ฉันก็แค่... ตอนที่14

หลังจากทำการไหว้สวัสดีทักทายครอบครัวของคุณนางฟ้าเป็นที่เรียบร้อย เธอก็เข้ามานั่งในตัวรถด้วยอาการเกร็งๆ และประหม่าบ้างที่จะวางตัว มันไม่ได้น่าสนุกเท่าไหร่อย่างที่ธาดาว่าหรอก 

มาริสาไม่ค่อยทำตัวคุ้ยเคยกับอะไรง่ายนัก สิ่งที่เคยชินก็เหมือนจะเป็นสิ่งที่ทำอย่างจำเจ หน้าของหนังสือ กับการรักษาคนไข้มันทำให้เธอเป็นปกติมากกว่าจะติดแหงกอยู่กับครอบครัวของเพื่อนที่พึ่งจะรู้จักกันไม่นาน

ยังดีที่รถนั่งของครอบครัวนี้เป็นแบบสามตอน พี่ชายของคุณนางฟ้ารับหน้าที่เป็นคนขับ เขานั่งคู่มากับคุณแฟนที่เหมือนจะเป็นแพทย์หญิงรุ่นพี่ของเธอ โอ้ จะมาเที่ยวทั้งที ดันหนีไม่พ้นจะวงโคจรรอบตัวซะได้

ถัดมาตอนที่สองเป็นคุณพ่อกับคุณแม่ ที่พยามจะชวนมาริสาพูดคุย แต่สุดท้ายความพยามนั้นก็เหมือนจะจบลงเมื่อทั้งสองเหงาหลับไปกับแอร์ที่เย็นเฉียบในรถ

ทำไมต้องชวนฉันมาด้วยยะยัยนภัส คำถามนี้ยังถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างดี เพราะอย่างน้อยขนมแสนอร่อยก็ถูกนางฟ้าข้างตัวหยิบยื่นให้เธอเกือบตลอดการเดินทาง 

“หิวน้ำน่ะ” มาริสาบอกกับคนข้างๆ

“นี่ค่ะ” นภัสสรเทน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลใส่แก้วกระดาษยื่นให้เธอ หล่อนทำได้คล่องทั้งๆ ที่รถยังเคลื่อนที่อยู่บนถนน

“ง่วงแล้วอ่ะ ภัสไม่ง่วงบ้างเหรอ” มาริสารับหมอนหนุนรองคอจากนภัสสรมาถือไว้ โอ้ว ยัยนี่จะสวมวิญญาณผู้ให้บริการไปตลอดเลยรึยังไงกัน 

“ผ้าปิดตาหน่อยมั้ย” นภัสสรหันมาถาม

“ไม่เอา อยากได้พาวแบงค์มากกว่า” เธอลืมชาจมือถือก่อนออกห้องมา ทั้งยังลืมสายชาจโทรศัพท์ไว้ในห้องของธาดา แล้วการมารับที่เช้าตรู่ของครอบครัวนี้ก็ทำให้มาริสาต้องรีบกวาดเสื้อผ้าลงกระเป๋าอย่างเร่งด่วน 

นภัสคว้ามือถือของเธอไปต่อเข้ากับสายชาจที่พ่วงพาวแบงค์สำรองไฟ หล่อนมีครบทุกอย่างไม่ว่าเธอจะเอ่ยขออะไร หรือหล่อนจะเป็นผู้วิเศษที่มีทุกสิ่งอันในกระเป๋าสะพายใบนั้น

“ลูกอม” มาริสาลองเชิง ซึ่งทันใดนภัสก็แกะห่อแล้วเอามาป้อนยันปาก

“ยาดม” พริบตา ยาดมกลิ่นเปปเปอร์มินต์ก็เกือบจะยัดเข้าในรู้จมูกเธอ

“โลชั่น” ครีมหอมๆ ถูกบีบใส่มือเธอ

“งั้น ลูกอมเคี้ยวหนึบรสโคล่า ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ 87% ใส่ในห่อสีน้ำตาล” เธอนึกภาพขนมที่มักวางอยู่บนโต๊ะทานข้าวห้องธาดา

“ห๊ะ จะไปมีได้ไงเล่า แล้วขอลูกอมมันก็ซ้ำนี่นา” นภัสสรส่ายหน้า ยัยหมอนี่จ้องจะแกล้งตั้งแต่เห็นเธอมีแทบทุกสิ่งที่หล่อนเอ่ยละ

“ฮ่าๆ ไม่มีล่ะซี่ ฉันก็นึกว่าคุณนางฟ้าจะออลอินวันซะอีก” 

“แล้วไปเอาลูกอมแบบนั้นมาจากไหนล่ะ ไม่ได้หาง่ายๆ นะนั่น ร้านสะดวกซื้อเหรอ”

“เปล่าหรอก ฉันแอบกินบ่อยๆ ในห้องคุณธาดา มันอร่อยดีนะ” เธอหัวเราะ เหมือนว่าแย่งขนมจากพยาบาลมาได้

“จ้า ไว้เจอของแบบนั้นจะเอามาฝากละกัน....เอนมานี่สิ อีกเกือบสองชั่วโมงกว่าจะถึง” แอร์โฮสเตสผู้ยอมถอดใจในขนมหวานซึ่งหล่อนไม่มี ก็ได้ดึงแพทย์หญิงง่วงงุนมานอนหนุนตัก 

นภัสสรรู้สึกว่ายิ่งได้มองใกล้ๆ หล่อนกลับยิ่งดูเด็กลงกว่าเดิม ไม่ว่าจะแววตา สีหน้า และท่าทาง มาริสาไม่ใช่คนที่ดูเหมือนเผชิญโลกมามากมาย คล้ายกับจะเป็นลูกนกหัดบินเสียมากกว่า ประมาณว่าพึ่งออกจากไข่ในหินได้ไม่นานก็ต้องร่อนด้วยปีกของตัวเอง ปีกของหล่อนสวยงาม แต่จะแข็งแกร่งรึไม่นั้น เธอก็คงบอกไม่ได้

“หวีผมบ้างรึเปล่าเนี่ย” นภัสสรจับเส้นผมที่พันกันของมาริสาขึ้นมาดู

“ก็หวีนะ มะวานน่ะ แหะๆ” มาริสาหลบตา กลัวโดนว่าเอาได้ว่าไม่รู้จักดูแลตัวเอง ซ้ำยังอายนิดๆ เมื่อต้องถูกคนที่สวยสมบูรณ์แบบตั้งแต่หัวจรดเท้าเอ่ยทัก

“ดูซิ ผมพันกันหมดแล้ว” นภัสกดหัวคุณหมอไม่ให้ลุกหนี ลงมือสางเส้นผมด้วยนิ้วมือที่คลี่ผมออกเป็นแพรยาว

“กะก็ มันไม่มีเวลานี่” มารับแต่เช้าไม่พอ ข้าวของเธอส่วนใหญ่ยังไม่ทันได้เก็บ จะมาทันนั่งหวีผมได้ยังไงกั๊นนนน อีกอย่างนะมันก็ไม่ได้ดูพันจนเป็นที่สังเกตอะไรขนาดนั้นซะหน่อย ทีวันนั้นหล่อนยังไม่ยอมล้างหน้าเลยยัยนภัส

 “อย่างน้อยก็สระมาล่ะนะ” นภัสก้มหน้าลงมาดมไรผม ทำเอาคนนอนตักสะดุ้ง ก็ใครจะไม่ตกใจบ้างล่ะคะ คนสวยๆ ยื่นหน้ามาใกล้เนี่ย เป็นคนอื่นคงเฉไฉ แต่มาริสาดันพลาดยกมือขึ้นปิดตา

“อะไรล่ะ ฮึ” คนถามรู้สึกราวกับตัวเองเป็นแม่เล่นกับลูกตัวน้อยที่น่ารักน่าชัง และน่าแกล้งยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง

“เปล๊า” ดันพลาดเข้าไปอีกเมื่อน้ำเสียงนั้นเกิดสูงผิดปกติ

“เอามือปิดหน้าปิดตาทำไม เอามือออกสิ” แม้จะพยามงัดแงะมือของคุณหมอออก แต่มันก็ยากยิ่งขึ้นเมื่อหล่อนปิดหน้าไว้แน่นเลย

“เอ๊า ทำแบบนั้นจะหายใจออกมั๊ยนั่น” จนเมื่อรู้สึกว่าใบหน้าของนางฟ้าไกลออกจากตัว มาริสาจึงยอมเปิดหน้าตัวเอง แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทว่าอาการนี้มันไม่ได้หลุดพ้นจากสายตานภัสสรเลยสักนิดเดียว

“เขินฉันรึไงคะ หน้านี่แดงเชียว” ว่าแล้วก็เอามือบิดแก้มนั่นเล่นซะเลย 

“ไม่ใช่ซะหน่อย” ว่าแต่หล่อนไม่ต้องพูดซะตรงไปตรงมาขนาดนั้นก็ได้นะยะ 

“ไม่ใช่เหรอ งั้นขอดูหน้าใกล้ๆ ดิ๊” ก่อนที่หล่อนจะได้ยื่นหน้าเข้ามาอีกรอบ มาริสาก็ยกมือขึ้นเป็นบาเรียกั้นรูปกากบาทไว้ได้ทัน

“ฉันจะหลับแล้ววววว”

“ค่ะๆ ไม่กวนก็ได้” 

สุดท้ายยัยนางฟ้าหน้าสวยก็เลิกแกล้งเธอ หล่อนยังคงสางผมให้เธออย่างเบามือทำเอาคนอยากนอนรู้สึกสบายจนความง่วงเข้ามาครอบงำอย่างช้าๆ

การเดินทางนี้อีกนานแค่ไหนกันนะ แม้จะรู้สึกเกร็งๆ ที่ต้องมากับครอบครัวเค้าก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็รับรู้ได้ว่านภัสสรพยามจะไม่ให้เธอต้องรู้สึกเป็นส่วนเกินของคนในครอบครัวนี้ 


........................


มาถึงได้สักที เธอไม่ได้เมารถอะไรนักหรอก แต่เมื่อยเหลือเกินที่ต้องแกล้งปิดตา เพราะเมื่อหรี่ตาขึ้นมาทีไร เป็นต้องเจอหน้าของนภัสสรที่มักจะก้มลงมาดูเธออยู่บ่อยๆ หล่อนดึงผมเธอเล่นเหมือนกับเป็นสิ่งสนุกคั่นเวลาเดินทาง

“อย่าเข้าใจผิดนะ ไม่ใช่ของฉันหรอก นี่เป็นบ้านพักตากอากาศของญาติทางพ่อ ทำไว้หลายหลังให้คนมาเช่าอยู่น่ะ....มาที่นี่ทีไรได้ลดครึ่งราคาเลยล่ะ คริคริ” นภัสสรรีบบอกกับมาริสาที่ยืนทำหน้าปลาบปลื้มแบบยินดีสุดๆ ที่มีเพื่อนแสนรวยพามาเที่ยวสถานที่สุดร่มรื่น

“ก็ยังเป็นญาติอ่านะ แล้วฉันต้อง....” มาริสาก้มหน้าลง เงินเธอติดตัวมาไม่พอจะซื้อเครื่องดื่มที่นี่เลยมั๊ง ถ้าคุณนางฟ้าเกิดใจร้ายปล่อยเธอไว้กลางเขากลางดอยแบบนี้ มีหวังได้แห้งกรอบอยู่บนนี้ชั่วนิรันดร์แน่

 “ไม่ต้องๆ สาอุตส่าห์มาทั้งที....เพื่อนฉันทุกคนปฏิเสธหมดเลย ฉันเลยต้องลากเธอมาด้วยกลวิธีเล็กน้อยอ่านะ ฮ่าๆ” นภัสเดินลากกระเป๋าไปยังบ้านพักขนาดใหญ่ที่แบ่งซอยห้องนอนออกเป็นสามส่วน มีสระว่ายน้ำตกแต่งด้วยหินกาบ พืชพรรณ และบรรยากาศรายล้อมด้วยทิวทัศน์แมกไม้ มันถูกออกแบบมาอย่างดี เพราะบ้านแต่ละหลังนั้นอยู่เยื้องกันอย่างไม่ต้องระแวงว่าคนในบ้านเราเล่นน้ำ จะมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นยื่นหน้าเข้ามาแอบมอง 

“แล้วคุณย่าไม่มาด้วยเหรอ” 

“ท่านไม่ยอมมา อีกอย่างพานั่งรถมาไกลๆ กลับไปทีไรไม่สบายทุกที” 

“แล้วภัสไม่มากับ....” มาริสาจะถามสักหน่อยว่าหล่อนไม่ชวนแฟนหนุ่มมาแทนฉันล่ะยะ นี่วันรวมครอบครัวหล่อนไม่ใช่เหร้อออ แฟนหล่อนจะได้ทำคะแนนเยอะๆ ไงล่ะ แต่ก็ถูกใครอีกคนเรียกขึ้นมาเสียก่อน

“น้องมาริสา ไม่นึกว่าจะมาเจอกันอีก” นางพยามจะเข้ามาทักเธอตั้งแต่ก่อนจะขึ้นรถแล้วล่ะ ดีว่าเธอไหวตัวทัน รีบสวัสดีแล้วเลี่ยงซ้าย เลี่ยงขวา โฉบขึ้นรถมานั่งข้างนภัสสรซะก่อน

“อะ เอ่อพี่นิดหน่อยใช่มั้ยคะ” ฉันจำเธอได้ตั้งแต่แรกเห็นเลยค่ะ มาริสาคิด หล่อนอายุมากกว่าเธอราวๆ 2-3 ปี 

“ค่ะ พี่ว่าจะทักตั้งแต่เราเดินขึ้นรถมาแล้วล่ะ หน้าคุ้นๆ ไม่นึกว่าจะมาอยู่โรงพยาบาลต่างจังหวัด ก็เลยไม่แน่ใจว่าใช่น้องสารึเปล่า” คุณหมอผู้แสนจะมีมนุษย์สัมพันธ์ดีคนนี้มักเป็นที่รู้จักกันในคณะ ส่วนเธอนั้นตรงกันข้ามกับหล่อนนัก 

มาริสาเก็บตัวขลุกอยู่กับหนังสือ มีกลุ่มเพื่อนบ้างที่แวะเวียนเข้ามา แต่ก็ไม่สนิทเท่าใดนัก สถานที่ๆ จะพบเจอเธอได้บ่อยคือห้องสมุด และคนที่มักจะอยู่ไม่ห่างก็คือแพรวพราว รุ่นน้องแสนดีที่กำลังจะก้าวความสัมพันธ์ต้องห้ามไปด้วยกัน ทว่าทุกอย่างก็มีอันต้องจบลงไปซะก่อน

“สาก็อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศดูสักหน่อยน่ะค่ะ ที่นี่ไม่แออัดเท่าไหร่นัก” อันที่จริงคือที่นี่ไม่อึดอัดต่างหากล่ะ

“แล้วหมอนพไม่ว่าเหรอ ทิ้งว่าที่คู่หมั้นมาซะไกลเลย” โอ้ว คำถามนี้แทบทำเอามาริสาสำลักกับบรรยากาศร่มรื่นที่รายล้อมอยู่

“อะ เอ่อ คงไม่มั๊งคะ” 

เหอะๆ ข่าวลือนี้แพร่กระจายเร็วเสียจริง อะไรๆ ที่มันอยู่ในแวดวงช่างหลีกเลี่ยงยาก โดยเฉพาะตระกูลที่มีแต่แพทย์อย่างเธอ และถึงแม้ไม่ใช่แพทย์ พวกนั้นก็คุมกิจการเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์รวมถึงยาทั้งหลายแหล่ แน่นอนว่าพ่อแม่ของเธอมีหุ้นอยู่ในบริษัทเหล่านั้นไม่มากก็น้อยล่ะนะ

“โห เห็นแบบนี้มีคู่มั่นเป็นตัวเป็นตนแล้วนะเนี่ย” นภัสที่ได้ยินการสนทนานั้นอยู่ก็รีบหันมาแซว

“ยังไม่ใช่สักหน่อย” มาริสารีบปฏิเสธ

“เดี๋ยวก็ใช่เองแหละค่ะ เหมาะสมกันมากคู่นี้ ทั้งฐานะและความเพียบพร้อม” คุณหมอรุ่นพี่คนนี้กำลังจะอวดอ้างสรรพคุณของเธอให้นภัสสรฟัง ทว่าเธอก็รีบถามนางเพื่อขัดอย่างจงใจ

“ว่าแต่พี่ทำอยู่โรงพยาบาลไหนเหรอคะ” เธอถามเสียงที่ดังกว่าปกติ แต่ยังคงอยู่ในความมีมารยาทพอที่จะพยามกล้ำกลืนอย่างเหลืออด

“โรงพยาบาลรัฐประจำจังหวัดน่ะ ย้ายมาเพราะอีกไม่นานก็....” หล่อนยื่นแหวนในมือให้เธอมอง

“ย้ายมาเพราะแหวนเหรอคะ” มาริสาถามตีหน้าซื่อ

“เค้าจะแต่งงานกันย่ะ นี่ก็ไม่รู้ซะจริง” นภัสส่งค้อนมาให้เธอที่บังอาจทำไม่รู้ไม่ชี้กับว่าที่พี่สะใภ้ของหล่อน

“อ้ออ....ยินดีด้วยค่ะ” เธอพูดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ายินดีจริงๆ ไม่ใช่อะไรหรอก เธออาศัยความยินดีที่เดินมาถึงที่พักได้สักทีเป็นตัวแสดงออก

แล้วคู่รักที่ใกล้จะเข้าพิธีก็ขนของเข้าไปยังห้องพักของตน เช่นเดียวกับเธอ แต่เซ็งตรงที่เธอไม่มีสิทธิ์เลือกห้องพักซึ่งอยู่ริมสุดของตัวบ้าน ก็มันเห็นวิวของภูเขาได้ชัดที่สุดนี่นะ ห้องนั้นตกเป็นของคุณพี่ชายนภัสสรไปอย่างน่าเสียดาย

มาริสาจำใจเดินตามนภัสสรไปยังห้องที่วิวทิวทัศน์น่าจะหมองหม่นที่สุด เปิดหลังห้องมาก็เจอแต่เครื่องปรับอากาศ ยังดีหน่อยที่เปิดหน้าห้องมาเจอกับสระน้ำขนาดเล็ก

เธอสะพายกระเป๋าที่แทบจะไม่มีอะไรติดตัวมามากเท่าคนอื่น ที่สำคัญเธอยังพลาดที่ไม่ได้เอาชุดว่ายน้ำมา 

แต่เดี๋ยวนะ เธอไม่ได้พกชุดว่ายน้ำมาจากบ้านเสียหน่อย งั้นก็แช่มันทั้งเสื้อยืด กางเกงขาสั้นนี่เลยละกัน ไม่งั้นพลาดโอกาสได้ลงสระไฮโซกันพอดี

“นี่ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยเหรอคะ” นภัสสรเห็นเธอเทเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นและพวกชั้นในออกจากกระเป๋าสะพายข้างหนึ่งใบ

“เท่านี้ก็เยอะแล้ว เอามามากกว่านี้หนักเปล่าๆ” มาริสาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อกับสายชาจของนภัสแล้วเชื่อมเข้ากับปลั๊กไฟ

“ให้เดานะ คงมีแค่กระเป๋าสตางค์ มือถือ ของใช้นิดหน่อย แล้วก็กองเสื้อผ้าพวกนั้น” แอร์สาวอึ้งกับข้าวของที่น้อยสุดๆ

“แน่นอน ฉันเดินทางกับเครื่องบิน ไม่เคยต้องโหลดกระเป๋าให้เสียเวลาเลยล่ะ สายการบินไหนๆ ก็ไม่มีทางได้กินค่าสัมภาระของฉันสักกะที ฮ่าๆ” เธอยักคิ้ว

“ค่ะ งกจริงไรจริง” นภัสส่ายหน้ากับความประหยัดที่ไม่ก่อซึ่งประโยชน์สักเท่าไหร่ 

มาริสาหยิบเสื้อยืดขึ้นมาสะบัดพรึบ ทีเดียวความยับมันก็หายไป เพราะเนื้อผ้าทำมาแบบพิเศษ ยับยาก จะได้ไม่ต้องรีดให้เปลืองเวลา เธอหยิบเสื้อนอนที่ยับยู่ยี่นั่นกับผ้าไม่กี่ผืนที่เตรียมมาแขวนไว้ในตู้ข้างๆ ชุดเนี๊ยบเรียบกริบของนภัสสร ทำเอามาริสาต้องเบียดจนผ้าตัวเองชิดมุม ด้วยรัศมีความเหนือชั้นที่ต่างกัน

“หึหึหึ เทียบกันไม่ติดหรอกค่ะ” นภัสสรเชิดแล้ววางชั้นในที่พับมาอย่างดีเรียงในตู้

“เทียบเทิบอะไร๊” 

คุณหมอโยนเสื้อชั้นในลงในลิ้นชักแบบลวกๆ แล้วคว้ากางเกงขาสั้นออกมาเปลี่ยน ว่าจะใส่กางเกงนี้นอนสักหน่อย แต่ไม่มีชุดเล่นน้ำ เธอเลยต้องใช้เสื้อนอนที่น่าจะยาวพอตัวเดียวนั่นสำหรับสองคืน และชุดลำลองสองตัวกับอีกสองวัน

แหม่ ฉันช่างเตรียมอะไรมาได้พอดิบพอดี คิดแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับตัวเอง จากนั้นก็ปลดตะขอกางเกงยีนส์ออก เปลี่ยนเป็นกางเกงผ้าขาสั้นพร้อมกระโดดสระ

“นี่ๆ จะเล่นน้ำเลยเหรอ” นภัสที่เห็นคนมาด้วยออกอาการดีใจจะได้สงสระก็ถามขึ้น

“อ่าว ไม่ได้เหรอ” 

“ฉันว่าจะไปเดินชมวิวทิวทัศน์แถวนี้กันก่อน แล้วตกเย็นค่อยมาทานข้าวกัน” 

เอ่อนะ ฉันมากับครอบครัวเค้านี่ เง้อ มาคนเดียวฉันคงกระโดดสระตั้งแต่ก้าวเหยียบที่นี่แล้วล่ะ

“อะ อ่อ” เธอจำใจต้องดึงกางเกงขาสั้นออก แล้วสวมยีนส์กลับเข้าไปอย่างเก่า เง้อ อดกันสระน้ำ

“เอาไว้พรุ่งนี้ สาอยากไปไหน หรืออยากอยู่กับสระนี่ ฉันตามใจหมดเลยนะ” นภัสรีบเอ่ย กลัวว่าเพื่อนที่มาด้วยจะอึดอัด เพราะพรุ่งนี้คุณพ่อกับคุณแม่ของเธอจะไปเที่ยวกับพวกญาติๆ แล้วพี่ชายกับพี่สะใภ้ก็คงจะปลีกตัวกันไปสองต่อสอง

“อะ อ่า” เธอตอบตกลงแบบงงๆ นี่ฉันยังไม่ทันได้แสดงท่าทีไม่พอใจเลยนะยะ ยัยนภัสทำไมรู้กันล่ะ 

“ทาซะ” มาริสารับครีมกันแดดจากนภัสสรมาทาหน้าและแขนขา พลางคิดไปว่าเดี๋ยวเธอต้องเดินลุยป่าแมกไม้ เพื่อชมวิวอันแสนจะสวยงามแน่ๆ เลย 

เฮ้ออออ ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณธาดาถึงชอบนอนอยู่กับที่มากกว่าจะออกไปเที่ยว ถึงมันจะน่าดูชมในสถานที่ แต่ไม่ออกไปไหนเลยก็ไม่เหนื่อยอ่านะ


........................