ฉันก็แค่... ตอนที่12

ไม่กี่อาทิตย์ก่อนหน้า.... 

ไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันจะโดนมัดมือชกแบบนี้ไม่ได้ ฉันเคยยอมได้ทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้ ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปไม่ได้เหรอ

“นี่มันทั้งชีวิตของสาเลย คุณแม่จะบังคับสาแบบนี้ไม่ได้ค่ะ” เธอนั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนโซฟาราคาสามแสนสี่ กลั้นเสียงแห่งความไม่พอใจเอาไว้ ทว่าเสียงของเธอก็ยังเบากว่าอยู่ดี

“เธอทำให้ครอบครัวของเราต้องเสียชื่อมามากพอแล้ว นี่เป็นทางออกที่ดี คุณหมอนพดลจะดูแลเธอได้” 

สมรศรีจิบน้ำชายามบ่ายอย่างสบายอารมณ์ เรื่องนี้เธอได้คุยกับสามีและตัวของหมอนพดลเองแล้ว ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ดีเสียอีกเพราะหมอนพดลดูใส่ใจในตัวมาริสา

“แต่สาไม่ได้คิดกับพี่นพแบบนั้น คุณแม่ให้สาตัดสินใจเรื่องนี้เองไม่ได้เหรอคะ” เธอเผลอบีบคุ้กกี้ในมือแตก

 “เธอตัดสินใจเองแล้วผลมันออกมาเป็นยังไงก็น่าจะรู้อยู่ ฉันไปพบเด็กคนนั้นมาแล้ว ไม่มีหัวนอนปลายเท้า พี่ชายก็พัวพันสิ่งผิดกฎหมาย....สักวันถ้าเธอมีลูก คงไม่อยากปล่อยให้ลูกไปอยู่กับคนแบบนั้นหรอก” วาจานิ่งๆ แฝงคลื่นความร้อนแรงจนเผาไม้มาริสาให้ไร้ทางสู้

“พราวไม่ใช่คนแบบนั้นค่ะ คุณแม่ยังไม่รู้จักเค้าดีพอ....”

“พอได้แล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น.... อย่ามองฉันอย่างนั้นนะ เด็กนั่นทำให้เธอเปลี่ยนไป” สมรศรีใจหายใจคว่ำสายตานั้นไม่ต่างจากตัวเธอเองสมัยก่อนสักเท่าไหร่ มันกล้าแกร่งและพร้อมจะสละแล้วซึ่งความถูกผิดของสังคมที่ตัดสิน

“สาไม่ได้เปลี่ยนค่ะ ทุกเรื่องที่ต้องการสาจะทำให้ ขอแค่เรื่องนี้เท่านั้น อย่าเอาความคิดใครมาตัดสินไม่ได้เหรอคะ” บัดนี้คุ้กกี้ในมือบ่นกลายเป็นผงไปซะแล้ว

“เปลี่ยนสิ นี่ไง ลูกที่ฉันเลี้ยงไม่เคยก้าวร้าว แต่ที่เธอเป็นอยู่นี่มันคืออะไรล่ะ ไปลองนึกทบทวนดูให้ดี ความรักแบบนั้นไม่มีใครเค้าเห็นด้วยกันหรอก ตระกูลเราจะถูกมองยังไง ฉันไม่อยากขายหน้าเค้านะมาริสา.... ในครอบครัวเราเห็นจะมีแต่เธอนั่นแหละ ย่ำแย่ที่สุดละ ฉันผิดหวังกับเธอมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ฉันคงทนต่อไปไม่ได้” 

สมรศรีแผ่รังสีความอำมหิตน่าสยดสยองได้อย่างคงเส้นคงวา มาริสาคล้ายจะเป็นพันธุกรรมด้อยที่หลงเข้ามาในตระกูลแสนไฮโซ ไม่รู้ลูกคนนี้ได้รับอิทธิพลมาจากใครกัน หลายปีก่อนก็มีผลการเรียนตกต่ำจนเกือบจะสอบเข้าคณะแพทย์ไม่ได้ ยังดีที่รอดเข้ามาได้ พ้นคำนินทาจากบรรดาญาติสนิทไปอย่างเฉียดฉิว 

หล่อนกู้หน้าอีกครั้งด้วยการจบปริญญาเกียรตินิยม ทว่ารุ่นน้องคนหนึ่งในคณะกับความสัมผัสต้องห้ามนั้นได้สร้างปัญหาอย่างมากเมื่อเรื่องซุบซิบนินทากระเด็นเข้าหูมาจนได้

“ผิดมากมั้ยที่สาเกิดมา คุณแม่เคยเข้าใจสาบ้างรึเปล่า” เธอฟิวขาดจนได้ ลืมตัวโรยผงคุ้กกี้ในถ้วยชามีระดับคล้ายท้าทาย

“ฉันไม่เคยสอนว่าแบบนั้นเรียกมารยาทนะมาริสา....สามวันที่หยุดพักจากโรงพยาบาล ไปคิดมาให้ดีว่าจะเรียนต่อเฉพาะทางอะไร ส่วนเรื่องงานหมั้นงานแต่ง ฉันจะเป็นคนจัดการให้เอง” สมรศรีพูดตัดบทเหมือนเรื่องนี้สรุปกันจบแล้ว ไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืดอีก

“ไม่ค่ะ สาจะไม่....”

“หยุดเถียงฉัน แล้วใช้สมองคิดด้วย ใครหวังดีกับเธอที่สุด” สมรศรีลุกเดินออกจากวงน้ำชายามบ่ายของแม่ลูก ทนไม่ได้กับมารยาทแย่ๆ ที่มาริสาจงใจทำ ทิ้งไว้ซึ่งลูกสาวที่ใกล้จะกรีดร้องเหวี่ยงโต๊ะน้ำชาทุ่มกับพื้นเสียให้ได้ ถ้าไม่ติดว่าจะเจอกับความกดดันที่สาดใส่อีกระรอก


........................


มาริสาลุกเดินกลับไปยังห้องตัวเองภายในบ้าน กว้างขวางและสะดวกสบายกับทุกสิ่ง ไม่น่าสนใจเลยสักนิด เธอวิ่งตรงมาเพื่อให้ถึงโน้ตบุ๊คแสนแพงที่ตั้งอยู่กลางห้องนอนโดยไว

กลั่นกรองข้อความที่เขียนลงในอีเมลล์หลายต่อหลายครั้ง จนสุดท้ายก็กดส่ง ข้อความนั้นได้ได้แปรเปลี่ยนเป็นคำตกลง มิใช่คำปฏิเสธที่ร่างเอาไว้เลยสักนิด

ค่ะ ฉันตกลง ตกลงในทันทีตั้งแต่คราแรกแล้วล่ะ หากไม่กลัวจะขัดใจใครฉันคงเลือกปฏิเสธ แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ นี่คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดของฉัน

ในไม่ถึงยี่สิบนาทีของการตอบรับ จดหมายที่ส่งกลับรวดเร็วมาทางอีเมลล์นั้นระบุถึงวันที่และรายละเอียดการว่าจ้าง มาริสาตกใจ ราวกับว่าทางนั้นได้เตรียมการรอเธอไว้ตั้งแต่แรกอย่างนั้นล่ะ

หรือทางนั้นจะเห็นนามสกุลที่สมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่างของเธอ เอาเถอะ จะด้วยอะไรก็ช่างถ้านี่เป็นทางรอดแล้วล่ะก็ ใครกันจะไม่คว้าไว้ล่ะคะ

มาถึงครานี้ รีรอต่อไปไม่ได้ เธอรีบเก็บของใส่ในลังกระดาษ ลังที่ไปขุดคุ้ยมาจากเรือนพักคนงาน ยังดีที่พี่ๆ คนงานแอบให้ความช่วยเหลือ มาริสาส่งกล่องลังไปยังที่อยู่ของโรงพยาบาลที่เธอกำลังจะย้ายไป โดยฝากผ่านทางคนสวนสองสามคนที่ยกลังออกไปส่งให้ ทำให้ดูเหมือนกับว่านำเศษขยะใส่ในลังกระดาษไปทิ้ง

ทีนี้ก็เหลือแค่เวลา เธออยากฉกฉวยรถเก๋งคันสิบกว่าล้านนั้นไปด้วยก็จริง แต่มันคงดูสะดุดตาไม่น้อยเวลาขับข้ามจังหวัด ทั้งเธอยังไม่คุ้นกับเส้นทาง

เธอโยนบัตรเครดิตที่ติดตัวลงไว้ในลิ้นชักข้างหัวนอน แม้นใช้สิ่งเหล่านี้ซื้อตั๋วเครื่องบิน ก็คงโดนตรวจสอบพร้อมกับคำถามมากมาย ดีไม่ดีถูกกักตัวเอาไว้ก่อนจะได้หนีทัน 

มาริสาหยิบธนบัตรมานับ เท่านี่น่าจะเพียงพอต่อการซื้อตั๋วและอำนวยความสะดวกให้เธอไปถึงยังที่พักของโรงพยาบาลได้ล่ะนะ เอาล่ะ มาริสาพร้อมค่ะ ฮะฮ่า

ซ่า ซ่า ซ่า.... 

เอ๊ะ ฝนไม่ได้ตกหรอก เพียงแต่เสียงคล้ายฝนตกดังมาจากโทรศัพท์มือถือไม่ใกล้ไม่ไกล ทำให้สะดุ้งขึ้นมาทันดี เธอเปิดดูรายชื่อคนที่ยิงเข้ามา 

พวกเพื่อนสนิทของเธอเพียงไม่กี่คนเกรงใจทุกครั้ง โดยเฉพาะวันหยุดที่มักโทรเข้ามาตอนบ่าย ขัดเวลาน้ำชาของคุณแม่กับคุณลูก

“ว่าไงคะคุณอร” 

มาริสาโทรกลับ นั่นแปลว่าว่างจากน้ำชายามบ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“งานเลี้ยงวันเกิดบ้านคุณธนิตาสิจ๊ะ ลืมไปแล้วเหรอไง” อรวีทำเสียงสดใส หล่อนคงไม่รู้ว่าอารมณ์เธอตอนนี้หมองมัว

“แม่คงไม่ให้ไป” 

“ไม่ได้ นกออกไปรับสาแล้วนะ ยังไงก็เตรียมตัวไว้เลย เจอกันย่ะ” ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ สายก็ถูกตัดวางไปแล้ว

เวรกรรมอะไรนี่ เดี๋ยวคงต้องโดนซักถามยาวเหยียดอีกแน่เลย ยิ่งกำลังอยู่ในช่วงวิกฤติของความกดดันอยู่ ธนิตามาจัดฉลองวันเกิดตรงกับวันนี้ซะได้

มาริสาโกยธนบัตรที่นับไว้ลงกระเป๋าสะพาย มองไปรอบๆ ห้องแล้วถอนหายใจเฮือกๆ ลาก่อนห้องนอนสุขสบาย เธอคิดว่าจะได้นอนห้องนี้คืนนี้คืนสุดท้ายเสียหน่อย แต่คงไม่ทันแล้วล่ะ

อย่างไรซะ ที่ไหนก็ได้ ที่ๆ จะทำให้เธอไม่ต้องถูกยัดเยียดความต้องการของคนอื่น ที่ๆ ให้ความสบายใจแก่เธอ ที่แห่งนั้นแหละคงสุขสบายมากกว่า 

‘คุณมาริสาคะ....คุณกมลชนกมาหาค่ะ รอที่ห้องรับรองแขก’ ไม่นานกริ่งออดในห้องเธอก็ดังเป็นสัญญาณที่ถูกส่งมาจากแม่บ้าน

มาจนได้นะ ดีเลยฉันจะได้เอาพวกหล่อนเป็นข้ออ้างออกนอกบ้าน แม่จะได้ไม่ต้องส่งคนไปคอยคุมฉัน ทีนี้ก็สะดวกทางล่ะค่าาา ฮ่าๆ ขอบคุณนะธนิตาที่จัดงานวันเกิดเอาวันนี้


........................


คุณหมอขี้ตกใจกลัวแม้กระทั่งโถงทางเดินในบ้านตัวเอง ทำไมฉันต้องย่องด้วยละเนี่ย ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย 

ถึงแม้จะบอกกับตัวเองแบบนั้น แต่ทุกครั้งที่มีแม่บ้านเดินผ่านเธอกลับรู้สึกผวาและต้องหันไปมองทุกรอบ กลัวว่าคุณแม่หรือคุณพ่อเอ่ยถามเธอว่าจะไปไหน แล้วพิรุธสุดท้ายนั้นคงหลุดออกจากแววตา

“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะคะ งานฉลองนี้มีแค่พวกเราค่ะ ธนิตาเองก็จัดในพื้นที่ส่วนตัว” 

นั่นเพื่อนเธอกำลังคุยกับคุณแม่นี่นา เหมือนกมลชนกจะเป็นเพื่อนที่แม่ของเธอชื่นชอบที่สุดละ ในบรรดาเพื่อนฝูงไม่กี่คน ด้วยการพูดจาที่ฉะฉาน ตรงไปตรงมา เข้าใจสถานการณ์ และรอบคอบทุกการกกระทำ 

แต่ก็มีอีกคน แม้คุณแม่จะไม่ค่อยโปรดปราน หากเพื่อนคนนี้มีอิทธิพลต่อครอบครัวและตระกูลของมาริสา นั่นไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็คนจัดงานวันเกิดนั่นไง

“งั้นฝากมาริสาด้วย ยังไงช่วงค่ำฉันก็จะแวะไปทักทายคุณนายเค้าเสียหน่อย” คุณนายที่คุณแม่พูดถึงคงเป็นแม่ของธนิตา 

“ค่ะ งั้นนกขอรบกวนขึ้นไปตามสาก่อนนะคะ” กมลชนกพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติที่จะจีบปากจีบคอด้วยมารยาทอันแสนหนักอึ้งนั้น มาริสาก็ทำแบบนั้นได้นั่นแหละ แต่ทุกครั้งรู้สึกเหมือนใครเอาภูเขามาทับไว้ที่อกยังไงก็ไม่รู้

“นั่นไง สามาพอดีเลย.... ลาเลยนะคะคุณแม่” กิริยาการไหว้ของกมลชนกช่างสง่างาม ไมหล่อนไม่มาเป็นลูกของแม่ฉันเลยล่ะยัยนก คุณแม่คงภูมิใจสุดๆ

“ปะ ไปก่อนนะคะคุณแม่” 

มาริสามองแล้วยกมือไหว้สมรศรี ใจหนึ่งเธออยากเข้าไปกอด อย่างน้อยคนที่สร้างความกดดันให้เธอก็คือแม่ผู้ให้กำเนิด แล้วการไหว้ลานี้ไม่ใช่จะไปแค่งานฉลองวันเกิดเพื่อน แต่มันคือการล่ำลาที่วันพรุ่งนี้เธอจะตีตั๋วบินไปยังอีกจังหวัดหนึ่งเลย

“ขอให้สนุกกันนะคะ” มาริสารู้ว่าแม่ไม่ได้เต็มใจจะสื่อคำนั้นสักเท่าไหร่ แค่ไม่อยากขัดข้องเพราะเพื่อนคนที่จัดงานคือธนิตา 

ตระกูลของธนิตานั้นทรงอิทธิพลอันดับต้นๆ แล้วแพทย์ประจำตระกูลก็คือพ่อและแม่เธอนั่นเอง ครั้งหนึ่งธนิตาและพวกเธอเหล่าสหายเคยโดนจับไปเรียกค่าไถ่ เรื่องราวคราวนั้นทำให้เธอรู้ว่าอิทธิพลของบ้านหล่อนมีมากมายเพียงใด ถ้าจำไม่ผิดพวกคนร้ายที่ลักพาเด็กน้อยทั้งสี่ไป ถูกเก็บกวาดซะเกลี้ยง ถึงอย่างนั้น เหตุการณ์นั้นก็ทำเอาเธอฟกช้ำดำเขียวกว่าจะหนีออกมากันได้


........................


“คิดยังไงมารับเนี่ย” 

มาริสาเอ่ยถามเพื่อนเมื่อเข้ามานั่งในรถ

“กลัวหล่อนขอแม่ไม่ได้น่ะสิ ฉันเลยว่ามาพูดเองน่าจะของ่ายกว่าอีก” กมลชนกยักไหล่ เหมือนกับว่าการต่อรองเจรจากับคุณสมรศรีนั้นง่ายดายมากมายสำหรับคนอย่างเธอ

“โหยนั่นแม่ฉันนะ ยังไงฉันก็ออกมาได้ล่ะน่า” ถึงจะพูดดูมั่นใจ มันก็ไม่ต่างจากการแถให้ตัวเองดูดีนั่นแหละ

“แล้วมีเรื่องอะไรรึเปล่า ดูไม่ค่อยจะแฮปปี้เลย” กมลชนกอ่านเธอออกอีกจนได้ อาการมันฟ้องขนาดนั้นเชียว

“มีสิ เรื่องใหญ่เลยด้วย เอาไว้ค่อยพูดทีเดียว ขี้เกียจเล่าตอนนี้” 

มาริสาปรับเบาะรถให้เอนลงนอน ตะแคงหลบสายตาเพื่อนจอมขุดคุ้ย หล่อนสุ่มเดาความจริงได้เสมอ แม้ไม่ต้องพูดคำใดออกมาเลยก็ตาม

“อะไรน๊า อะไรทำให้คุณหมอต้องหลบฉันขนาดนี้ ชักอยากรู้ซะแล้วสิ” 

น้ำเสียงลั๊ลลาทำเอามาริสาผวา อีกไม่นาน กมลชนกคนนี้จะได้รู้ซึ่งทุกเรื่องที่เธอปิด 

“ขับรถมองทางไปเลยนะ ฉันจะงีบ” เธอบ่นอุบอิบ แม้ตาปิดลงแต่ตัวไม่ได้หลับตาม

เครื่องยนต์เดินอย่างราบเรียบ นั่นแปลว่าเพื่อนของเธอกำลังอารมณ์ดี เพื่อนสาวนักสืบคนนี้มักไม่ค่อยมีเรื่องเดือดร้อนใจสักเท่าไหร่ หล่อนจัดการทุกเรื่องให้มันดูง่ายได้เสมอ ไม่ว่าจะคอขาดบาดตายอย่างไรก็ตาม กมลชนกซะอย่าง 

จนรถมาจอดสนิทนี่แหละ เธอค่อยลืมตาขึ้นอย่างโล่งใจสักที นั่งมากับเพื่อนสาวที่มีรังสีกดดันไม่ต่างจากแม่ของเธอเลยสักนิด ยิ่งเวลาหล่อนอยากรู้เรื่องอะไรที่เธอไม่ยอมพูด

“ลงจ๊ะลง ถึงบ้านที่สุดแสนจะไฮโซของคุณเพื่อนเราละ ต๊าย ยัยตาคงไม่ขลุกบนห้องสยองขวัญ ชั้นบนนั่นหรอกนะ” 

แน่ว่าไม่มีใครเคยได้ยินกมลชนกพูดแนวจิกเหน็บแนมเช่นนี้ นอกจากเพื่อนสนิทจริงๆ

“ฉันจะฟ้องแม่ ว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้พูดจาแบบคุณหนูลูกผู้ดี” มาริสาปิดประตูรถหันไปมองยังกมลชนกที่ยักคิ้วเป็นเชิงท้าทาย

“อุ้ยคุณหมอคะ ฉันผิดไปแล้ว ฉันจะยอมพูดความจริงทุกอย่างกับแม่คุณหมอเลย ทุกเรื่องของลูกสาวท่าน....”

“เฮ้ยไม่ได้นะ หยุดเลยยัยนก อย่าเอาความลับหลายอย่างที่ฉันอุตส่าห์บอกไปเล่าให้คุณแม่สิ” มาริสาเดินไปจะหยิกแขนเพื่อนที่หลบได้ทัน แล้วตรงเข้าตัวบ้านของธนิตาไปอย่างผู้กำชัยเหนือกว่า

“เร็วๆ เจ้าของวันเกิดรออยู่” หล่อนยังทำหน้าสบายใจ๊สบายใจได้อีก

เธอเดินตามเข้าไปยังห้องๆ หนึ่งที่จัดต้อนรับเอาไว้สำหรับเหล่าสหายของธนิตา ภายในมีเค้าเตอร์บาร์ขนาดย่อม ลำโพงหลายตัวเปิดเสียงเพลงเบาๆ คลอเป็นจังหวะ แต่คนที่นั่งอยู่ในนั้นมีเพียงอรวีและธนิตาเท่านั้น ก็นี่แหละ ที่เธอเรียกได้ว่าสนิทจริงๆ

แม้จะเป็นวันเกิดของเพื่อนคนสำคัญก็ตาม แต่อรวีนั้นกำลังกดเล่นเกมในมือถือไม่สนใจเจ้าของวันเกิดที่นอนกลิ้งเกลือกบนโซฟาอย่างเบื่อหน่าย

“มากันแล้วเหรอ อยากกินไรคอร์ลงไปสั่งเลยนะ เชฟมาเองเลยวันนี้” ธนิตาบิดขี้เกียจ เหมือนหล่อนจะจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดในตระกูลไปไม่นาน แต่งานนี้มีอีกครั้งเพื่อรวมตัวเพื่อนๆ ก็เท่านั้น 

“ฉันขอยำแซลม่อน เสต๊กแกะสไลด์บาง สุกๆ เลยนะคะ ลอบเตอร์เผา ซีซ่าร์สลัด แล้วก็น้ำลูกพรุนไม่ใส่น้ำตาลค่ะ” มาริสากดสั่งไปในโทรศัพท์ทันทีที่ธนิตาพูดจบ

“ไปอดอยากมาจากไหนยะ” ธนิตากวักมือเรียกให้เพื่อนหมอมานั่งข้างๆ 

“ฉันขออะไรก็ได้ที่แพงที่สุด และอร่อยที่สุด จัดมาสักจานค่ะ” กมลชนกพาซื่อตามมาริสามั่ง เห็นธนิตาหัวเราะ หล่อนไม่ได้กลัวจะจนลงเพราะอาหารไม่เท่าไหร่นี่หรอก แต่ขำที่เพื่อนๆ ไม่เคยเปลี่ยนจากเดิมเลย

“เค้าเอาเหมือนนกเลยจ้ะ” อรวีเงยหน้าขึ้นมาแวบหนึ่งเป็นเชิงบอกว่าสั่งมาสอง แล้วก็ฟุบกลับไปกดมือถือเล่นต่อ

“นี่ฉันเลือกวันให้ตรงกับเวลาว่างของสาเลยนะเนี่ย ไม่ค่อยได้เจอกันเนอะช่วงนี้” เจ้าบ้านนำเมนูเครื่องดื่มแสนอร่อยที่มีรูปหลากสีวางให้มาริสาเลือก ไม่ผิดหรอกที่ธนิตาจะเอาใจมาริสามากกว่า เพราะด้วยลักษณะนิสัยแล้ว มาริสาค่อนข้างจะเก็บตัวมากกว่าใครเค้า ทั้งยังหวาดกลัวต่อทุกเรื่องที่ผิดพลาด

“สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะ ฉันไม่ได้เตรียมของขวัญมาให้ แต่ถ้าอยากได้อะไรก็.... ไปซื้อเอาเองละกัน” มาริสาเว้นก่อนจะพูดขึ้นมาหน้าตาย ทำเอาธนิตาหัวเราะอีกครั้ง

“ยัยสานี่ กวนซะละ เดี๋ยวจับมัดยัดตู้ยาเลย” 

“มาๆ ฉันช่วย” อรวีไม่รอช้าตรงรี่เข้ามาคล้องแขนอีกด้านของเพื่อนไว้ทันที

“แหนะ พอเล่นเกมแพ้ถึงได้สนทนากับเพื่อนนะคุณอร.... นกตรงนั้น เชือกมีตรงนั้น” ธนิตาชี้ไปที่ตู้เก็บเครื่องดื่ม ทำสีหน้าเหมือนจริงจนมาริสาผวาหันซ้ายหันขวา

“เอ๊ย ไม่เอานะ.... นกช่วยด้วย” คุณหมอลุกรี้ลุกรนอย่างกับว่าจะโดนมัดยัดตู้ยาไปจริงๆ

“ไหนเชือกเดี๋ยวฉันช่วย” กมลชนกยิ้มเหี้ยมแล้วแสร้งทำจะไปหยิบเชือก มาริสาทำหน้าเบ้ ขวาโดนธนิตายึด ซ้ายก็มีอรวีล็อค ยัยเพื่อนพวกนี้พยามจะขังเธอในตู้ยา ไม่เอานะ ไม่เอ๊า

“ฮ่าๆ เล่นกันเป็นเด็กไปได้ ดูดิ ยัยสาจะร้องไห้อยู่ละ อรก็น้อ ไม่ต้องสมจริงขนาดนั้นก็ได้” กมลชนกคว้าหยิบแก้วใสในตู้มารินเครื่องดื่มแทน

“เชือกที่ไหนจะมีในห้องนี้คะ แกล้งนิดเดียวเองอย่าทำหน้างอแบบนั้นดิ” ธนิตายังหัวเราะไม่หยุด ตามด้วยอรวีที่ยอมปล่อยมาริสาให้นั่งตัวเกร็งไม่กล้าขยับ

“ขวัญเอ้ยขวัญมา แกล้งสานี่สนุกที่สุดละ.... วันนี้ดื่มไร เดี๋ยวทำให้อ่ะ” ธนิตาตรงเข้าไปลูบหัวลูบแขนเพื่อนที่นั่งทำหน้าเจื่อนบอกบุญไม่รับ

“จะดีเหรอ” อรวีเหล่มองธนิตา คราวแล้วมาริสาก็แทบทำป่วนงานเลี้ยงของพวกไฮโซที่มาบ้านธนิตา ร้อนถึงคุณสมรศรีที่ต้องรีบพาลูกสาวตัวเองกลับบ้าน แต่ธนิตานี่สิ เห็นเป็นเรื่องสนุกที่ได้เฮฮาซะงั้น

“ไม่เป็นไร๊ วันนี้ไม่มีใครนอกจากพวกเรา อีกอย่างนะ วันนี้ฉันมีเรื่องจะบอกด้วย” ธนิตาเว้นจังหวะ เพื่อนทั้งสามก็ตั้งหน้าตั้งตารอฟัง โดยเฉพาะมาริสาที่หันไปรอแบบตื่นเต้นที่สุด

“ฉันว่าจะแต่งงานเร็วๆ นี้แหละ” ธนิตาเอ่ยด้วยสีหน้าฟุ้งฟริ้งอย่างที่มักไม่ค่อยจะทำต่อหน้าใครนัก

“จริงเหรอ เมื่อไหร่ ใครอ่า” มาริสาตื่นเต้นจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ จับแขนเพื่อนเขย่าถามเอาความ

“อ่อ รู้แล้วล่ะ นกพึ่งเล่าให้ฟังเมื่อวานนี้เอง” อรวีหยิบไวน์สีแดงสดดื่ม เฉยกับข่าวที่ได้ยิน พอๆ กับกมลชนกที่รินวิสกี้ใส่แก้วเชื่องช้า ไม่ได้ตกใจกับข่าวนี้สักเท่าไหร่

“อะไรบ้างที่กมลชนกไม่รู้คะ นี่คงรู้ถึงตัวเจ้าบ่าวฉันแล้วสิเนี่ย” ธนิตาลอบถอนใจ กะเซอร์ไพร์สักหน่อย แต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนหมอมองตาละห้อยคอยแก่คำตอบนั้นอยู่

“ก็คนนั้นไง ที่ฉันพามางานเลี้ยงคราวก่อนนู้น สาจำได้ป่าว” เจ้าบ้านเลยทำเหมือนว่าคุยกับมาริสาสองคนก็พอ 

“....” คำตอบที่ได้คือการส่ายหน้า

“อ่ะๆ คนนี้ๆ” ธนิตาเปิดรูปในเครื่องมือถือให้มาริสาดู

“อ้อออ ฉันก็นึกว่าใคร เห็นเดินตามตาต้อยๆ ในงาน คุณแม่ก็บอกว่าเหมาะสมกันดีแล้ว แต่ตอนนั้นก็ไม่กล้าถามอะไรต่อ” มาริสาพยักหน้าหงึกหงัก แบบว่าเห็นด้วยอย่างยิ่ง

“ว่าแต่น้องแพรวพราวของสาล่ะจ๊ะ ไปถึงไหนกันแล้ว” ธนิตาทำสายตากรุ้มกริ่มมองไปยังมาริสา

“จบไปแล้วล่ะ” มาริสาไม่กล้าพอจะเล่าว่าต้นเหตุนั้นมาจากคุณแม่ที่ห่วงในความสัมพันธ์แบบนี้

“เอาน่า น่ารักๆ แบบสาเดี๋ยวก็เจอใหม่ไม่ยาก เดี๋ยวเพื่อนๆ จะคอยเชียร์ ปล่อยยัยคนนั้นไปซะเถอะ มีของดีแต่ไม่รักษาไว้” ธนิตาจิ้มแก้มของเพื่อนเล่น หารู้ไม่ว่าคำพูดนั้นแทงใจดำเข้าเต็มๆ ใช่ว่าแพรวพราวต้องการจะไปจากเธอจริงๆ แต่เธอเองที่ไม่อาจรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ได้ ซ้ำตอนนี้ยังไม่อาจติดต่อกับรุ่นน้องคนนั้นได้เลย

“ฮึก ฮือออ” มาริสาที่แอลกอฮอล์พึ่งเข้าปากได้ไม่นานก็ร้องไห้โฮโผเข้ากอดอรวี ที่จำเป็นจะต้องหยุดการจิ้มยำแซลม่อนจากจานตรงหน้าลง

“เอาน่าๆ ความรักมักมีความทุกข์ สงบจิตสงบใจแล้วละทิ้งความรักเถิดมนุษย์โลกเอ๋ย” อรวีลูบหลังเพื่อนที่ฟูมฟายหนักเข้าไปอีกเมื่อได้ยินคำปลอบอันเที่ยงธรรมนี้

“นี่ฉันไม่ได้พูดอะไรผิดใช่ป่าว” อรวีหันหน้ามองกมลชนกที ธนิตาที แค่พยามจะพูดให้มาริสารู้สึกดีไหงกลับร้องไห้ซะได้

“ฉันผิดเองแหละ ความรักแบบนี้มันคงผิดตั้งแต่เริ่มแล้ว งือ ไม่มีใครเห็นด้วยเลย” มาริสาฟุบกับตักอรวี โดยหารู้ไม่ว่าเพื่อนทั้งสามลอบมองตากันปริบๆ กับคำว่าไม่มีใครเห็นด้วย นี่คงจะเป็นคุณสมรศรีที่ห่วงต่อภาพลักษณ์แน่ๆ

“ฉันกะก็ เห็นด้วยนะ ถ้าสาจะรักใครสักคนที่ดี และถูกต้อง” ธนิตาพยามจะฝืนเห็นด้วยกับรักแหวกแนวที่ตัวเธอเองออกจะเข้าข้างคุณป้าสมรศรีเสียมากกว่า

“หยุดเลยยัยตา นู้นไปทำคอกเทลมาเพิ่มอีกไป๊” กมลชนกปัดมือไล่ธนิตาที่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่เข้าท่าสักที ก็หล่อนไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับความรักแบบแปลกๆ นี้เท่าไหร่

“ฉันว่าสาเลือกใครรักใคร ฉันก็เห็นด้วยทั้งนั้นแหละ....อร๊าย อย่าทำน้ำมูกย้อยใส่ขาฉันสิ” อรวีพูดจบก็คว้าทิชชู่ยัดใส่มือเพื่อน กมลชนกถึงกับส่ายหน้า อรวีรึจะรู้เรื่องความรัก เพื่อนอรถึงจะมีคู่หมั้นคู่หมายแสนสมบูรณ์แบบ แต่ความดีในทุกๆ ด้านนั้น มันก็ทำให้มองข้ามความรักไปอีกนั่นแหละ

“เฮ้อ นี่ก็อีกคน มานี่มา....ใครจะเข้าใจหล่อนได้ดีเท่าฉันยะ” กมลชนกดึงมาริสาให้ลุกนั่ง หยิบทิชชู่ในมือซับน้ำตาให้ 

“ไหนดูซิ ตาบวมแล้วเห็นมั้ย.... คุณแม่ไม่เห็นด้วยใช่มั้ย เรื่องแบบนี้มันต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ปุบปับพ่อแม่ที่ไหนจะรับได้ล่ะ ยิ่งสาเป็นลูกที่ว่านอนสอนง่ายมาตลอด เป็นเด็กดีซะอย่างนี้ คุณแม่คงเป็นห่วงสานั่นแหละ” กมลชนกเห็นแววตาเศร้าใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หล่อนคงทุกข์ที่คนในบ้านไม่ยอมรับ

“ผ่านมาหลายปีเลยที่สาคุยอยู่กับแพรวพราว พึ่งจะเห็นคุณสมรศรีห้ามก็ครั้งนี้นะ.... มีอะไรที่สาไม่ได้บอกพวกเราอีกมั้ย” เพื่อนนกสังเกตได้ถึงเรื่องที่มาริสายังไม่ได้พูด 

“แม่จะให้ฉันหมั้นและแต่งงงานกับพี่นพดล! ฉันไม่เอานะแบบนั้น แง๊” มาริสพูดจบ เป็นธนิตาที่แทบจะปล่อยแก้วคอกเทลตกพื้น ไหนยังจะอรวีที่ทำแซลม่อนชิ้นโตหลุดจากปาก 

ทว่าก็มีกมลชนกที่สติดีหน่อย รีบพูดก่อนมาริสาจะได้ฟูมฟายไม่หยุด

“หยุดร้องก่อนสา ยังมีทางออกอีกมากไม่ใช่เหรอ มาช่วยกันคิดนะ” กมลชนกส่งทิชชู่ให้เพื่อนสั่งน้ำมูก

“ฉันน่ะ ตอบรับโรงพยา บาลนั้นไปแล้ว พรุ่งนี้จะ เดินทางไปแต่เช้า ยะยังไม่มีใคร รู้หรอก” มาริสาสะอื้นเล่าความออกมาเป็นวรรคๆ ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงทางออกที่ดีที่สุด

“เฮ้ย จริงดิ ร้ายแรงขนาดต้องหนีออกบ้านไปแบบนี้เลยเหรอ หมอนพดลก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ” ธนิตาพยามพูดต่อ แต่โดนสายตาของกมลชนกห้ามเอาไว้อย่างจัง 

“งั้นคืนนี้ก็จะไม่กลับไปบ้านแล้วสิ” อรวีถาม เพราะรู้ว่าถ้ามาริสากลับไปจะออกมาอีกทีคงยาก

“ไม่แล้วล่ะ ฉันเตรียมตัวพร้อมแล้ว ขอแค่เรื่องนี้เท่านั้น ฉันยอมไม่ได้” มาริสาฉายแววความมุ่งมั่น แม้จะไหวเอนจนแทบจะไม่เหลือความกล้าไปเผชิญหน้ากับคุณแม่อีกครั้ง

“ฉันว่าก็ดีนะ สาจะได้หลบไปคิด แล้วคงไม่ได้มีแค่สาที่คิด ไม่แน่ว่าคุณแม่ของสาอาจเปิดใจรับฟังก็ได้” กมลชนกรับแก้วน้ำจากธนิตาส่งมาให้มาริสาและอรวี 

ทั้งสี่ชนแก้วกันแล้วร่วมดื่มด่ำฉลองให้กันและกัน ทุกเรื่องจะผ่านไปด้วยดี คิดว่ามันคงจะเป็นแบบนั้น แต่ใครเล่าจะได้ตามต้องการ หรือหากได้ตามนั้น ก็คงต้องขัดใจอีกหลายคน

แล้วเธอจะทำเช่นนั้นได้เหรอ แม้อยากจะทิ้งทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง ทว่าสักวันหนึ่งก็ต้องกลับมาเผชิญหน้ามันอยู่ดี อย่างไรเสีย นาทีนี้ขอวิ่งหนีจากความจริงที่ไม่อาจต่อสู้ได้ วิ่งหนีไปเพื่อตั้งหลัก หาใช่หลบเลี่ยงไปตลอดกาลเสียเมื่อไหร่กัน

มาริสานั่งมองภาพเพื่อนแต่ละคนที่แทบจะเอนซบไปบนโซฟา ดูพวกนางๆ แต่ละคนช่างหมดแล้วซึ่งความเป็นลูกคุณหนูที่แม่ของเธอมักจะมองเห็นอยู่เสมอ อย่างไรเสีย มันก็รวมเธอไปด้วยอีกคนล่ะนะ

“นี่ยัยสา ไม่ลองเปลี่ยนใจกลับมาเลือกหมอนพดูเหรอยะ อาจมีไรดีกว่าก็ได้น๊า” ธนิตาที่พอจะนั่งตัวตรงถามเธอ 

“หาเรื่องกันเหร้อออไง๊ ฉานบอกไปแล้ว ฉานไม่ชอบเค้าแบบนั้น” มาริสาวางแก้วกระแทกโต๊ะ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเพื่อน เธอลุกไปจิกผมละนะ

“เปล๊า แค่เห็นว่ารักแบบนี้มันมีแต่ปัญหา แล้วสายตาคนนอกคงมองมาแบบรังเกียจแน่เลย ฉันเลยกลัวเธอจะทนไม่ได้เองสักวัน....” ธนิตาลุกยืนเซหลบเนื้อแกะย่างที่ปาตรงมาใส่

“หยุดเลยนะยัยตา ฉานเลือกแล้วมีไรมะ ที่ว่ารังเกียจนี่หล่อนเองใช่มะ ก็เห็นว่าจะแต่งกะว่าที่สามีไฮโซนั่นนี่” มาริสายืนเท้าสะเอวโคนเคนมองเพื่อนที่จ้องจะหาเรื่องไม่ต่างกัน

“ฉันบอกว่าคนอื่น ไม่ใช่ฉันสักหน่อย” ธนิตาพยามจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนนกและเพื่อนอรที่กึ่งหลับกึ่งตื่นไม่เอ่ยคำใดมาช่วยไขความกระจ่างในคำพูดของเธอเลยสักคน

“เออดิ ฉันกลับก็ด้ายยย อยู่นี่นานไป เดี๋ยวแกจะรังเกียจเอา” มาริสาตรงไปจะหยิบกระเป๋าสะพายข้าง เตรียมเผ่นจากที่นี่ แต่ก็ถูกเจ้าบ้านรั้งข้อมือไว้

“เดี๋ยวดิ ไม่ได้จะว่าแบบนั้น นี่อยู่นิ่งๆ ดิ๊” ธนิตาดันเพื่อนให้กลับมานั่งยังโซฟาใกล้สุดอย่างทุกลักทุเล

“นึกว่ารวยแล้วจะบังคับใครก็ได้เรอะ” มาริสาอาละวาดหาเรื่องดันธนิตาออกห่าง แน่ว่าอรวีกับกมลชนกมองตากันไปมาสลับกับเจ้าบ้าน บอกแล้วก็ไม่เชื่อ อย่าให้เหล้าเข้าปากหมอ

“ไม่เอาน่าสา เริ่มพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วนะ” 

ถุย....แปะ ว่าแล้วมาริสาสติหลุดก็ถุยน้ำลายหยดเล็กๆ แปะเสื้อเพื่อนที่ดันตัวเธอติดโซฟา ซ้ำยังส่งใบหน้าที่ท้าทายไปยังธนิตาอย่างไม่ลดละ

“ยัยสา กวนตีนฉันเหรอ หืมมมม” ธนิตาตรงเข้ากระชากรั้งเส้นผมของจอมหาเรื่องเข้ามาใกล้ แรงดึงนั้นมากพอจะทำให้หล่อนสะท้าน

“อื้อออ อะ อ่อย” 

แล้วเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดก็เกิดขึ้น เมื่อคุณสมรศรี และคุณนายของบ้านเคาะและเปิดประตูเข้ามาหมายจะเอ่ยทักทายกับเพื่อนๆ ของลูกสาว 

เหมือนคุณสมรศรีจะใบหน้าแดงก่ำ แต่ต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ เพราะคุณแม่ของธนิตาดึงชายเสื้อพร้อมกับกล่าวว่า ปล่อยให้เด็กๆ เค้าสนุกสนานกันต่อเถอะค่ะ จากนั้นทั้งสองก็หายวับออกไปจากห้องรื่นเริง ท่ามกลางความตกตะลึงของกมลชนกและอรวีที่เห็นฉากบังคับจูบอันดุเดือดของธนิตากับมาริสา 

แน่นอนว่าคุณหมอจอมหาเรื่องแพ้ให้กับเจ้าถิ่น ซ้ำมาริสายังเหลือบไปเห็นคุณแม่ให้ต๊กกระใจอย่างสุดขีด เผลอร้องไห้ออกมาไม่หยุด เล่นเอากมลชนกได้เข้ามาปลอบอยู่นาน

“ไม่น่าแกล้งยัยสาเล้ย” อรวีช่วยออกมาแยกทั้งคู่อีกแรง

“ก็ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้รังเกียจ นี่ก็ถือว่าช่วยสาเลยนะ เห็นมะ คุณป้าสมรไม่ยักจะว่าอะไรสาสักคำ” ธนิตาส่ายหน้า ยังไม่วายบิดแก้มมาริสาเล่นจนแดง

“ใครจะกล้าล่ะคะ หล่อนเล่นจับลูกสาวเค้าจูบต่อหน้าต่อตา แม่หล่อนเองก็เหอะ อึ้งซะพูดไม่ออก” กมลชนกปัดมือธนิตาที่เอื้อมมาจะหยิกแก้มมาริสาต่ออีก

“เอาน่า ถือว่าขอโทษแล้วกัน พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งที่สนามบินเลย คงไม่มีใครกล้าตามเพื่อนหมอแน่นอน” ธนิตาเอ่ยยอมรับผิดแล้วแสร้งทำหน้าเจื่อนให้มาริสาตายใจหยุดสะอื้น

“จริงนะ ตาไปส่งฉันนะ” ความโมโหก็หายไปทันตา มาริสากลับมาเริงร่าได้ไม่นานก่อนจะน้อคหลับไปด้วยแก้วใบสุดท้ายที่ชนดื่มกับเพื่อนๆ 

เท่านี้แล ผู้ที่ไปส่งมาริสาก็กลับกลายเป็นกมลชนก ด้วยเจ้าบ้านหลับไม่ยอมตื่น แถมอรวียังต้องแบกธนิตาใส่รถมาด้วย เอาหล่อนไว้เป็นไม้กันคน ไม่ใช่กันหมาอ่านะ 

ฉากล่ำลาเกิดขึ้นได้ไม่นานเพราะมาริสาเลือกเที่ยวบินที่เร็วที่สุดเมื่อไปถึงยังสนามบิน และยังแฮฟตังค์ของธนิตาเอามาจ่ายค่าตั๋วซะเสร็จสับ 


........................