Justice ตอนที่6



[---]ณ ห้องนอนของบ้านหลังใหญ่ที่มีความตรึงเครียดตลบอบอวลลอยขึ้นมาเป็นเป็นระยะๆ ระหว่างคนสองคนที่ทำการสนทนากันอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา

[---]“ทำไมไม่จัดการให้มันจบๆ ไปเลย” น้ำเสียงหงุดหงิดบ่งบอกถึงความไม่พอใจถามณิกานต์ด้วยความสงสัยยิ่งนัก 

[---]แค่ผู้กองคนเดียวที่อาจเป็นต้นตอของความวุ่นวาย จะมาแกล้งเล่นละครตบตาเพื่ออะไร ไม่พอยัยผู้กองนั่นยังมาฉีกเสื้อณิกานต์อีก คิดแล้วก็ยิ่งแค้น

[---]“ก็....ไม่รู้เหมือนกัน” ณิกานต์ตอบเสียงเบา เธอไม่อยากสุมไฟที่มีในดวงตานั้นให้โชติช่วงเข้าไปอีก จึงเลือกสงบสติตัวเองเสียดีกว่า

[---]“หมายความว่ายังไงที่ไม่รู้ กานต์จะมาลังเลอย่างนี้ไม่ได้นะ” คนใจร้อนกัดฟันกรอดๆ พูดอย่างเหลืออด 

[---]“เกือบแล้วเหมือนกันแหละ เพียงแต่มีบางอย่าง” เธอเว้นประโยค เร่งให้คนร้อนรนถามอย่างหัวเสีย เพราะการเป็น ‘ผู้ทวงคืน’ ที่มีอำนาจซ่อนเร้นไม่ต่างกันนั้น มีข้อจำกัดอยู่ตรงที่ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ ดังนั้น ชนินทรจึงนั่งหน้างออย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ที่ณิกานต์มัวชักช้าในการเล่า

[---]“มานี่สิ ขี้เกียจเล่า” กวักมือเป็นสัญญาณให้คนหงุดหงิดเดินเข้ามาหา

[---]ณิกานต์หลับตาลงดึงความรู้สึกทั้งหมดที่สัมผัสได้จากผู้กองภัทร ถ่ายทอดให้อีกคนรับรู้ด้วยการแตะเบาๆ ที่ข้อแขนอยู่นานสองนาน แล้วเมื่อความคิดถูกถ่ายทอดมาจนหมด ชนินทรถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเข้าใจอะไรบางอย่างที่ณิกานต์พยามจะสื่อ

[---]“รู้แล้วใช่มั๊ยว่าทำไมกานต์ถึงลังเล”

[---]“อืม แล้วเราจะหาเจอได้ยังไง” น้ำเสียงเริ่มสงบลงไปบ้าง ทว่ายังคงความร้อนรนเหมือสายลมที่แปรปรวมอยู่ได้ตลอดเวลา

[---]“ผู้กองนั่นไง หล่อนจะโยงไปถึงมันได้ เราแค่ต้องรอเวลาสักหน่อย” ณิกานต์พูดขึ้นอย่างมั่นใจ

[---]“หึ ทำเป็นเก่งนะไป ครั้งแล้วถ้านินมาช่วยกานต์ไม่ทัน ก็คง....” แววตานั้นเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกคนคิดอะไรอยู่ ความห่วงใยนั้นมีให้กันมาเนิ่นนาน มันผูกพันธ์แน่นแฟ้นจนยากที่จะยอมรับได้ว่าหากไม่มีอีกคนอยู่บนโลกนี้ ความเสียใจที่มีจะมากล้นแค่ไหน

[---]“จะคิดมากทำไมล่ะ กานต์ยังอยู่ อยู่อีกนานด้วย” เธอปลอบให้อีกคนสงบลง 

[---]สิ่งที่ณิกานต์สัมผัสได้จากผู้กองมิใช่สิ่งอื่นใด หากแต่เป็นพลังบางอย่างที่สามารถระบุถึงตัว ‘ผู้ทวงคืน’ อีกคน 

[---]ไม่ใช่สิ คนผู้นั้นไม่สามารถใช้คำนั้นเอ่ยถึงได้ มันคือปีศาจ เป็นฝันร้ายสำหรับใครหลายคน และนั่นก็รวมถึงผู้กองฐิติภัทร

....................................

[---]‘ม่ายยยยยยยยย’ เสียงหวีดร้องดังขึ้นเมื่อผู้ที่เป็นเสมือนเสาหลักของบ้านถูกหนึ่งในกลุ่มคนร้ายจ้วงแทงด้วยใบมีดคมกริบ โดยผู้ถูกกระทำเพียงแค่เบิกตากว้าง แม้จะมีสติครบถ้วน ร่างกายก็ไม่ได้ถูกตรึงไว้แต่อย่างใด แต่ก็ไม่สามารถขยับกายขัดขืนได้ เลือดค่อยๆ ไหลอาบท่วมตัว ลมหายใจขาดห้วงลงทีละน้อย แผลเหล่านั้นไม่เฉียดจุดสำคัญที่ทำให้เจ้าของร่างหยุดหายใจได้ในทันที ดวงตาเบิกโพลงเป็นห่วงลูกสาววิงวอนขอความเห็นใจจากกลุ่มคนชั่ว

[---]‘มึงยุ่งไม่เข้าเรื่องเองนะ’ คนร้ายวางมีดลง ส่งเสียงเข้าโทรศัพท์ถึงฐิติภัทรอย่างย่ามใจ

[---]‘ฟังไว้ก็ดี ครอบครัวมึงกำลังจะตาย ฮาๆ’

[---]‘พี่ภัทร ช่วยด้วยย’ คนชั่วจ่อโทรศัพท์ที่ปากของเหยื่ออีกคนที่มันถูกสั่งให้มาเก็บ

[---]‘อย่ า ไม่น ะ’ มือหยาบหนากระชากเสื้อบางออกในทันใด เสียงกรีดร้องวิงวอนท่ามกลางความบ้าระห่ำส่งตรงไปถึงฐิติภัทรอยู่ตลอดเวลา ดังเช่นความเจ็บปวดที่ถูกทำร้ายเสียเอง

[---]เพียงเท่านี้ก็เรียกความโกรธให้โหมกระหน่ำภายในใจคนเป็นลูกและพี่สาว เธอถูกหักหลังจากใครบางคน ผู้มีอิทธิพลที่เธอไล่ล่า บัดนี้มันส่งคนมาจัดการกับครอบครัวเธอ 

[---]กำลังเสริมที่ส่งไปคุ้มกันบ้านเธอ ทำไมไม่ป้องกันให้ดีกว่านี้ ล้อรถหมุนราวกับพายุ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตามหลังมากับเสียงไซเลนดังไม่หยุดหย่อน เพียงไม่ถึงสามสิบนาที ป้อมปราการตำรวจก็ล้อมไว้หน้าบ้านได้แล้ว ทว่า มันสายไปเสียแล้ว ไม่หนำซ้ำยังไม่มีหลักฐานใดๆ สืบสาวราวเรื่องไปถึงผู้สั่งการได้เลย 

[---]ฐิติภัทรเดินตัวเบาหวิว ถอดเสื้อคลุมปกปิดร่างของน้องสาวที่ไม่มีลมหายใจอยู่อีกแล้ว เธอนั่งเหม่อลอยไปยังร่างบิดาซึ่งจมกองเลือดอยู่ไม่ไกล ซากร่างของตำรวจผู้คุ้มกันกระจัดกระจายชุ่มไปด้วยเลือดสด มือไม้เธออ่อนแรงไปหมด 

[---]เรี่ยวแรงเธอถูกสูบไปหมดกับภาพที่เห็น ศีรษะเธอปวดหนึบ เสียงร้องขอความเห็นใจของน้องสาวและบิดาตลอดหลายนาทีที่พยามจะเข้ามาช่วยให้ทันยังตราตรึงในจิตใจจนเธอแทบจะสิ้นใจเสียเลยตรงนั้น ความทรมานร้ายกาจนั่นกัดกร่อนหัวใจนี้ให้แตกเป็นเสี่ยงๆ

[---]‘เกิดอะไรขึ้น’ เสียงหนึ่งดังมาจากหน้าบ้าน

[---]‘พี่ภัทร เกิดอะไรขึ้น’ น้องสาวคนสุดท้ายร้องลั่นอย่างหวาดกลัวเมื่อเห็นความผิดปกติหน้าบ้าน หลังจากกลับจากเรียนพิเศษติวเข้ม

[---]‘มิว’ แหบพร่าแต่เศร้าสลด เธอตรงเข้ากอดร่างน้องสาวที่พยามจะผ่านด่านเพื่อเข้าไปในบ้าน

[---]‘ป๊า กับ มิ้วล่ะ....ป๊ากับมิ้ว’ เสียงสะอื้นอย่างหนักหน่วงของคนในอ้อมกอดสร้างความรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น

[---]มันเป็นเพราะเธอ ถ้าเธอหยุดสืบค้นตามคำขู่ของพวกมัน ก็คงไม่มีวันนี้ที่ต้องสูญเสีย พวกมันจะต้องชดใช้ วันหนึ่งเธอจะลากอิทธิพลมืดนี้เข้าตารางด้วยมือของเธอเอง ความเสียใจเริ่มเปลี่ยนเป็นความแค้น หัวใจดวงนี้ราวกับจะปิดตายลงในทันใด

[---]ปัง! ๆ ๆ 

[---]‘หมอบลง’ เธอรีบกดร่างน้องสาวลงกับพื้น

[---]ปัง ๆ เจ้าหน้าที่สองนายทรุดลงกับพื้นในทันที เสียงหัวเราะก้องทั่วบริเวณ มันมาจากทุกทิศทุกทาง ราวกับใบมีดที่กรีดแทงไม่จบสิ้น ไม่นานเจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็ทรุดลงกับพื้นด้วยอาการหมดสติที่ไม่ทราบสาเหตุ

[---]‘กูมาเตือนมึงเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ามึงยังเสือกอีก กูจะฆ่าทิ้งยกบ้านเลยคอยดู’ 

[---]ปัง นัดสุดท้ายฝังที่หัวเข่าซ้ายของฐิติภัทร เธอล้มลงด้วยอาการเจ็บปวด เป็นร่องรอยที่ย้ำเตือนว่าอย่าริอาจคิดทำการใดต่อไปอีก แต่มันไม่เท่ากับแผลที่ใจเลยสักนิด ในอ้อมกอดเธอนั้นยังมีน้องสาวคนสุดท้ายในครอบครัวที่เหลืออยู่ 

....................................

[---]ฟันที่ทนกับอาการขบกัดกรามไว้แน่นมันไม่ได้แตกหัก แต่ปวดร้าวยิ่งนัก เมื่อต้องตื่นมาพร้อมกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทุกค่ำคืนกับการผวาปราศจากแล้วซึ่งความสุข

[---]ผู้กองภัทรไม่เคยลบความเจ็บปวดในหัวใจนั่นออกไปได้เลยแม้แต่วันเดียว เธอใช้ชีวิตราวกับหุ่นยนต์ตั้งโปรแกรม เดินไปข้างหน้าราวกับเป็นหมากแห่งการเวลา รอคอยวันหมดสิ้น 

[---]ช่างน่าสลดใจกับความโศกเศร้า แม้ว่าหัวใจยุติธรรมนี้ยังไม่เคยสิ้นสุด แต่ความทรงจำเลวร้ายนั้นก็คอยกัดกินความสุขของชีวิตเสมอ

[---]ซ้ำน้องสาวคนเดียวที่เหลืออยู่ยังโทษว่าเธอเป็นต้นเหตุทำให้พ่อกับน้องสาวฝาแผดต้องมาจบชีวิตอย่างโหดเหี้ยม โดยการประกาศตัดพี่ตัดน้อง แล้วนำเงินมรดกส่วนของหล่อนย้ายหนีไปเรียนต่างประเทศกับเพื่อนๆ

[---]ฐิติภัทรพยามติดต่อน้องสาวเพียงคนเดียวทุกวิถีทาง แต่เจ้าหล่อนก็ไม่ต้องการพูดคุยกับเธออีกนับตั้งแต่วันนั้น จึงทำได้เพียงถามไถ่กับเพื่อนสนิทของน้อง ซึ่งก็คอยบอกกล่าวเรื่องราวความเป็นอยู่ของน้องสาวเธออย่างลับๆ แค่คำว่าสบายดี ไม่มีสิ่งใดบกพร่อง หัวใจของผู้กองก็สดชื่นขึ้นมาได้บ้างแล้ว

....................................

[---]ณิกานต์นั่งนิ่งพยามค้นหาใครบางคนในความคิดของผู้กองภัทรที่ขาดห้วง เพราะหลังจากเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่าสิ่งสุดท้ายที่เธอรับรู้คือความรู้สึกผิดที่เกาะกุมหัวใจดวงน้อยๆ นั่น 

[---]“เตรียมรถให้หน่อยนะ ฉันจะเข้าบริษัท” เธอเอ่ยกับแม่บ้านที่กระตือรือร้นยิ้มรับกับทุกคำสั่ง

[---]“ให้นินไปด้วยมั๊ย” ชนินทรวางช้อนลงกับจานอาหารเช้าหันไปถามณิกานต์ ซึ่งโดยปกติแล้ว ไม่ค่อยจะเข้าไปบริษัทสักเท่าไหร่นัก

[---]“ไม่จ๊ะ กานต์จะสะสางงานหน่อยนึง” เธอบอกให้อีกคนหายกังวลในความผิดปกติของวันนี้

[---]“นิน ถ้าวันนี้ผู้กองมา ไม่ต้องต้อนรับนะ แล้วก็เอ่อ...” เว้นประโยคสักนิดอย่างลังเล

[---]“อย่าอาละวาดนะคะ”

[---]ชนินทรสะบัดหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก ด้วยเข้าใจในความหมายที่ณิกานต์สื่อได้ดีทีเดียว ก็ใครหน้าไหนมาขัดแข้งขัดขาคนๆ นี้แล้วล่ะก็ เธอก็พร้อมกำจัดทิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้เป็นคนดีเพียงใดก็เถอะ




....................................