ฉันก็แค่... ตอนที่11

บางทีการได้หลับสนิทบ้างก็น่าจะส่งผลดีกับร่างกาย.... 

หากไม่ใช่ในคืนที่ผ่านมา ธาดานอนดิ้นเป็นร้อยๆ รอบ เพียงประโยคไม่กี่คำของข้อความ ทำใจไม่ได้จริงๆ ทำไมชะตากรรมของเธอถึงโชคร้ายได้เพียงนี้ หรือการปล่อยเรื่องนี้ไว้สักพักคงจะทำให้จิตใจหายฟุ้งซ่านไปได้บ้าง ว่าแล้วก็ลุกขึ้นออกมาเดินเล่น แต่จะเดินไปไหนได้ไกล ก็คงแถวๆ ที่พักนี่แหละ 

รุ่งเช้าของวันหยุดสดชื่นเช่นนี้คงไม่มีใครออกมาเดินข้างนอกเช่นเธอ ใครก็ต้องหาเวลานอนพักผ่อนเอาแรง เธอก็ควรทำเช่นนั้น ถ้าสมองนี้จะสามารถว่างลงได้เสียก่อน

ธาดาเดินอ้อยอิ่งดึงใบไม้ริมทางเล่น ฆ่าเวลาอะไรบางอย่างที่เธอเองก็ไม่รู้ เธอทิ้งอุปกรณ์สื่อสารไว้บนห้อง ตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก ตัวเปล่ากับใจเปล่าๆ บางทีเธอก็คิด ไม่อยากจะใช้อุปกรณ์สื่อสารชิ้นใดอีกต่อไป หากไม่จำเป็นเรื่องงานที่ต้องติดต่อแล้ว ธาดาคงเลือกฝังมันลงหลุมไปนานแล้ว

ว่าแต่วันนี้ก็แปลกอีก วันหยุดของคนทั่วไป ดันกลายเป็นวันหยุดของโรคภัยด้วยรึเนี่ย เพราะรถที่จอดในโรงพยาบาลดูลดน้อยลง ราวกับว่าวันนี้ โรคภัยไข้เจ็บจะหยุดทำงานด้วยสักวัน เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

ถึงอย่างนั้นก็มีอีกคนที่ไม่ได้หยุด ผู้อำนวยการของโรงพยาบาลนี้ยังไงล่ะ หล่อนมักจะมาแต่เช้าสม่ำเสมอ ตลอดเวลาที่เธอทำงานที่นี่ ไม่เคยเห็นว่าหล่อนจะหยุดกับเค้าบ้างเลย จะมีก็แต่ไปดูงานนอกสถานที่ ซึ่งนั่นก็ยังเรียกว่าอยู่ในช่วงทำงานอยู่ดี ถ้าให้เธอเลือกครองตำแหน่งสำคัญแบบนั้น แต่ไม่มีวันได้พักผ่อนเลยทั้งชีวิต ฉันขอเป็นธาดาธรรมดาๆ แบบนี้จะดีกว่า ไม่ต้องมีพันธะต่อสิ่งไหนๆ 

หากใครบางคนที่เธอคิดถึงจะเป็นเช่นคนไร้พันธะแบบเธอได้บ้างก็คงจะดี คิดแล้วก็ทำให้เธอเกิดอาการถอนหายใจยาวเหยียด เพราะทุกอย่างมันมักวกกลับมาเรื่องที่เราไม่สบายใจที่สุดได้เสมอ สมองและจิตใจมันช่างสัมพันธ์กันอะไรอย่างนี้ ทั้งๆ ที่มันห่างกันไกลพอสมควร 

ธาดามองดูรถหรูของผู้อำนวยการอีกครั้ง เห็นสุนัขตัวนั้นวางก้อนอุนจิไว้ข้างๆ นั่นทำให้เธอแอบลุ้นให้มันถ่ายลงตรงกลางของยางรถแสนแพงนั่น.... ว้าเฉียดไปนิดเดียวเอง แต่ก็ไม่แน่หากองศาการถอยรถออกจากที่จอดของผู้อำนวยการวันนี้จะบิดเบี้ยวมาสักหน่อย คงได้พอดิบพอดีกับสิ่งที่สุนัขตัวนั้นทิ้งไว้ 

แต่เดี๋ยว แล้วรถคันที่พึ่งโฉบเอาก้อนอุนจิข้างๆ นั่นไปล่ะ มันคุ้นตาเสียเหลือเกิน ด้วยความไวธาดาเบี่ยงตัวหลบเข้าพุ่มไม้ที่ใกล้ตัวที่สุด พึ่งรู้สึกว่าตัวเองเดินมาไกลมากแล้ว และกำลังจะหันกลับไปทางเก่า ถ้าไม่เพียงแต่....

“ดิฉันกำลังจะขึ้นไปพบค่ะ” 

เสียงแว่วมาจากผู้สนทนาที่ยืนไม่ใกล้ไม่ไกลจากเธอนัก คุณแม่แสนไฮโซของเพื่อนใหม่นั่นเอง หล่อนทำหน้าตาเคร่งเครียด โบกไม้โบกมือให้คนขับรถรออยู่ตรงนี้ไม่ต้องเดินตาม และนั่นก็ยิ่งทำให้เธอเพิ่มความสงสัยขึ้นมา วันนี้ลูกสาวของหล่อนก็อยู่บนห้องแท้ๆ ทำไมไม่ไปหามิทราบคะ

ไม่ได้ล่ะ แบบนี้ต้องติดตีนแมวย่องเบาสะกดรอยตามไปเรื่อยๆ หล่อนหยุดอยู่แถวบริเวณหน้าห้องผู้อำนวยการ และเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูห้องนั้นเปิดออก ธาดาหลบรวดเร็วเข้าประตูห้องน้ำข้างๆ หวังว่าคงไม่มีใครเห็นนะ คิดว่าไม่มี แต่ใครจะสนคนเข้าห้องน้ำล่ะ ว่ามั้ย

“เรื่องที่คุณหมอเสนอมา ฉันขอปฏิเสธ และยังยืนยันคำเดิมค่ะ ว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่ฉันยังอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลนี้” 

ผกาวดีมีสีหน้าเอาจริงเอาจังแบบที่เธอมักจะพบเห็นอยู่บ่อยๆ ผู้อำนวยการมองสบตากับจิตแพทย์สายฮาทคอร์อย่างไม่กลัวเกรง ไม่ได้หวาดหวั่นเช่นเธอเลยสักนิด

“คุณแน่ใจเหรอว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะทำให้มันใหญ่โต ฉันจะให้โอกาสคุณกลับไปพิจารณาดูอีกครั้ง มันไม่คุ้มที่จะยื้อ คุณก็รู้นี่ ฉันทำได้มากกว่าที่คุณคิด” คุณสมรศรีคงยังไม่ละสายตาอำมหิตไปจากผู้อำนวยการจอมเฮียบ

“ฉันคิดดีแล้วค่ะ และฉันก็ทำสิ่งที่คิดว่าควรจะทำแล้ว กลับไปเถอะค่ะ” คราวนี้เป็นผกาวดีที่หันหลังกลับ แบบนี้มันจงใจชัดๆ ไม่ทันได้เชิญคุณป้าไฮโซไปนั่งในห้องด้วยซ้ำ ธาดาคิดขณะที่กำลังยืนฟังความเคลื่อนไหวอยู่ ก็ดีที่ไม่คุยในห้อง เธอจะได้ยินชัดๆ ยังไงล่ะ คริคริ ว่าแต่ฉันกลายเป็นคนสอดรู้สอดเห็นไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่....

“เปลี่ยนใจเถอะผกา ขอให้ฉันจัดการเรื่องนี้เอง” น้ำเสียงเบาหวิวราวกับว่ายัยป้าสมรศรีจะขอร้องให้ผู้อำนวยการทำบางสิ่งที่หล่อนต้องการ มันไม่ใช่การขู่เช่นทุกครั้ง ธาดายังรับรู้ได้เลย แม้จะพึ่งรู้จักหล่อนเมื่อวานก็เหอะ หากตอนนี้หล่อนยอมลดความโหดลงแบบสุดๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรหากเป็นเธอคงยอมตกลงไปแล้วล่ะ

“หมดธุระแล้ว กลับไปเถอะค่ะ....อาจารย์” จบประโยคผอ.แห่งโรงพยาบาลก็เดินเข้าห้องปิดประตูไล่แขกคนสำคัญไป ท่าทางสีหน้าคุณสมรศรีไม่ได้บ่งบอกว่าหล่อนรู้สึกอันใด เธอก็ไม่อาจคาดเดาได้ แต่ตอนนี้เธอต้องเบียดตัวเข้าไปในห้องน้ำอีกรอบ

แว้บๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนินจา ล่องหนไปมา ไม่มีใครจับได้ คริคริ ช่างน่าตื่นเต้นจนลืมความเศร้าไปได้เลยนะเนี่ย ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าเค้าคุยอะไรกัน เธอเองก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก ก็เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอสักหน่อย แค่ขอยืมบทนินจาผู้ว่องไวมาเล่นให้ใจตุ้มๆ ต่อมๆ ก็พอ.... แว้บๆ ผู้ที่ตามสะกดรอยไปแล้ว ถึงเวลาที่เธอต้องออกที่ซ่อนกลับไปห้องพักได้สักที


........................


“..!..” ชะอุ้ยย ต๊กกระใจแบบสุดๆ เหตุอันใด มีอะไรดลใจให้ผอ.แสนดุคนนี้มายืนกอดอกหน้าประตูทางเข้าห้องน้ำได้ล่ะนี่ ธาดากลืนน้ำลายอึกอัก แล้วก็ตีหน้าเฉยเมยราวกับว่าเธอแค่มาเข้าห้องน้ำ

“คุณธาดา....ว่าด้วยเรื่องการแต่งกายของที่นี่ คุณคงทราบดีว่าการใส่ขาสั้นคืบกว่า กับเสื้อรัดรูปแหวกร่องอกแบบนี้ โดยที่คุณยังถูกว่าจ้างในโรงพยาบาลนี้ มันคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่....คุณจะแต่งกายแบบไหนนอกโรงพยาบาล มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าไม่ใช่ภายในรั้วโรงพยาบาลนี้ คนทั่วไปจะให้ความเคารพในภาพลักษณ์เราได้อย่างไรหากผู้ที่เค้าฝากชีวิตไว้ยังเป็นซะแบบนี้” 

ผกาวดีมองเธอหัวจรดเท้าด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียมที่บ่งบอกว่าเห็นเธอมายืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว จะว่าไปแล้วป้ายหน้าห้องน้ำก็ยังสื่อชัดแจ้งว่าเป็นห้องน้ำของผู้บริหารระดับสูงของโรงพยาบาล แล้วเธอเล่ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้หนอ....

“อะเอ่อ....ขอโทษค่ะ ฉันจะปรับปรุงตัว ขอโทษค่ะ” 

เธอรีบยกมือพนมไหว้ด้วยความตกใจ หากแต่คนที่ยืนกอดอกอยู่นั้นทำไม่ใส่ใจ เดินเข้ามากดน้ำล้างมือเหมือนไม่แยแสในการกระทำของเธอ ได้โอกาสล่ะ ธาดาโค้งตัวหนึ่งทีแล้วรีบเดินกึ่งวิ่งออกมาจากจุดนั้นทันที 

แย่แล้ว เธอไม่เคยพลาดเลย นี่มันชุดนอนชัดๆ ไม่รู้ว่าเดินออกมาถึงที่นี่ได้ยังไง ลืมไปเสียสนิทว่ายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า แถมยังโดนผอ.บ่นมาอีกชุดนึง 

โอยๆ เรื่องตื่นเต้นเมื่อครู่ยังไม่หาย เรื่องตื่นตกใจก็เข้าแทรก วันนี้มันอะไรกันนี่ 


........................


อึกๆ ๆ น้ำเต็มแก้วถูกยกดื่มขึ้นจนหมดในเวลาไม่กี่วินาที ด้วยสภาพของคนมึนหัวหนักหนา อาการเดิมอีกแล้ว หวังว่าเมื่อวานคงไม่มีอะไรไม่ถูกไม่ควรเกิดขึ้น ไม่น่าจะมีนะ ในเมื่อคุณนางฟ้าก็อยู่ด้วย 

มาริสาเดินงัวเงียไปที่ตู้เย็น เปิดหาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาสองถุง ควานหาถ้วยที่ดูดีที่สุด อันที่มันไม่บิ่นตรงขอบ และอันที่ไม่ร้าวมากเกินไปอ่ะนะ แลดูพอรับได้มั๊ง

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปข้างนอกกันดีกว่านะ” เสียงบางคนที่ตื่นช้ากว่าทักให้เธอหยุดแกะซองบะหมี่

“ตื่นแล้วเหรอคุณนภัส” เธอหันไปดูนางฟ้าสภาพตื่นนอน 

เอิ่ม.... ยังไงก็เหมือนนางฟ้าอยู่ดี แม้ว่าผมจะยุ่งเหยิงไปนิด ตาตูบไปหน่อย หล่อนเดินมาหยิบจาน และของกินที่เหลือเพียงไม่กี่ซองของเธอไปเก็บไว้ที่เดิม หันไปดื่มน้ำจนหมดแก้วบ้าง หล่อนจ้องมาทางเธอด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ราวกับว่าจะค้นหาอะไรสักอย่าง

“อะ อะไรเหรอ” มาริสารีบถาม ตายแล้ว เธอคงไม่ได้อาละวาดหนัก หรือทำอะไรมิควรลงไป ทำไมมองแบบนั้นเล่า แล้วจะเดินเข้ามาทำไม แว๊กก มาริสาก้าวถอยหลังสามเก้า ทำหน้าเจื่อนเหมือนว่าโดนไล่บี้อย่างจนตรอก

“....” นภัสสรเดินจ้ำๆ เข้าไปประชันหน้า ด้วยรูปร่างที่สูงกว่าทำให้นางฟ้าตอนนี้ดูน่ากลัวในสายตาคุณหมอขี้ระแวง นภัสยกมือขึ้นบีบแก้มเธอไว้ เขย่าเบาๆ และยังคงจ้องไปในดวงตาใสซื่อวิ้งๆ เป็นประกายราวกับว่าเมื่อคืนไม่ใช่ตัวตนของมาริสาเลย

“คะ คุณภัส....” แว๊กกกก อะไรนี่ ฉันทำอะไรผิด ทำไมนางฟ้าเป็นซาตานไปแล้ว ใครก็ได้ช่วยด้วย มาริสารีบแตะข้อมือหล่อนไว้เผื่อว่าหล่อนจะเกิดเปลี่ยนใจเป็นบีบคอเธอแทน จะได้ปัดป้องได้ทัน

นภัสยื่นหน้าไปใกล้ๆ เห็นเจ้าตัวดิ้นรนเบาๆ เหมือนว่าจะกลัวเธอทำร้าย ทีเมื่อคืนยังฤทธิ์เยอะมากมายอยู่เลย ตอนนี้กลายเป็นลูกแมว เธอพูดกึ่งกระซิบข้างหูซ้ายของลูกแมวกลายร่าง....

“อย่าดื่มอีกนะคุณหมอ....” 

แล้วเปลี่ยนจากมือที่บีบแก้มเป็นจิ้มลงไปแทน เมื่อคืนคุณหมอตัวแสบยังจิ้มหน้าเธอเล่นเลยนี่นา

“ฉะ ฉันทำ อะไรไปเหรอ” มาริสาถามหน้าตาตื่น เอี้ยวตัวหลบออกมายืนตั้งมั่นอยู่ให้ไกล แต่ยังแฝงความหวั่นเกรงเล็กๆ

“ไม่บอก” แอร์สาวเชิดหน้าขึ้น ราวกับว่ากุมความลับเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว 

“อะไรกัน บอกฉันสิ” มาริสาเดินเข้าไปเขย่าแขนคนที่ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“หิวแล้ว ออกไปหาอะไรกินเลย” นภัสสรเดินเลี่ยงออกไปทางกระจก ส่องดูตัวเองสองรอบ ขยี้ผมให้จัดเป็นทรง หยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดหน้าตาให้ดูเอี่ยมอ่องขึ้นสักหน่อย เพียงเท่านี้ก็พร้อมสำหรับการออกไปข้างนอกได้แล้ว

ภายใต้การแลดูของมาริสา ผู้ซึ่งเดินไปหยิบโฟมล้างหน้า แปรงสีฟัน ครีมกันแดดแปะแบบรวดเร็ว กลัวว่าเพื่อนจะรอนาน และไม่ลืมหยิบหวีขึ้นมาแปรงผมเบาๆ มองดูนางฟ้าซกมกไม่ยอมแม้กระทั่งล้างหน้า นั่งไขว้ห้างรอเธอหวีผม

“ไม่ล้างหน้าหน่อยเหรอ” มาริสาอดสงสัยไม่ได้เลยถาม

“ไม่จำเป็นหรอก” หล่อนตอบด้วยความมั่นใจจนทำเอาคนถูกถามแอบริษยาเล็กๆ แต่มาริสาคงลืมตัวทำหน้าอี๋อย่างรับมิได้ออกไปนั่นแหละ

“แล้วฉันดูเป็นยังไงล่ะ” นภัสเลยถามกลับทันที

“กะ ก็ดีค่ะ ดีๆ” มาริสาหันไปดูกระจกดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องนั่งมองความมั่นใจบาดตานานเกินไป

“ไม่ใช่แค่ฉันดูดี แต่สวยเลยใช่มั้ยล่ะ ฮ่าๆ” 

ว่าแล้วนางฟ้าขี้เล่นก็ปล่อยมุขความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย หล่อนยักคิ้วอย่างผู้ชนะ

“ค่ะ สวยมาก สวยที่สุด สวยสุดๆ ไปเลย” มาริสาถอนหายใจ ไม่นึกว่าจะมาไม้นี้ นภัสสรก็แอบมีมุมน่ารักน่าชังแบบซกมกด้วยเหมือนกัน


........................


เพียงไม่กี่นาทีของความรวดเร็ว ความหิวก็พาพวกเธอมาร้านก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยแถวโรงพยาบาลได้สำเร็จ มาริสายิ้มแห้งๆ เป็นอันรู้กันว่ามื้อนี้คนมาด้วยต้องควักตังค์อันมีค่าจ่ายไปก่อน ไม่ใช่แชร์กันอย่างที่ควรจะเป็น

“เอาไว้รอบหน้านะคะคุณภัส” เธอเอ่ยอย่างมีมารยาทสุดแสน

“ฉันไม่ลืมหรอกค่ะ จดไว้หมดเลย ตั้งแต่รูปปั้นที่ห้างฯ แล้วล่ะ” นภัสสรยิ้มชั่วร้ายไปยังคุณหมอ

“อ้ออ เป็นคนละเอียดมากๆ” 

โอวขี้งกจริงเชียว เห็นใจดี เผลอหน่อยไม่ได้นะยะ

“ล้อเล่นค่ะ ไม่ได้จริงจังขนาดนั้น แค่จดไว้แล้วล่ะ อิอิ” 

หล่อนหันมาคีบลูกชิ้นอันมีค่าของเธอไปหนึ่งลูก โดยที่เธอป้องกันการโจมตีไม่ได้ เพราะตกเป็นลูกหนี้ของนางฟ้าขี้งก

มาริสาเลยสั่งเกาเหลามาอีกจาน แบบนี้เลยไม่ต้องแย่ง เธอกินจนเรียกว่าอิ่มไปถึงมื้อหน้า แล้วยังทำท่าลูบพุงเหมือนว่าครั้งนี้ไม่ต้องจ่าย ทำเอาคนควักเงินส่ายหน้าอย่างระอาเล็กๆ

เพียงแค่วันเดียว ความสนิทเหมือนมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็คงไม่มีใครตอบได้เช่นกัน 

บางทีการเปิดใจ ไม่กั๊กไม่เม้ม ปลดปล่อยความเป็นตัวตนของตัวเอง ไม่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ก็ทำให้ได้เพื่อนใหม่ๆ เข้ามาอีกมาก 

มาริสาเดินยิ้มแย้มเข้าห้องพัก เธอไม่รู้สึกเหงาสักเท่าไหร่ เธอมีเพื่อนในที่แห่งใหม่นี้แล้วล่ะ....


........................


ก๊อกๆ ๆ .... คุณนางฟ้าลืมอะไรรึเปล่านะ ถึงเคาะประตูเรียก ยังไม่ทันได้นั่งพักเลย

“อ่าว คุณธาดา....ทำไมรึ” ธาดาในชุดนอนลำลองยืนอยู่หน้าประตูด้วยแววตาอันพิศวง

“ตอนเช้ามาหารอบนึง ไปไหนมาเหรอ” ยังไม่ทันได้เชื้อเชิญหล่อนก็เบี่ยงตัวเข้ามานั่งประจำที่ซะละ

“ไปร้านก๋วยเตี๋ยว คุณนภัสชวนน่ะ” มาริสานอนกอดอกอย่างไม่ใส่ใจในคำถามนัก

“มะคืนสนุกเชียวนะคุณหมอ ฉันนี่ต้องรับหน้าคุณแม่ของหมอซะตั้งนาน” คำกล่าวนั้นทำเอาคนนอนกลิ้งอยู่บนเตียงลุกขึ้นนั่งตาถลน มาริสาดูลนลานกว่าครั้งไหนๆ

“อะไรนะ คุณแม่มาเหรอ” เหมือนคุณหมอแทบจะกระโดดลงเตียง วิ่งไปเปลี่ยนชุดที่รีดเตรียมไว้อย่างดีในตู้เสื้อผ้า

“กลับไปแล้วเมื้อกี้ เห็นคุยกับผู้อำนวยการอยู่ด้วย ขอไรกินหน่อยสิ ตอนนี้หิวมาก” พยาบาลนั่งกอดอกอยู่ปลายเตียง 

“ไม่บอกให้เร็วๆ ล่ะ” มาริสาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แขวนชุดเข้าตู้ไว้อย่างเดิม เหอะๆ เกือบยับซะละ อุตส่าห์รีดไว้ใช้ยามจำเป็น

“คุณธาดา มาห้องนี้ คงไม่หวังอาหารดีมีประโยชน์ใช่มะ ห้องคุณออกจะมีครบครัน” 

คุณหมอยาจกเดินไปหยิบซองบะหมี่กับถ้วย และเสียบปลั๊กน้ำร้อนไว้

“ทำไงได้ ฉันออกห้องมาตัวเปล่านี่ กุญแจก็ลืมไว้ในห้อง.... ตามหาป้าก็เห็นป้ายติดไว้ว่าบ่ายๆ จะกลับเข้ามา ขออาศัยอยู่ด้วยสักสามสี่ชั่วโมงละกัน” 

พยาบาลสาวทิ้งตัวลงนอนกลิ้ง ทำเหมือนนี่เป็นห้องของตัวเองก็ไม่ปาน

“ง่ะ หิวไม่ใช่ ลุกมากินสิ ฉันก็ง่วงนา” มาริสาขยี้ตา เมื่อคืนคงดื่มไปเยอะ วันนี้เลยแสนจะง่วง ยังมาโดนแย่งเตียงไปอีก

“ก็ได้ๆ” ธาดาโดนดึงออกจากเตียง ถูกผลักให้นั่งอยู่ปลายที่นอนแทน 

ว่ะฮ่าๆ คุณหมอยึดครองที่นอนกลับมาได้สำเร็จ มาริสาทิ้งตัวนอนเกลือกกลิ้งสบายใจ ดูพยาบาลกดน้ำใส่บะหมี่ กินแบบจำใจ แน่ล่ะ ห้องหล่อนมีครบทุกสิ่งอัน ช่วยมิได้ที่ดันลืมกุญแจจนต้องมาพึ่งพาห้องพักของยาจกแทน

“ครอบครัวสานี่ดูรวยเนอะ” ธาดาซดบะหมี่ซวบๆ กลืนให้อิ่มๆ ไปซะ รสชาติกับสารอาหารไม่ผ่านซักกะนิด

“ค่ะ พวกเค้ารวย แต่ฉันกรอบแทบเป็นผุยผงอยู่ละเนี่ย” มาริสาหรี่ตาขึ้นมองพยาบาลสาวที่ล้างจานเก็บเข้าที่ให้

“ยังไงมันก็ต้องเป็นของสานี่” ธาดาดื่มน้ำตามหลายขนาน ด้วยบะหมี่ซองรสนี้ช่างเค็มซะเหลือเกิน

“จะนอนด้วยกันมั้ย ฉันแบ่งที่ให้ก็ได้” คุณหมอหน้าตาใสซื่อเปลี่ยนเรื่องพร้อมขยับไปขอบเตียง ทำเหมือนกับจะแบ่งที่ในที่นอนให้เธอด้วยความเต็มใจขึ้นมาเสียดื้อๆ

“อะไรพึ่งรู้จักกันไม่นาน ชวนนอนด้วยเลยเหรอยะ” ธาดาทำหน้ากรุ้มกริ่ม ยิ้มกึ่งเล่นกึ่งจริง ทำเอามาริสาอ้าปากค้างไม่รู้จะตอบยังไง นอนหลับ ไม่ใช่หลับนอนค่ะ

“คงไม่ง่วง” 

“ง่วงๆ ขยับไปอีกสิ ที่ออกกว้างให้ฉันนอนนิดเดียวเอง” ธาดาบ่นอุบอิบ รีบทิ้งตัวลงเตียงก่อนเจ้าของที่จะเปลี่ยนใจ

“ไม่เห็นคุณภัสจะบ่นเลย” มาริสาปิดตาลง

“ฉันไม่ใช่คุณนภัสสรนี่คะ แล้วเมื่อคืนไปไหนกันบ้างล่ะ” พยาบาลสังเกตดวงตาที่ปูดๆ บวมๆ และใบหน้าที่ไม่ได้ต่างจากที่เห็นตอนเจอครั้งแรก สงสัยท่าจะอาการหนัก

“ร้านนั้นน่ะ ที่ออกโรงพยาบาลเลี้ยวซ้ายสองรอบ ขวาอีกสามรอบ ตรงไปอีกไกลราวๆ สามกิโลได้” มาริสาบรรยายทางอย่างคนที่จำทางไปร้านได้

“สรุปลืมชื่อร้านใช่มะ” ธาดาจ้องไปยังใบหน้าของผู้ที่ใกล้จะหลับอยู่รอมร่อ

“ก็ฉันไม่ใช่คนพื้นที่นี่นา ร้านอะไรก็ไม่รู้ชื่อย๊าวยาว” 

“ฉันไปทานข้าวกับแม่ของหมอมาล่ะ” ก็ไม่อยากวนมาเรื่องครอบครัวของมาริสาเท่าไหร่ แต่เจอกับคุณหญิงป้าไปแทบกระอัก อยากบ่นให้ลูกหล่อนเข้าใจบ้างอ่านะ

“วันหลังก็ปฏิเสธได้นะ” มาริสาลืมตาโพลง มองเธอเหมือนกับจะอ่านความคิดเอาเสียอย่างงั้น ดวงตานี้ไม่ต่างจากคุณป้าสมรศรี หล่อนแทบจะแหวกสมองเธอออกมามองซะทะลุปรุโปร่ง

“ทำไมล่ะ.... อย่ามองอย่างงั้นสิ น่ากลัวนะ” ธาดายกมือขึ้นปิดตาของอีกคนอย่างรวดเร็ว

“ฉันกลัวว่าคุณธาดาจะลำบากใจ” มาริสาหลับตาลงเมื่อธาดาดึงมือออก

“....” จริงค่ะ จริงสุดๆ จริงจนพูดไม่ออกเลย ลำบากใจจนแทบอยากจะกรี๊ดเหมือนคนบ้าแล้ววิ่งหนีออกจากโต๊ะอาหารของโรงแรมห้าร้อยล้านดาวนั่น รู้สึกเหมือนโดนรังสีที่มองไม่เห็นฟาดฟันจนหน้าหงายไปหลายรอบ

“ฉันก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่หรอก” มาริสาเปิดตาขึ้นอีก

ดวงตานั้นไมดูเศร้างั้นว้า อย่างกับจะกลั้นน้ำตาอยู่ เหมือนเด็กโดนทิ้งก็ไม่ปาน ดูทำท่าเข้า คุณหมอพลิกตะแคงไปอีกด้าน หลบเลี่ยงการจ้องมองของธาดาอย่างรวดเร็ว

“มาๆ เดี๋ยวฉันเป็นเพื่อนให้ อย่าเศร้าไปเลย” ธาดาไม่รู้ว่านั่นเป็นการบ่ายเบี่ยงอะไรรึเปล่า แต่เธอก็ยกมือขึ้นลูบไหล่แล้วพาดเหมือนกับจะกอดไว้หลวมๆ

“....ฮึก” 

ตายๆ ยัยคุณหมอร้องไห้เหรอ นี่เธอไม่ได้ถามอะไรมากเกี่ยวกับครอบครัวหล่อนเลยนะ ไมขี้แยเป็นเด็กไปได้ จะว่าไปหน้าหล่อนก็ไม่ต่างจากเด็กแรกรุ่นเท่าไหร่เลยนี่ ไม่นึกว่านิสัยใจคอจะเด็กตามไปด้วยแบบนี้

“เฮ้ยสา จะร้องทำไม เรื่องแค่นี้เอง” ยิ่งเธอลูบหลังหล่อนก็ยิ่งร้องหนักกว่าเก่า

“แง๊” มาริสาหมุนกลับมากอดพยาบาลไว้แน่น ขอบคุณในคำพูดเล็กน้อยที่ออกจะกินใจ

“ฉันอยู่นี่ๆ” ธาดาลอบถอนใจ นี่ฉันกำลังหลวมตัวไปเป็นเพื่อนกับเด็กจริงรึ แล้วหล่อนก็สั่งน้ำมูกกับชายเสื้อเธอซะงั้น

“อี๊ เสื้อตัวเองก็มีทำไมทำงั้นยะ” จะด่าก็ไม่กล้าด่า ดูทำหน้าเข้า เหมือนกับเด็กโดนดุ

“ขอโทษ....”

“เอ่อๆ ไม่เป็นไร ฉันยืมเสื้อเธอก็แล้วกัน” ธาดาถือวิสาสะหยิบกองเสื้อนอนของมาริสาในตู้มาเปลี่ยน

“....ที่ทำให้ลำบากใจ” มาริสาพูดจบก็หลับไปซะดื้อๆ 

“ไม่ถึงขนาดนั้นซะหน่อย” เธอทิ้งตัวลงข้างๆ ดันคุณหมอไปชิดกับเตียงด้านที่มีผนังห้อง จะได้มีที่กว้างๆ อีกสักหน่อย

พยาบาลสาวเหลือบแลแก่ผู้ที่เข้าภวังค์ไปแล้ว แปลกดีเหมือนกัน พึ่งจะรู้จักกัน แต่ทำไมถึงอยากสนิทด้วยขนาดนี้ มาริสามีสิ่งที่ทำให้เธออยากเข้าใกล้ แต่สิ่งนั้นคงมิใช่คุณสมรศรีอ่านะ


........................