คนที่ใช่ในเวลาที่ผิด สรุปที่ผิดคือเวลาสินะ ไม่ใช่คน.... แต่สำหรับเธอแล้วจะเวลาไหนมันคงไม่มีทางถูกต้องไปได้หรอก
ให้ทำอย่างไรเล่า ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ ฝืนสิ่งที่ไม่มีทางให้มีทางสักนิด คงเรียกว่าปาฏิหาริย์สำหรับมาริสา เธอก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่อยากจะมีความรักกับเค้าบ้างไรบ้าง
ดูเหมือนมันยากเหลือเกิน มาริสาถอดใจอีกรอบ แต่คราวนี้ไม่ใช่เรื่องความร้งความรักอะไรหรอก เธอดันลืมขอกุญแจห้องจากนภัสสร เลยทำได้แค่นั่งรออยู่หน้าสระน้ำตรงลานกลางบ้าน
กุญแจก็ไม่มี รักก็คว้าไว้ไม่ได้ มันอะไรกันนี่ชีวิต.... อยากเข้าห้องไปหลับวุ้ย เซ็งเป็ดเซ็งไก่ เซ็งนกเซ็งหนู เธอหงุดหงิดเลยยืนมองลงไปในสระน้ำเผื่อว่าแสงสว่างที่ส่องกระทบผิวน้ำจะทำให้จิตใจสงบลงได้ แต่คงไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อเงาสะท้อนของตัวเองที่เกิด เป็นภาพคลื่นหยึกหยักราวกับใบหน้ากำลังยิ้มเยาะเย้ยเธออยู่
“หัวเราะไรฟระ” เธอด่าตัวเองที่เป็นภาพสะท้อน ลืมตัวเผลอทุบคลื่นน้ำนั่นด้วยมือเปล่า
ตู้ม!
เสี้ยววินาทีร่างคุณหมอสาวก็ตกลงในสระน้ำแสนเย็นสบายที่เคยปรารถนา นี่มันช่างเหมือนฝันสุดๆ แต่ดันผิดเวลา เพราะน้ำในสระเลยจุดเยือกแข็งไปสำหรับมนุษย์อย่างเธอ
มาริสาจะเกียดตะกายมายังขอบสระ หนาวจริงไรจริง เธอบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะดันตัวเองขึ้นมานั่งยังขอบสระได้สำเร็จ พลันรู้สึกมึนหัวขึ้นมาจึงลุกเดินไปนั่งยังเก้าอี้ยาวใกล้ๆ
เฮ้อ มาริสาทิ้งตัวลงนอนกับเก้าอี้สนาม มองแสงดาวระยิบระยับซึ่งไม่มีอยู่บนฟากฟ้า มันเป็นแค่ดาวในจินตนาการ มโนภาพเพ้อฝันบอกว่าตอนนี้เธอได้ล่องลอยอยู่บนสวรรค์ ที่ๆ เป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว....
........................
นภัสสรนั่งคิดถึงเรื่องที่พี่สะใภ้ได้บอกเล่าถึงครอบครัวมาริสา ไม่นึกว่าฐานะทางบ้านของเพื่อนคนนี้จะมีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม แรกก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ เพราะตอนได้เจอกับมาริสา หล่อนดูเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาทั่วไป
ถึงจะมีเรื่องโชคร้ายที่ทำให้หล่อนเสียเงินบ้างก็เถอะ มาริสาก็ยังดูไม่คล้ายกับคนที่มีอันจะกินล้นเหลือเป็นสิบชาติขนาดนี้เมื่อเทียบกับพฤติกรรมที่หล่อนมี แต่ถ้าบอกเป็นลูกคนมีเงินก็คงเชื่ออยู่ เพราะใบหน้านั้นดูไม่เหน็ดเหนื่อยและคล้ายจะเป็นคุณหนู
อย่างไงก็เหอะ แม้ว่าทางบ้านหล่อนจะรวยเพียงไร เธอก็คิดว่าแววตาใสซื่อนั้นไม่ได้โกหกว่ากระเป๋าสตางค์หล่อนแห้งเหี่ยว เธอเลยไม่คิดจะถามถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ให้มาริสากระวนกระวาย
แต่ก็นะ พี่นิดหน่อยยังเล่าล้วงลึกตับแตกในสิ่งที่เธอไม่อาจจะอ่านมาริสาได้ออก ก็เลยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ด้วยรู้ว่าพี่สะใภ้นั้นชอบคุยฟุ้งนั่นนี่ แต่นิสัยเจ๊นิดก็ไม่ใช่คนไม่ดีขนาดที่รับไม่ได้
มาริสาต้องหมั้นหมายเพราะมีข่าวลือถึงความสนิทสนมเกินพอดีกับเพื่อนรุ่นน้องของหล่อน อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่ เรื่องแบบนี้มันน่าจะเป็นการใส่ร้ายมาริสามากไปรึเปล่า หล่อนยังดูไร้เดียงสาสำหรับเรื่องความรักในความคิดเธอ ไม่แน่ว่าอาจเป็นแค่ความคุ้นเคยที่คนเอาไปใส่ไฟ เรื่องแบบนี้เธอก็ไม่คิดจะถาม เป็นอย่างไรก็ช่าง มันไม่ใช่เรื่องที่เธอจะเข้าไปยุ่ง
ว่าแต่เพื่อนหมอหน้าเด็กของเธอหายไปไหนซะแล้วล่ะ เมื่อครู่ยังเห็นนั่งดื่มอยู่กับคุณพี่อยู่เลย คงไม่ได้ไปหาเรื่องใครแถวนี้หรอกนะ ห้ามแล้วยังจะดื่มเข้าไปอีก ไม่ฟังกันบ้างเลย
“สาไปไหนแล้วล่ะคะ” เธอหันไปถามพี่สะใภ้
รายนี้น่าจะรู้ความเป็นไปของทุกคนมากกว่าแฟนของหล่อนที่นั่งเคลิ้มอยู่ข้างๆ
“เห็นว่าขอตัวไปกลับไปพักที่บ้านก่อนน่ะ ไปได้สักพักแล้วนะ” คุณพี่สะใภ้ที่ดูเบลอๆ ยังตอบเธอได้ชัดถ้อยชัดคำ
“ค่ะ” นภัสสรไปคุยกับคุณป้าเดี๋ยวเดียวเอง หันกลับมา มาริสาหายแว้บไปซะละ นึกว่าไปเข้าห้องน้ำเสียอีก
เธอเลยเดินไปคุ้ยหากุญแจที่วางในกระเป๋าสะพาย อ้าว คุณหมอท่าจะลืมหยิบไป แล้วหล่อนจะเข้าไปพักในห้องได้ยังไง
“เดี๋ยวภัสไปที่บ้านก่อนนะคะ” เธอบอกกับพี่สะใภ้ที่พยักหน้าหงึกหงัก
นภัสสรรีบเดินรวดเร็วไปยังตัวบ้าน ใจคิดไปว่าระหว่างทางคุณหมออาจเข้าไปท้าคนนั้นคนนี้ชวนหาเรื่องไปทั่ว หรือไม่ก็อาจจะน้อคเอ้าท์ไปแถวๆ นี้แหละ แย่จริง ไม่น่าปล่อยให้ดื่มเข้าไปมากขนาดนี้
ไม่รู้ว่าปกติเวลาหล่อนดื่มนี่ลากคนรู้จักไปด้วยรึเปล่า อาการน่าเป็นห่วงนะคะแบบนี้ ไม่ไปหาเรื่องเค้า ก็อาจจะมีคนมาหาเรื่องซะเอง หล่อนดูมีภูมิฐานตอนทำงานก็จริง แต่พอเหล้าเข้าปาก ทำไมเปลี่ยนได้เร็วขนาดนี้ก็ไม่รู้
“สา อยู่ไหนน่ะ” เธอเดินเข้ามาในตัวบ้าน ไม่เห็นแม้แต่วี่แววของคุณหมอตัวยุ่ง นางจะโดนใครพาไปมั้ยเนี่ย โอ๊ย ไม่อยากจะคิดแง่ลบเลย แต่เดินกลับมาได้คงมีสติอยู่ล่ะนะ
นภัสสรเดินดูรอบตัวบ้าน เธอเกือบจะไปขอคุณลุงที่เป็นเจ้าของที่พักเปิดกล้องวรจรปิดดูว่าเพื่อนเดินไปทางไหนบ้าง แต่เมื่อกลับเข้ามาในตัวบ้านอีกครั้งก็เห็นว่ามีรอยน้ำจากสระน้ำเป็นทางยาว สงสัยคงอยากเล่นน้ำจัดล่ะมั๊ง
นภัสเดินไปตามรอยลากของน้ำ บางจุดก็เริ่มจะเลือนๆ ลางๆ ไปบ้างละ จนเมื่อเธอมาหยุดอยู่ตรงเก้าอี้สนามก็เห็นความผิดปกติของบางสิ่งที่วางอยู่บนเก้าอี้ ก้อนอะไรสักอย่างถูกหุ้มด้วยเสื่อปูนั่ง
ไม่ผิดแน่ๆ ก้อนนั้นรูปร่างลักษณะคล้ายจะเป็นเพื่อนของเธอเอง นภัสเลยส่องดูในม้วนเสื่อ โอ้วแม่เจ้า หล่อนนอนขดอยู่ในนั้นได้อย่างพอดิบพอดี
“สา ตื่น ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ” นภัสดึงเสื่อที่ม้วนตัวหล่อนออกแล้วเขย่าเพื่อนให้ลืมตาขึ้น
“มานอนตรงนี้ได้ยังไง ทำไมไม่กลับไปเอากุญแจล่ะ” เธอเห็นปากหล่อนสั่น หน้าก็เริ่มจะซีด ซ้ำดวงตานั้นยังเบลอแบบสุดๆ
“หนะ หนาว” มาริสาพูดตะกุกตะกักเดินตามนภัสที่เข้าไปไขประตูห้องให้
“อยากเล่นน้ำอะไรขนาดนั้น ฮึ” เธอแอบส่ายหน้า
“มะ ไม่ ดะ ได้ เล่นซะ หน่อย” คนสั่นเดินเข้าไปในห้อง หล่อนตรงเข้าไปยังที่นอน
“ไม่ได้นะ ไปอาบน้ำก่อน เอาเสื่อมาพันตัวเลอะหมดแล้ว” นภัสร้องห้าม
“ไม่เอา จะหลับแล้ว” หล่อนพูดห้วนๆ พร้อมกับหน้าที่คล้ายจะหาเรื่องเธอ
“อี๊ ฉันไม่นอนเตียงเดียวกับคนตัวเลอะนะ” นางฟ้าใจร้ายดึงแขนคนมึนให้ออกห่างที่นอน
“ไม่สนเฟ้ย” มาริสาหรี่ตา ท่าทางนั้นเหมือนจะพุ่งเข้ามาจิกเธอซะอย่างงั้นแหละ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันไปดึงผ้าห่มบนเตียงลง
สงสัยยัยหมอเมานี่จะเอาผ้านั้นมาพันตัวแบบเสื่อผืนข้างนอกนี้แน่เลย หล่อนไม่ได้จะนอนเตียงอย่างที่เธอได้ห้ามไว้
เอาวะ ฉันก็ชักจะหมดความอดทนกับสีหน้าหาเรื่องนั้นเต็มทน เสื้อผ้าก็ไม่ยอมถอดเปลี่ยน ยังไม่แห้งดีด้วย ตัวก็มีแต่ฝุ่น ผมเผ้านี่ไม่ต้องพูดถึง ลีบเป็นกลีบๆ เหมือนลูกแมวตกน้ำ
“อะไรอีก” หล่อนหันมามองเธอที่ตรงเข้ามาจับแขน
มาริสาพยามออกแรงสะบัดให้หลุด แต่กำลังที่น้อยกว่าของคนเบลอก็แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เธอเคยจัดการกับยัยหมอเมาไร้สติมาได้รอบหนึ่ง
รอบนี้ก็คงไม่ยากล่ะนะ นภัสดึงรัดตัวหล่อนเข้ามา พยามจะงัดแงะชุดที่หล่อนสวม
“เฮ้ย หยุดนะ”
........................