมองหล่อน แล้วฉีกยิ้มแบบมารยาทผู้ดี รอยยิ้มปั้นแต่งที่มักจะทำอยู่บ่อยๆ เวลาออกงานกับคุณแม่ หล่อนคงสะดุ้งที่เห็นเธอยิ้มหวานจ๋อย คุณพี่นั่นเลยก้มลงมองไม้บาบีคิวแทน

“เพราะข่าวลือ เลยต้องหมั้นรึป่าว” หล่อนถามเธอเป็นเชิงกระซิบให้ได้ยินกันสองคน 

“อะไรคะ สาไม่เข้าใจ” เธอไม่ได้หลบหล่อน และต้องการจะอยู่ให้รู้ว่าแม่นี่ต้องการอะไรจากเธอกันแน่ คนทั่วไปคงไม่จี้เรื่องเธอมากขนาดนี้เพียงเพราะรู้จักกับคุณแม่เธอ และเป็นแค่รุ่นพี่ในคณะที่ไม่ได้สนิทกันเลย

“เรื่องสากับรุ่นน้องที่ชื่อแพรวพราว” หล่อนถามหน้าตาย อย่างกับเราสนิทสนมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน แต่เดี๋ยวนะ ยัยนี่จะรู้เยอะแยะไปไหนกัน 

“ทำไมเหรอคะ” มาริสาใช้รอยยิ้มแสนดีแล้วแสร้งจับไม้ปิ้งพลิกไปมา

“ที่ว่าคบกันอยู่จริงรึป่าว” อะไรกัน หล่อนต้องการรู้เรื่องเธอไปทำไม ถ้าไม่ใช่เอาไปนินทา

“ไม่นี่คะ สาไม่ได้เจอพราวมาจะเป็นปีแล้ว” เหอะ จะให้ฉันตอบยังไง ลึกๆ ฉันอยากตอบหล่อนนะว่าเราคบกัน แต่คนที่ฉันอยากจะคบนี่สิ อยู่ดีๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งยังปฏิเสธความสัมพันธ์นี้โดยไร้เยื่อใย 

“ก็ดีแล้วล่ะ เห็นว่าพื้นฐานครอบครัวของน้องพราวไม่ค่อยจะดี....” ไม่ดีแล้วหนักหัวสมองหล่อนตรงไหนไม่ทราบ แพรวพราวไม่เคยทำตัวเป็นภาระใครสักหน่อย

“ถ้าพี่มาเพื่อถามเอาความจริง สาว่าสาตอบไปแล้วนะคะ” เธอขัดหล่อนด้วยคำพูดกึ่งปัดรำคาญ 

อยากได้เรื่องไปเมาส์ล่ะสิ ตามสบาย ฉันไม่สน แต่อย่ามาว่าร้ายให้แพรวพราว พวกหล่อนก็แค่รวมหัวกันนินทาพราวมาตั้งแต่ยังเรียนอยู่แล้วไม่ใช่รึไง

“เดี๋ยวสิ” หล่อนรั้งแขนเธอไว้อีก

“คะ” มาริสาเอ่ยไปด้วยน้ำเสียงแสนสุภาพ แต่แววตานั้นกำลังฉายแววอำมหิตแบบที่สืบทอดมายังสายเลือด แม่ยังไงลูกอย่างงั้น

“อะ เอ่อ เห็นว่าแพรวพราวกลับมาเรียนต่อแล้วนะ” หล่อนพูดตะกุกตะกัก หลบตาเธอแบบขอไปที ทว่าคงอยากเห็นอากัปกิริยาที่เธอแสดง 

“ก็ดีแล้วค่ะ” มาริสายกแก้วดื่มจนหมด พฤติกรรมเธอนั้นอยู่ในการลอบมองของคุณนิดหน่อยอยู่ตลอด เธอเลยขยำแก้วกระดาษในมือแล้วปามันลงถังขยะข้างเตาปิ้งบาบีคิวให้รุ่นพี่ที่ยืนเหลือบๆ มองนั้นต้องสะดุ้ง

“เผาเนื้อมากไป ระวังไฟมันจะลามเข้าตัวนะคะ ปิ้งแต่พอดีก็พอมั๊งคะ” เธอเห็นเนื้อและผักที่หล่อนปิ้งเริ่มจะไหม้ คล้ายๆ กับเธอที่โดนหล่อนนินทาในระยะเผาขน

มาริสาเดินหลบไปที่โต๊ะ เธอไม่คิดจะกินอาหารอะไรต่อแล้ว จึงนั่งมองคนนั้นคนนี้พูดกัน ตอบบ้างเป็นบางประโยคที่ถูกเอ่ยถาม

“นี่พอก่อน” นภัสร้องห้ามพี่ชายที่กำลังรินน้ำหวานใส่แก้วใบใหม่ให้เธอ

“โถ่ภัส นานๆ ทีใช่มั้ยน้องสา” เขาชนแก้วกับเธอแล้วก็เริ่มร้องเพลงที่สื่อความหมายถึงความสามัคคี มาริสาหัวเราะกับเสียงอู้อี้ของเขา จากนั้นก็ร้องตามท่อนที่พอจะจำได้ 

ครั้นเมื่อเสียงเพลงจบลง คุณพี่แสนเยอะแยะก็เข้ามานั่งข้างๆ ว่าที่สามีของนาง ทำมาป้อนบาบีคิวให้กัน เห็นแล้วแทบอยากอ้วก นางดูเป็นรุ่นพี่ที่เฮฮาเมื่อสมัยเรียน ทว่านิสัยเสียตรงชอบนินทานี่แหละ ก็รู้ว่านินทามันไม่ได้ทำให้ใครตาย แต่ถ้านินทาผิดๆ ผลลัพธ์ของคนโดนเผาก็คงใกล้ตายได้เช่นกัน

“ฮะอึก” เธอสะอึกกับลมหายใจร้อนระอุของตัวเอง มองไปรอบๆ โต๊ะ ทุกคนยังนั่งเสวนากันเหมือนวันรวมญาติ เพราะไม่นานนี้เหล่าลุงป้าน้าอาของนภัสสรก็พึ่งอพยพเข้ามาแจมในปาร์ตี้ย่อมๆ นี้ 

ดีแล้วล่ะ ทำให้เธอไม่ต้องตกเป็นที่สังเกตอีกต่อไป ง่ายนักที่จะขอปลีกตัว 

“เดี๋ยวสาขอตัวไปบ้านพักก่อนนะคะ” เธอบอกกับพี่ชายนภัสที่ยื่นเครื่องดื่มใสใส่แก้วให้เธอ ก่อนจะชนแล้วยกดื่มคล้ายๆ กับจะบอกลาจากวงเหล้า

มาริสาค่อยๆ ย่องออกจากความครึกครื้นนี้ไปทางบ้านพัก เธอเห็นนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มกำลังเฮฮาอยู่ในพื้นที่รอบๆ บ้างก็แช่น้ำอยู่ในสระที่บ้านพักของตน บ้างก็ตั้งแค้มป์ไฟไม่ห่างจากกลุ่มของเธอ

การท่องเที่ยวครั้งนี้คงเป็นความสบายใจของหลายๆ คน และน่าจะรวมถึงเธอ หากไม่ได้ยินจากปากเจ๊นิดหน่อยเสียก่อนว่าแพรวพราวกลับมาแล้ว อันที่จริงหัวใจเธอกระโดดโลดเต้นเหมือนวานรได้แก้ว แต่ก็ต้องชะงักลง เพราะวานรนั้นถึงจะเอาแก้วมาได้ แต่ไม่สามารถทำสิ่งใดกับมันได้เลย และความสัมพันธ์ที่เป็นดั่งแก้วล้ำค่าก็ไม่อาจสานต่อใดใดได้เช่นกัน.... สงสัยว่าสุดท้ายแล้ววานรจำต้องปล่อยลูกแก้วไป


........................