ฉันก็แค่... ตอนที่13

สามอาทิตย์ถัดมา....

“ได้โปรด แบ่งปันอาหารแก่เพื่อนผู้ยากไร้ด้วยเถิด” 

ธาดาเปิดประตูออกมาพบกับคุณหมอผู้กรอบอย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้านั้นดูซูบซีด อย่างกับว่าทะเลทรายผืนน้อยก่อเกิดในกระเป๋าตังค์ของหล่อน 

“เข้ามาๆ .... ทำอาหารเผื่อฉันด้วยละกัน” พยาบาลสาวถอนหายใจ เกือบอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ มาริสาแทบจะสถิตอยู่กับตู้เย็นห้องเธอ หล่อนเปิดเผยทุกอย่างที่มีในกระเป๋าสตางค์ ทุกอย่างนั้นก็มีแค่บัตร บัตร แล้วก็บัตร ซึ่งบัตรเหล่านั้นไม่ใช่ธนบัตรแม้แต่น้อย

“ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงยินดีปรีดายิ้มแย้มจนน่าหมั่นไส้ เดี๋ยวเงินเดือนออกแม่จะล้มทับเลยคอยดู

“ใกล้เงินออกแล้วนะ อย่าลืมสัญญานะยะ” ธาดามองเพื่อนหมอที่กำลังหั่นผักทำราดหน้าทะเล

“ได้สิ แต่ต้องที่เหลือจากคืนคุณนภัสก่อนนะ” แล้วมาริสาก็เล่าเรื่องที่ตัวเองเผลอไปทำรูปปั้นสลักแตกกลางห้างสรรพสินค้า

“โหย สิ้นเดือนก็คงเหลือไม่เยอะอ่าดิ งี้ฉันไม่รอไปเดือนหน้าเหรอ” ธาดานั่งไขว่ห้างแบบคนเอาแต่ใจ

“น่านะ คนที่ช่วยฉันได้ก็มีแต่คุณธาดาเท่านั้นแหละ” มาริสายกถ้วยมาเสริฟพร้อมกับนวดไหล่ประจบประแจงให้พยาบาลอย่างเสียมิได้

“ดันหลวมตัวไปเป็นเพื่อนกับหมอกรอบนอกกรอบในซะได้ เฮ้อ” ธาดาส่ายหน้าแล้วตักอาหารเข้าปาก

“อร่อยมั้ยคะ เอาเครื่องปรุงหน่อยมั้ย” มาริสากุลีกุจอหยิบพริกป่นน้ำตาลทรายยื่นให้

“ไม่เอาละ ฉันไม่ชอบปรุง” 

“แสดงว่าเค้าทำอร่อยล่ะซี่ พรุ่งนี้ทำข้าวหมูอบให้ เอาป่าวๆ” ยังไม่วายวาดฝันถึงพรุ่งนี้ เธอยังไม่ทันอนุญาตเล้ยยยย

“ย่ะ ตามสบายเลย” ธาดาจำใจต้องต้อนรับแก่เพื่อนคนนี้ไปอีกสักระยะ ก็เจ้าหล่อนดันถังแตกซะขนาดนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ขอกับที่บ้านก็จบเรื่อง แต่จะว่าไป เป็นเธอก็คงเลือกพึ่งพยาบาลที่สุดแสนจะน่ารักดีกว่าคุณแม่สายฮาทคอร์นั่น

“คุณธาดา หยุดสามวันไปไหนรึเปล่า” หมอผู้หิวโหยถามพยาบาลทันที

“จะไปไหนได้ล่ะ ฉันไม่ได้หยุดช่วงนั้น....ว่าแต่เอากุญแจห้องไว้มะ เผื่อคุณตู้เย็นจะคิดถึงเธอ” ธาดาเสนอ

“เปล่าหรอก คุณภัสเค้าชวนฉันไปเที่ยวบ้านพักตากอากาศ แต่ไปกับครอบครัวเค้า เลยว่าจะพาเพื่อนไปด้วยอีกสักคน” 

ธาดาช่างอิจฉาวันหยุดของยัยคุณหมอนี่ซะเหลือเกิน แต่อย่างไรซะ ผ่านช่วงนี้ไป อีกสองสามเดือนหล่อนก็ต้องทำงานวุ่นวายแบบคนอื่นๆ ล่ะนะ

“ก็ทำไมไม่ปฏิเสธไปเล่า” ธาดายังงงๆ ว่าแอร์โฮสเตสคนนั้นไปสนิทกับมาริสาตั้งแต่ตอนไหน

“เค้าไม่ยอมน่ะสิ บอกว่าถ้าไปด้วยจะเก็บเงินครึ่งหนึ่งก่อน อีกครึ่งไว้อีกเดือน แต่ถ้าไม่ไป จะเก็บเต็มพร้อมดอกอีกเท่าตัว” มาริสาคอตก ด้วยเงินเดือนที่ยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบคนอื่นเค้า เลยจำต้องอดทนผ่านช่วงงานสามเดือนนี้ไปให้รอดก่อน

“ก็ช่วยไม่ได้นะ ว่าแต่สาไปสนิทกับเค้าตอนไหนเนี่ย” 

ธาดานึกภาพนางฟ้าแสนสวยบนสายการบิน ท่าทางจะดูใจดี แต่คิดยังไงมาชวนมาริสาไปเที่ยวพร้อมกับครอบครัวอีก ไม่หักคอกันไปหน่อยรึไง

“คุณภัสโทรมาคุยบ่อยๆ ตอนที่เค้าบินไปนู่นนี่ ก็ไม่ค่อยได้เจอกันหรอก” 

มาริสามองไปยังหนวดหมึกในจานธาดา ก่อนจะก้มหน้าลงกับความผิดหวังเพราะพยาบาลสาวรีบตักมันเข้าปาก

“อยากปฏิเสธมั้ยล่ะ ฉันช่วยได้นะ” แล้วแววตาเจ้าเล่ห์ก็ส่งมาให้มาริสาต้องผวา

“ยะ ยังไง” 

หมอผู้หวาดกลัวในมาดเรียบร้อยที่แสนจะตรงกันข้ามกับแววตาก็เกือบจะบอกว่าไม่ออกไป โดยที่ยังไม่ทันฟังข้อเสนอ

“ยืมฉันไปก่อน ค่อยคืนตอนมีก็ได้ แล้วถ้าว่างๆ ก็มาทำอาหารให้ด้วย ฉันขี้เกียจน่ะ” แน่ว่าเมื่อยัยหมอป่วนนี่เข้ามา เธอรู้สึกเหงาน้อยลง ซ้ำยังไม่ต้องทนอยู่กับความว่างเปล่าของห้องพัก

“จะดีเหรอ” 

มาริสาลังเล เปลี่ยนเจ้าหนี้จากนางฟ้าแสนดี มาเป็นพยาบาลที่คาดเดาอะไรได้ยาก

“ถามงี้แสดงว่าอยากไปกับคุณนภัสสรมากกว่ามาทำอาหารให้ฉันล่ะสิ” ธาดาเบ้ปากใส่

“ก็ใช่อ่า” มาริสาหัวเราะที่เห็นพยาบาลทำแก้มป่องอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“ฉันล้อเล่นน่า แต่ว่าคุณภัสดูเหมือนอยากให้ฉันไปด้วยจริงๆ ไม่รู้มีอะไรรึเปล่า” มาริสาก็ไม่อาจเข้าใจเหตุผลนั้น

“งั้นเดี๋ยวฉันลาไปด้วยคนมั้ย เที่ยวกับครอบครัวเค้าจะสนุกอะไร๊” ธาดาส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรๆ เก็บวันหยุดไว้ดีกว่า ไว้ลาไปเที่ยวไกลๆ กัน นี่แค่สามวันเอง ไม่นานเท่าไหร่” 

“แน่ใจ เปลี่ยนใจรีบบอกนะ เดี๋ยวหาคนแทนไม่ทัน” เธอก็อยากจะช่วยยัยหมอนี่อยู่หรอกนะ แต่เมื่อเจ้าตัวปฏิเสธซะเองก็ทำไรไม่ได้

“แน่ใจสิ แล้วคุณธาดาชอบไปเที่ยวที่ไหนเหรอ” มาริสาถามอู้อี้เพราะอาหารคาอยู่ในปาก เป็นที่บ้านเธอคงโดนบ่นยาวแล้วล่ะ

“ดูทำเข้า กลืนลงไปก่อนสิคะ.... ฉันไปได้ทุกที่แหละ น้ำตก ทะเล ภูเขา ต่างแดน แต่เอาจริงๆ ฉันก็ชอบนอนหลับซะส่วนใหญ่ ถึงไปก็คงหลับมากกว่าจะเที่ยว”

“ไม่ต้องไปไหนล่ะดีละ หลับในห้องนี่แหละ ไม่เปลืองด้วย” มาริสายักไหล่ 

“โห่ นึกว่าจะชวน ที่จริงฉันว่าจะไปประเทศนั้นดู เห็นตั๋วกำลังลด สนป่าวๆ”ธาดาเสนอ พร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาเปิดให้มาริสาดู ราคาตั๋วอยู่ที่ครึ่งหนึ่งของราคาจริง 

“ไปๆ ฉันอยากไปเล่นหิมะที่นั่น” มาริสาดูตื่นเต้น แต่ก็ฟีบลงในทันทีเมื่อระลึกได้ว่าเม็ดเงินอันน้อยนิดนั่นไม่อาจเพียงพอต่อทริปเที่ยวครั้งนี้

“เอาไว้ครั้งหน้าละกันเนอะ” ธาดาหัวเราะเยาะใส่

“รอฉันด้วยล่ะ” 

“จ้าาา แต่ถ้ากรอบนานๆ ก็ไม่รอนะยะ” 

แล้วทริปค่าตั๋วแสนประหยัดก็เป็นอันต้องยกเลิกเพราะเงินอันจำกัดของคุณหมอ ธาดาก็ไม่อยากจะคิดว่ามาริสาที่ดูเหมือนคุณหนูทุกกระเบียดนิ้วจะทุกข์ยากเรื่องเงินกับเค้าด้วย แต่หล่อนคล้ายกับจะไม่เดือดร้อนสักเท่าไหร่ ก็นะ คนมีแต่ยังเอามาใช้ไม่ได้ มันต่างกับคนไม่มีแต่ไม่รู้จะหามาจากไหนเยอะเลย

อาหารเย็นก็จบลงที่เธอยกถ้วยจานไปล้าง ปล่อยให้คุณหมอนั่งเล่นอยู่บนโซฟาอย่างสบายใจ

“ไม่กลับห้องล่ะ มาขลุกอยู่นานไปละนะ” ธาดามองหล่อนที่กำลังจะเอนตัวลงนอน ซ้ำยังคว้าผ้านวมและหมอนจากเตียงนอนของเธอมาถือไว้ในมืออีกต่างหาก

“ห้องนั้นน่ะ มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นตลอดเลย ฉัน กะ....ก็เลยขอมางีบสักพักได้มะ” อย่างกับมาริสาจะเอ่ยคำว่ากลัวออกมาอย่างนั้นแหละ โถๆ มันน่าจับไปขังในห้องนั้นซะจริงเชียว

“อ่อ ไม่มีไรสักหน่อย ทำเป็นกลัวไปได้” ธาดาจี้ต่อมความคิด

“ป่าวนะ ฉันไม่ได้กลัวเลย ฉันก็แค่....” มาริสาหยุดพูดวางหมอนลงและเอนนอนแบบไม่สนพยาบาลที่ยืนมองอยู่

“กลัวเหรอยะ กลัวแน่ๆ เลย ใช่มะๆ” ธาดาเข้าไปแหย่เค้นเอาความจากคนที่มุดอยู่ใต้ผ้าห่ม

“ก็มันน่ากลัวจริงๆ นี่ ดูเงาใต้ประตูสิ พอฉันเดินไปจะเคาะห้อง เงานั่นก็ผลุบๆ โผล่ๆ แถมยังกรี๊ดใส่ฉันด้วย” มาริสาเปิดหน้าขึ้นมายอมรับแก่ความจริงจนได้

“โอ๊ย แค่นี้เอง ไม่นึกว่าคุณหมอจะจิตอ่อน เอ้าลุกๆ” 

“เง้อ จะไล่กันเลยเหรอ”

“เปล่า แค่จะบอกให้ไปนอนเตียง สบายกว่าเยอะเลย” ธาดาหยิบหมอนกับผ้าห่มโยนไปวางบนที่นอน

“งั้นไม่เกรงใจแล้วนะ ตอนแรกกลัวไปเบียด เผื่อว่าเธอจะนอนต่อ” มาริสาพูด เพราะล่าสุดที่ธาดามาห้องเธอแล้วลืมกุญแจไว้ ธาดาแทบจะดันมาริสาติดขอบ 

“ย่ะ ที่นอนฉันไม่ได้แคบแบบห้องหล่อนนะคะ” ธาดาไม่ได้นอนลง แต่นั่งพิงขอบเตียงอ่านข้อความตามเวปต่างๆ ในมือถือ พึ่งกินเสร็จใครจะไปกล้านอน 

“นี่ รู้มั้ยทำไมห้องนั้นถึง....” มาริสาเอนตัวมาถาม แต่ก็หยุดเพราะเห็นว่าธาดากำลังมีสมาธิอันแรงกล้าต่อหน้าจอโทรศัพท์

“รู้” พยาบาลบอกแค่นั้น 

แต่หารู้ไม่อีกคนกำลังรออย่างใจจดจ่อ แต่มันกลับนานจนคนรอต้องสะกิดอีกรอบ

“ทำไมล่ะ” มาริสายังรอคอยแก่คำตอบ

“เมื่อกี้ถามว่าไรนะ ฉันกำลังอ่านเรื่องคลื่นหัวใจนี่อยู่พอดี” ธาดาเงยหน้าขึ้นมาถาม

“ก็ห้องนั้นไง ทำไมดูน่ากลัวๆ” คนถูกถามไม่ได้รู้ตัวเล้ย ว่าคนถามขยับเข้ามาใกล้ด้วยความหวั่นว่าจะได้ฟังสิ่งลึกลับน่ากลัว

“ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นะ แต่ได้ยินมาว่าห้องนั้นมีเสียงร้องโหยหวนของหญิงสาวที่มักจะกรีดร้อง เมื่อได้เจอกับเหยื่อรายต่อไป สาไม่เห็นเหรอ ชั้นสี่ไม่มีคนอยู่เท่าไหร่ มีห้องสา คุณหมออีกคนที่ใช้เป็นที่เก็บของ กับห้องนั้น ไม่รู้นะว่าวันไหน....” ธาดาเล่าด้วยเสียงแหบต่ำ จ้องเข้าไปในดวงตาสั่นระริกคู่นั้น

“มะ ไม่จริงมั๊ง อย่ามาหลอกให้ยากเล้ยย” 

“นั่นไง เงาอะไรอยู่หลังเธอน่ะ” ธาดาลุกยืน ทำหน้าผวาชี้ไปด้านหลังมาริสา 

“กรี๊ดดดดด” ผู้ถูกหลอกสะดุ้งกระเด้งตัวปลิวออกจากเตียง วิ่งผวาไปยืนหลบอยู่หลังพยาบาล

“ฮะ ฮ่าๆๆ.... โอ๊ยๆ ไหนว่าไม่กลัวไงยะ” ธาดาพยามแงะมือที่เหมือนปลิงเกาะติดแน่น

“ง่าา ละทำไมต้องหลอกกันด้วย ฉันอยู่ชั้นนั้นคนเดียวนะ” มาริสายอมปล่อยมือออกจากแขนพยาบาลจนได้

“ก็สาถามเองไม่ใช่รึไง ฉันก็เล่าให้ฟังเฉยๆ.... รู้แล้วก็กลับไปห้องได้ละไป” เจ้าของถิ่นลองใจด้วยการไล่ผู้มาอาศัยชั่วคราว

“ไปก็ได้ว้า” มาริสาคอตก จำยอมต้องเดินไปที่ประตูทางออกแบบผู้ไม่ได้รับเชิญ

“คุณ คือ ราย ต่อ ไป” ธาดาย้ำเสียงแหบต่ำ และก่อนจะได้ถึงประตู ยัยคุณหมอก็หันมาถามด้วยสีหน้าสลด

“นอนด้วยคนไม่ได้เหรอ”

“แหม ล้อเล่นนิดเดียวเอง ฉันไม่ไล่สาไปหรอกน่า แต่ยังไงซะ.... เสื้อผ้า ของใช้ก็อยู่ที่ชั้นนั้นนี่นา” ลงท้ายประโยคด้วยเสียงแหบต่ำชวนสยอง ผลก็คือมาริสาเดินมาคล้องแขนลากเอาพยาบาลจอมหลอกหลอนขึ้นไปยังห้องของตัวเองด้วยซะเลย

โดนดึงมาถึงที่ไม่พอ ยังเห็นเจ้าหล่อนโกยเสื้อผ้า เครื่องใช้ลงกระเป๋าใบน้อย หยิบหนังสือยัดมาด้วยสองเล่ม ก่อนจะพยักหน้าว่าเก็บของเรียบร้อยแล้ว

“ต๊าย นี่ไม่ได้คิดจะย้ายมาห้องฉันถาวรใช่มั้ยยะ” ธาดาพลาดซะแล้วที่ไปขู่มาริสาด้วยเรื่องเล่าสยองขวัญ

“ไม่รู้แหละ ฉันยังไม่หายกลัว” มาริสาพูดจบก็ล็อคห้องเดินลงไปชั้นสามเหมือนกับย้ายถิ่นชั่วคราว

“ไม่ให้เข้าย่ะ” แม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็สลัดคุณหมอที่เกาะแขนไม่ออกสักที

“เมื่อไหร่ชั้นอื่นจะว่างก็ไม่รู้ฉันจะได้ย้ายห้อง” มาริสาบ่นขณะหยิบชุดนอนยับๆ ออกมาสะบัด

“ไม่ค่อยว่างหรอก อีกเดี๋ยวชั้นสี่ก็จะเต็มละ ถ้าคนมาขอพักเพิ่มล่ะนะ....นี่หล่อนไม่รีดชุดเลยเหรอยะ” 

“ไหนว่าไม่ค่อยมีคนอยู่ไง” คุณหมอหันมาอย่างเอาความ 

“หลอกหน่อยเดียวคิดเป็นจริงเป็นจังไปได้ ตอนมาอยู่ใหม่ๆ ฉันก็ได้ชั้นสี่แหละ พอชั้นนี้ว่างเลยขอย้ายลงมา เอาชุดมานี่มา เห็นแล้วไม่สบอารมณ์” ธาดาคว้าเสื้อนอนยับๆ ของมาริสาไปวางบนชั้นรองรีด

“จะรีดทำไม ซักเดี๋ยวก็ยับ ใส่นอนนะ ไม่ใช่มีใครเห็น” 

“ฉันเห็นนี่ไงยะ” 

มาริสาไม่ได้เถียงไรต่อ อยากรีดก็รีดไป นี่คงเป็นมุมของความเจ้าระเบียบล่ะมั๊ง ปกติไม่เห็นธาดาจะเคร่งครัดอะไรสักอย่าง

“ห้องนั้นน่ะ น้องผอ.อยู่” สักพักของการรีดผ้า พยาบาลก็เอ่ยความจริงออกมาจนได้

“ห๊า แล้วทำไม อะไร ยังไงเนี่ย” มาริสาไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง น้องของผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลยนะ

“เค้าเป็นโรคจิตน่ะ รักษายังไงก็ไม่หาย ผอ.จ้างคนมาคอยดูแลอยู่นะ วันที่กรี๊ดๆ นั่นอาการคงกำเริบ แต่ฉันก็ไม่เห็นว่าผอ.จะมาเยี่ยมสักเท่าไหร่” ธาดากว่าจะรู้เรื่องนี้ก็นานพอสมควร ถึงจะรู้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะเอาไปป่าวประกาศ

“เค้าเป็นอะไรเหรอ” มาริสาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่ค่อยมีใครพูดถึง ใครเล่าจะกล้าเอาเรื่องราวของผู้อำนวยการมานินทา

“ได้ยินมาว่าวันที่หล่อนแต่งงาน มีผู้หญิงอุ้มลูกมาทวงสามีคืน ทำให้งานแต่งต้องล้มเลิกแบบอับอายสุดๆ”

“เรื่องแค่นี้เอง ไม่น่าต้องเอามาคิดมากเลย ยังดีที่ไม่แต่งไปแล้ว ละมาเจอแบบนี้”

“ฉันก็ว่างั้น แต่ทำไมรักษาไม่หายก็ไม่รู้” ธาดายักไหล่ 

“ก็แปลกๆ ดีน้อ บาดเจ็บทางจิตใจ” แวบหนึ่งมาริสาคิดถึงคุณแม่ของตนเอง บางทีอาจจะเข้าใจอะไรแบบนี้

“แม่ของสาเป็นจิตแพทย์นี่” ธาดาพูดออกมาจนได้ เห็นมาริสาคร่ำเคร่งทีไรเป็นต้องนึกถึงคุณสมรศรีไปซะทุกที

“ถ้ามีโอกาสเจอจะลองถามให้ เผื่อคุณแม่ช่วยได้” มาริสารับชุดนอนขึ้นมามองดู ไม่รู้หล่อนเอาไปรีดทำไม๊ รีดไปรอยยับเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังปรากฏอยู่ 

“ใส่ๆ ไปเถอะน่า ก็มันแค่ชุดนอนไม่ใช่เหรอ” สุดท้ายประโยคนี้ก็ออกจากปากธาดามาเสียเอง

“ค่ะ ฉันก็ไม่ได้จะเถียงอะไรเล้ยยยย”


........................