Justice ตอนที่3



[---]ดวงตากลมโตค่อยๆ ลืมขึ้นอัตโนมัติก่อนที่เสียงนาฬิกาเจ้าเก่าจะได้เรียกร้อง เธอกดปิดมัน ลุกขึ้นยืนบิดกายไปมาเพื่อให้เส้นสายในตัวเข้าที่เข้าทาง วันนี้เธอยังมีลมหายใจอยู่ เหตุใดซาตานที่เธอวอนขอให้มาเอาชีวิต ไม่มาหาเธอสักที

[---]ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มตัว มองไปรอบห้องว่างเปล่าที่มีแต่เธอ โดดเดี่ยวนั่นเป็นคำจำกัดความ หากแต่ไม่เดียวดายเพราะหลายสิ่งยังยืนยันว่าพวกมันพร้อมจะก้าวเดินไปด้วยกัน แล้วสิ่งแรกๆ ที่หัวใจเฉื่อยๆ นี้ถวิลหานั่นก็คืองาน งานเท่านั้น ชีวิตนี้เธอไม่รู้จะทุ่มเทให้สิ่งใดได้อีก ทั้งมันยังเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ประสบความสำเร็จ 

[---]ฐิติภัทรเดินตรงไปยังเครื่องออกกำลังกายตัวเดิม เปิดมันและขึ้นไปวิ่งสักสิบกว่านาที แม้ร่างกายนี้จะไม่ตอบสนองกันเช่นวันวาน แต่เธอก็พยามที่สุด รักษามันไว้ให้อยู่ต่อสู้กับงานที่เธอรักไปตราบเท่าที่ลมหายใจนี้ยังคงอยู่ 

[---]ไม่นานนักเสียงน้ำก็ไหลจากฝักบัว เธอรีบจัดการตัวเองในห้องน้ำอย่างเร่งด่วนเพราธุระวันนี้หาใช่ที่อื่นใดไม่

[---]“วันนี้ฉันจะออกไปสืบคดีข้างนอก จ่าลงบันทึกให้ฉันด้วย” เธอกดวางสายด้วยแววตาเหม่อลอยไร้ขอบเขต จนบางทีก็ไม่แน่ใจว่าตนเองต้องการยึดมั่นในสิ่งใด บางทีการที่คนร้ายหายตัวไป มันก็ดีแล้วดังที่หลายคนพูด ทว่ามันก็ขัดกับอุดมการณ์ของเธออีกเช่นกัน  

[---]เธอไม่เข้าที่ทำงานในเช้าวันนี้ แต่ก็ไม่มีใครสักคนคิดว่าเธอหนีงานออกไปเที่ยว เพราะคดีใหญ่หลายคดี เธอเป็นคนปิดมันลงกับมือ เสี่ยงด้วยชีวิตและการสูญเสียมากมายที่ต้องแบกรับ

[---]ฐิติภัทรรู้ดีแก่ใจว่าทุกคนเห็นใจเธอ แต่เธอไม่เคยต้องการ มันยิ่งทำให้เธออ่อนแอ มัวแต่มองอดีตที่แก้ไขไม่ได้ รั้นแต่จะทำให้หยุดชะงักการก้าวเดินไปข้างหน้า ภาวนาให้ความเห็นใจนั้นเป็นความขยันของพวกเขาเถิด หากวันที่ลมหายใจนี้หมดลง จะได้เบาใจว่ามีคนมาสานต่อด้วยการทำงานอย่างมุ่งมั่น

[---]รั้วไม้สีน้ำตาลอ่อนสูงท่วมศีรษะของผู้ที่ยืนรอการตอบรับจากคนภายในบ้าน สักครู่ของการรอคอยก็มีแม่บ้านคนเดิม เดินกึ่งวิ่งออกมากดรีโมทรั้วให้เปิดออก 

[---]“คุณฐิติภัทร เชิญนำรถเข้ามาจอดได้เลยค่ะ” หล่อนกล่าวปนเสียงหอบเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นอันใดกับการมาของเธอในครั้งนี้

[---]เมื่อรถจอดสนิทอยู่ที่ลานจอดรถ สายตาก็พลันสังเกตไปรอบสถานที่อย่างพิจารณา บ้านหลังนี้ใหญ่โตนัก ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าของบ้านจะอยู่เพียงคนเดียวกับแม่บ้านและคนสวนเพียงไม่กี่คน แถมเจ้าของที่นี่ก็คงชอบสะสมรถเสียด้วยสิ อยู่แค่คนเดียวแต่ทำไมมีตั้งหลายคันจอดอยู่ มีตั้งแต่ยี่ห้อธรรมดาไปจนถึงยี่ห้อดังหลายสิบล้าน 

[---]ฐิติภัทรประเมินจากการใช้ชีวิตของณิกานต์ น่าจะชอบความสันโดษ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แล้วความใจดีบริจาคเงินช่วยเหลือกับหน่วยงานและมูลนิธิต่างๆ นั่น บางทีอาจเป็นการบังหน้า เพื่อหน้าตาในสังคมก็เป็นได้ เบื้องหลังความสันโดษนั่นต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่ เธอรู้สึกได้

[---]แม่บ้านคนใหม่ในชุดเครื่องแบบเรียบง่าย เดินนำเธอไปยังห้องรับแขกซึ่งตั้งอยู่บริเวณใจกลางบ้าน ทางเดินมีสิ่งตกแต่งมากมาย ละลานตาไปหมด และเมื่อเลี้ยวไปตามเส้นทางหนึ่ง เธอก็พบว่ามันเป็นกระจกบานใหญ่ มีปลาคราฟตัวยักษ์แหวกว่ายในสายน้ำ พร้อมกับเสียงน้ำตกเจือจางดังแว่วมาจากเส้นทางฝั่งนั้น

[---]บ้านแห่งนี้ตกแต่งไว้อย่างลงตัวกับสถาปัตยกรรมซึ่งผสมปนกันไปหมด คุณณิกานต์ที่เธอกำลังจะไปพบน่าจะเป็นคนรักพี่เสียดายน้อง เลือกไม่ถูกว่าต้องการสิ่งใดกันแน่ เพราะเจ้าหล่อนเล่นเอาการตกแต่งหลากหลายรูปแบบจัดไว้เป็นโซนๆ ภายในบ้าน บางโซนก็ผสมกันจนแยกไม่ออกว่าต้องการสไตล์ไหนกันแน่

[---]“รอสักครู่นะคะ ดิฉันจะไปตามคุณณิกานต์มาให้” แม่บ้านบอกและจากไป ทิ้งให้เธอนั่งรออย่างไร้จุดหมาย แต่ก็สบโอกาสอันดี เธอจะได้มีเวลาสำรวจที่นี้ได้ดังใจ แต่เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว การทำเช่นนั้นในเวลานี้ไม่เหมาะ

[---]ฐิติภัทรอยากค้นดูให้ทั่ว หากแต่บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้คงต้องซ่อนกล้องวงจรปิดไว้ทุกจุด แล้วถ้าผู้ถือกฎหมายอย่างเธอโดนข้อหาบุกรุกซะเอง มันคงไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่นัก

[---]ผู้เยี่ยมเยียนจึงทิ้งน้ำหนักลงกับโซฟาไม้สักขนาดใหญ่ ใช้สายตาสอดส่องไปทั่วทุกมุมภายในบ้านแทนการเดินสำรวจ คาดว่ายากมากที่จะหาหลักฐานเชื่อมโยงเข้ากับบัตรประชาชนนั่น ไม่มีสิ่งใดในนี้เกี่ยวข้องได้เลยสักอย่าง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ห่างไกลกับรูปคดีนัก ทว่ามันก็อาจเป็นแค่ฉากละครบังหน้า มีเงื่อนงำอยู่ในความปกติดีนั่นเสมอแหละ มันอยู่ใกล้แค่เอื้อม แล้วสิ่งที่จะบอกเธอได้เร็วกว่าการค้นหา ก็คือการเข้าหาตัวคนๆ นั้นเลยยังไงล่ะ

................................

[---]เจ้าของบ้านหลังงามเยื้องย่างลงจากห้องทำงานที่ภายในห้องไม่มีสิ่งใดนอกจากโน๊ตบุ๊ค กับแฟ้มงานที่วางกองเกลื่อนกลาดอยู่บริเวณพื้นกลางห้อง เธอมักจะขลุกอยู่ในนี้เพียงคนเดียว นานๆ ทีจะให้แม่บ้านมาเก็บกวาด และเกือบทุกครั้งที่ห้องนอนถูกทิ้งให้ว่างเปล่า เพราะเจ้าตัวจะใช้ห้องนี้เป็นที่นอนไปในตัว

[---]ณิกานต์รู้ตัวตั้งแต่ที่ผู้กองภัทรมาจอดรถที่หน้าบ้านเธอแล้ว และยิ่งรู้สึกถึงความคิดของหล่อนเมื่อเดินเข้าไปใกล้เจ้าของร่างสูง มันเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่การมาครั้งนี้ของหล่อนคงจะไม่ได้คำตอบที่ทำให้หายคาใจได้หรอกนะ คุณฐิติภัทร

[---]ร่างบางระหงกับชุดกางเกงขาสั้นอยู่บ้าน และเสื้อกล้ามแหวกเว้าสีเทาเข้มหยุดการก้าวเดินของตัวเองลงเมื่อรู้ว่าหากเลี้ยวตรงมุมห้องส่วนนั้นแล้วจะต้องพบกับผู้มาเยือน เธอหลับตาลงหายใจให้ทั่วปอดอีกครั้ง นิ่วหน้าลงเล็กน้อย และก้าวเดินไปหาแขกพิเศษ

................................

[---]ฐิติภัทรที่กำลังมองไปตามจุดต่างๆ ในบ้านรีบละสายตาจากแจกันใบยักษ์มายังเจ้าของร่างบาง เด็กสาววัยรุ่นเหรอ อาจเป็นหลานสาวของเจ้าของบ้านกระมัง หน้าตาที่ถูกแต่งแต้มสีสันนั่นเรียกอายุของหล่อนให้ดูเหมือนหญิงสาววัยยี่สิบกลางๆ แต่ถ้าถูกลบเครื่องสำอางออกอาจไม่ถึงยี่สิบเลยด้วย คงพึ่งเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่นาน หรือยังอยู่มัธยมปลายกันนะ 

[---]แต่แววตาเจ้าหล่อนไม่สมวัยเอาเสียเลย มันฉลาดเกินอายุ เอ๊ะ ว่าแต่เท่าที่รู้มาไม่น่ามีผู้อยู่อาศัยไปมากกว่า เจ้าของบ้านหนึ่งคน กับแม่บ้านสี่คน คนสวนอีกสี่ที่เป็นสามีของแม่บ้านเหล่านั้น และก็พึ่งรับแม่บ้านอายุน้อยเพิ่มมาอีกคนไม่นานมานี่ หรือนี่อาจเป็นหล่อน แต่ทำไมไม่ใส่เครื่องแบบล่ะ จะว่าเป็นบริษัทจัดตกแต่งภายในก็ไม่ใช่ เพราะรู้มาว่าบริษัทเหล่านั้นจะส่งคนมาทำงานทุกวันพุธ

[---]แล้วหล่อนมานั่งสบายใจอยู่ตรงนี้ทำไมกันล่ะ ฐิติภัทรมั่นใจว่าเธอดูแก่กว่าแน่นอน ทำไมหล่อนไม่ไหว้ทักทายบ้างนะ หรือไม่ได้ถูกอบรมมารยาทมา แต่ก็ช่างเถิด นี่เป็นสถานที่ของเค้า เราก็แค่ผู้มาสืบ เอ้ย! ผู้มาเยือน 

[---]ผู้กองภัทรยังคงวางทีท่าเหมือนไม่ได้สังเกตอีกคนในห้องรับแขก ใช้เพียงแต่แววตาลักลอบพิจารณาความเคลื่อนไหวภายในห้องอยู่เงียบๆ ผิวขาวอมชมพูนั่นดูสดใสสมวัย ใบหน้าเรียวยังคงมองไปมุมห้องด้านหนึ่งราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง แต่โครงหน้าสวยของเด็กสาวนั้นมันดูคุ้นตา 

[---]อ่าใช่แน่นอน หล่อนคงเป็นญาติกับเจ้าของบ้านแน่นอน เค้าโครงรูปหน้าใกล้เคียงกันอย่างกับแกะ หรือลูกสาว ไม่ใช่ๆ เจ้าของที่นี่โสดและรวย

[---]ว่าแต่ทำไมเจ้าของบ้านยังไม่ลงมาอีกนะ นานเกินไปหรือเปล่า เธอจึงตัดสินใจอ้าปากจะถามกับเด็กน้อยวัยใสที่นั่งลงอีกมุมหนึ่งของห้อง แต่ก็ต้องเงียบลง เมื่อเจ้าหล่อนปรายหางตามายังเธอ แววตาช่างหยิ่งผยองเสียนี่กระไร 

[---]เจ้าของใบหน้าสวยกับผิวผุดผ่องค่อยๆ ลุกขึ้นเดินตรงมายังเธอ ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะนั่งคุกเข้าลงตรงหน้าเธอ เรียกความแปลกใจให้กับผู้กองภัทรไม่น้อย ด้วยความที่เธอเป็นคนพูดน้อย และชอบใช้ความคิดมากกว่า แต่ตอนนี้เหมือนเสียงจะขาดหายไปเมื่อเด็กน้อยนั้นจ้องกลับมาอย่างประหลาด

[---]แววตาสีน้ำตาลอ่อนมองพินิจเธอตั่งแต่หัวจรดเท้า สายตาที่เธอเองก็อ่านไม่ออก หากแต่เธอก็ไม่หลบแววตานั้นเช่นกัน พลางคิดในใจว่าบางทีเด็กคนนี้อาจสติไม่ดีก็เป็นได้ มานั่งคุกเข่าหน้าเธอ และมองดูเธอด้วยอาการนิ่งเฉย มิน่าล่ะเจ้าของบ้านถึงไม่ปล่อยข่าวเกี่ยวกับหลานสาว เสียดายที่หน้าตาสะสวยแต่สติที่ไม่สมประกอบนี่เองทำให้คนๆ หนึ่งต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ น่าสงสารเสียจริง

[---]เหมือนเด็กนั่นจะเห็นแววตาที่เธอส่งไปให้ หล่อนหรี่ตามองเธอชั่วครู่ ยื่นมือออกมาแตะแผ่วเบาที่ต้นขาซ้ายของฐิติภัทร มืออีกข้างของหล่อนดันตัวเองไว้กับโซฟาไม้สัก ค่อยๆ เอนตัวลงมาใกล้เธอจนรู้สึกถึงความร้อนที่ใบหน้าตัวเอง เธอตื่นเต้นเหรอ กับเด็กผู้หญิงสติไม่สมประกอบคนนี้เนี่ยนะ 

[---]ผู้มาเยือนอยากจะผลักร่างบางนั้นออกห่างหากแต่ความรู้สึกบางอย่างนั้นทำให้เธอไม่อาจเคลื่อนกายให้ขยับได้ตามความคิด กลิ่นหอมจางๆ ที่มาพร้อมกับตัวเด็กสาวนั่นน่าหลงใหลยิ่งนัก พลันหัวใจก็เต้นถี่ขึ้นเมื่อใบหน้าเรียวสวยก้มลงประทับริมฝีปากบางที่หัวเข่าด้านซ้ายเพียงชั่วครู่ แล้วลูบไล้มือที่วางบนต้นขาซ้ายของเธอ

[---]เห็นหล่อนรอบถอนหายใจเบาๆ เหมือนกำลังนึกคิดสิ่งใดอยู่ และภายใต้หน้าตาที่เรียบเฉยของคนสติไม่ดีนั่นก็ทำให้เธอผ่อนคลายอย่างประหลาด ไม่นานเด็กนี่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วประกบมือบางทั้งสองลงกับใบหน้าของเธอ นวดคลึงไปที่ขมับสองข้างแผ่วเบา 

[---]เฮ้ๆ เด็กคนนี้นอกจากจะบ้าแล้วยังเสียมารยาทอีก สติไม่ดียังพอทน แต่ณิกานต์นี่สิ ปล่อยให้มาลุ่มล่ามกับแขกได้ยังไง สองมือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จับข้อแขนของเด็กน้อยเอาไว้ ปากอ้าออกพยามจะพูดห้ามปราม หากอีกคนก็สวนขึ้นมาก่อน

[---]“รู้สึกดีขึ้นไม่ใช่เหรอ” เสียงหวานใสดังออกมาจากปากเด็กสาว ทำให้มือเธอที่จับแขนหล่อนอยู่ชะงักลง ไม่ได้ปัดป้องออกเหมือนคราวแรกที่ใจคิด

[---]ใช่ มันรู้สึกดี ดีมากทีเดียว ความผ่อนคลายที่เกิดขึ้นทำให้เธอรู้สึกสดชื่น คนที่กรำงานมานานอย่างเธอไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้มาแสนนาน ช่างแปลกดีแท้ที่สาวน้อยน่ารักคนนี้จะรู้ด้วยว่าเธอกำลังสบาย แต่แล้วสติก็กลับคืน นี่มันใช่เวลามาสบายที่ไหนกันเล่า

[---]“พอๆ ฉันมาหาคุณณิกานต์” แล้วความคิดที่เพิ่มมากขึ้นก็ฉุดให้เธอดึงมือของเด็กสาวออกจนได้ หล่อนไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ทิ้งตัวนั่งลงข้างเธออย่างใจเย็น เหมือนคำที่กล่าวออกไปนั้นไม่ส่งผลอะไรสักนิด

[---]“เธอ เอ่อ หนู....รู้ไหมว่าเจ้าของบ้านนี้อยู่ไหน” เธอใช้น้ำเสียงอ่อนโยนลงจากปกติ ด้วยความคิดที่ว่าพูดกับคนสติไม่ค่อยดีต้องใจเย็นสักหน่อย

[---]“คุณอายุเท่าไหร่เหรอ” เด็กสาวถาม

[---]“ห๊า หา ....ฉะฉันก็สามสิบสอง แต่หนูพอจะรู้รึเปล่าว่าคุณณิกานต์ตอนนี้อยู่....”

[---]“อยู่ที่ไหนใช่มั๊ยคะ” หล่อนแทรกขึ้นกลางคัน

[---]“ใช่จ๊ะ ฉันมาพบเค้า”

[---]“คุณคงคิดว่าฉันไม่มีมารยาท แต่การที่คุณก็รู้ว่าเจ้าของบ้านมีอายุมากกว่า และต้องการจะมาพบ เมื่อเจอตัวแล้วก็ยังนั่งนิ่ง ฉันว่ามารยาทคุณน่ะแย่กว่าฉันอีกนะ”

[---]“หมายความว่ายังไง” ผู้กองพอจะเดาออกกับคำพูดเหล่านั้น หล่อนจะสมอ้างว่าเป็นณิกานต์ให้เธอยกมือไหว้คนที่เด็กกว่าน่ะเหรอ ไม่มากไปหน่อยรึกับโรคประสาทที่หล่อนเป็น

[---]“หมายความว่าเอาบัตรฉันมา แล้วก็ออกไปจากที่นี่” หล่อนลุกขึ้นยืนเดินไปสามสี่ก้าวหันกลับมามองเธอ เอ่ยต่อว่า 

[---]“วางมันไว้ตรงนี้ แล้วก็ออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว” 

[---]สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้มาเยือน เธอยังไม่ปักใจเชื่อง่ายๆ หรอกว่า คนไม่สมประกอบจะมาอ้างตัวเป็นเจ้าของบ้าน หากแต่เมื่อมือหนึ่งล้วงกระเป๋าค้นบัตรประชาชนที่เตรียมมาด้วย สายตารีบกวาดไปมองดูรูปถ่ายเพียงแว้บเดียวก็ถึงกับอ้าปากค้าง วิ่งตามไปดึงแขนของเจ้าของบ้านย้อนวัยในทันที

[---]หมดกัน! คำถงคำถามที่เตรียมมาจะถามคุณณิกานต์ กลายเป็นสติที่กระเจิดกระเจิงไปกับความเข้าใจผิดของตัวเอง

[---]“เดี๋ยวสิ” เธอรั้งข้อมือบางไว้

[---]“โอ๊ย คุณจะบีบแขนฉันทำไม” ปกติการดึงรั้งแขนคนที่ส่วนสูงกับมวลของร่างกายน้อยกว่าเธอไม่มากนัก ไม่น่าทำให้ใครบ่นโอดครวญได้ ด้วยความที่อาการสดชื่นเมื่อสักครู่ เรียกพลังงานจากร่างกายเธออย่างล้นหลาม ไม่แปลกที่เธอเองก็พึ่งรู้สึกว่าแขนอีกคนถึงกับแดงเถือกไปตามแรงดึง แต่เธอก็ยังไม่ปล่อยถ้าหล่อนยังไม่ยอมหยุดนิ่งแล้วหันกลับมาคุย

[---]“หนู เอ้ย คุณณิกานต์ ฉันขอโทษที่เสียมารยาท แต่ขอเวลาให้ฉันได้คุยกับคุณบ้างเถอะ” พูดไปก็กึ่งดึงกึ่งลากให้หล่อนมานั่งบนโซฟาไม้สัก

[---]“ค่ะ ให้มันได้อย่างนี้สิผู้กอง ฉันจะทำตัวตามสบายละกัน” ณิกานต์ประชดแล้วนั่งลงข้างคนที่ดึงแขนหล่อนไม่ยอมปล่อย 

[---]“เอ่อ คุณดูเด็กกว่าอายุมาก” อุ้ย เธอเริ่มต้นผิดประโยคซะได้นี่ แล้วทำไมต้องไปจ้องหน้าคนอื่นเค้าแบบนั้นด้วยเล่า เธอเป็นอะไรไปเนี่ย ทว่าสีหน้าหล่อนไม่ดีใจกับคำชมของเธอเลย

[---]“ขอบคุณค่ะ พอดีว่ารวย เงินเหลือเลยไปฉีดโบทอกมาทั้งตัว....” หล่อนเอ่ย 

[---]“....แล้วนี่จะมองอีกนานมั๊ยคะ” เป็นคำกล่าวอีกครั้งที่ทำให้ฐิติภัทรต้องชะงัก หล่อนคงไม่รู้หรอกว่าเธอแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ แล้วเรียกสติให้ตื่นตัวด้วยการเบนหน้าไปทิศอื่น แม้จะรู้สึกว่าที่หล่อนเอ่ยมันขัดแย้งยิ่งนัก สารเคมีหรือจะทำให้ร่างกายผุดผ่องได้ถึงเพียงนี้

[---]“อ่าว ไม่มอง ไม่พูด ก็ปล่อยฉันได้แล้ว ฉันไม่ได้ว่างมานั่งอยู่กับคุณเป็นวันๆ หรอกนะ”

[---]“เอ่อ ฉะฉันอยากรู้ว่าทำไมบัตรคุณถึงไปอยู่ที่นั่นได้” เธอพูดสิ่งที่อยากถามออกมาในที่สุด ลืมที่จะชักแม่น้ำทั้งห้าก่อนอย่างที่ตั้งใจไว้

[---]“ฉันลืมกระเป๋าไว้ที่ไหนจำไม่ได้ค่ะ มารู้อีกทีบัตรก็หายไปแล้ว”

[---]“ทำไมคุณไม่ไปแจ้งหาย แล้วทำบัตรใหม่ล่ะ”

[---]“โถ่คุณคะ เวลาเป็นเงินเป็นทองนะ แค่บัตรหายไว้ฉันค่อยไปแจ้งก็ได้ ฉันก็ไม่ได้รีบ”

[---]ฐิติภัทรพยามประมวลผลอย่างยากลำบากเมื่อต้องมาอยู่ใกล้ๆ กับเจ้าของบ้านสาวแสนสวย คำให้การของบาร์เทนเดอร์บอกว่าหล่อนไปที่นั่นเมื่อคืน แล้วหยิบบัตรออกมาจาก....จากตรงนั้น แค่คิดทำไมต้องร้อนผ่าวที่หน้าด้วยนะ

[---]“มีคนเห็นคุณที่ร้าน.... เมื่อวันก่อน คุณไปทำไมที่นั่น”

[---]“อ้าว ฉันก็ไปหาความสุขบ้างสิ ดื่มในที่แปลกหูแปลกตาตื่นเต้นดีออก” 

[---]อืม คิดว่าหล่อนคงเป็นพวกรวยแล้วชอบทำอะไรแปลกๆ แต่ที่แบบนั้นไปคนเดียวมันก็เสี่ยงใช่เล่น หน้าตาออกสวยเด่นขนาดนี้จะไม่สะดุดตาผู้ร้ายได้ยังไงกัน

[---]“บาร์เทนเดอร์บอกว่าคุณหยิบบัตรออกมาจาก เอ่อ....” เธอชี้ไปที่อกของหล่อน แล้วรีบพูดต่อ

[---]“แล้วคุณบอกว่า คุณทำกระเป๋าหาย” คราวนี้เธอไม่ได้หลบสายตาสดใสนั่นอีกแล้ว แต่มองกลับไปยังม่านตาสีน้ำตาลสด

[---]แววตานั้นหรี่เล็กลงอย่างมีเงื่อนงำ ไม่ได้ตกใจหรือตื่นกลัวกับคำถามของเธอเลยแม้แต่น้อย หากแต่ขยับเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า ใช้อีกมือที่ไม่ได้โดนรั้งไว้หยิบบัตรออกจากมือเธอ

[---]“จะซักฟอกฉันเหรอผู้กอง ฉันไม่จำเป็นต้องตอบนี่คะ แต่ไม่เป็นไรไหนๆ ก็ถามมาแล้ว ตอนนั้นฉันก็เมามากด้วยสิ จำอะไรไม่ค่อยจะได้....”

[---]“ถ้าจำไม่ได้แล้วคุณขับรถกลับบ้านได้ยังไง”

[---]“ขับได้สิ เมาแค่ไหนก็จำบ้านตัวเองได้นะคุณ” หล่อนตอบรวดเร็วโดยลืมคิดไปว่า

[---]“แต่คุณเมาแล้วขับ ฉันคงต้องสอบถามคุณต่อที่โรงพักแล้วล่ะ” เธอปล่อยมือออกจากเจ้าของใบหน้าสวย

[---]“เดี๋ยวสิผู้กอง” เสียงใสแจ๋วรีบเรียกในทันที หล่อนลุกขึ้นจะเข้ามารั้งตัวเธอแทน แล้วก็ล้มลงในทันที ดีที่ผู้กองประคองไว้ได้ทัน ไม่งั้นศีรษะอาจตกกระทบกับโซฟาไม้สักราคาแพง

[---]“คุณณิกานต์” อ้า เจ้าของบ้านคงไม่สบาย เหมือนที่แม่บ้านได้บอกไว้เมื่อวาน ลุกกะทันหันคงหน้ามืดแน่ๆ

................................

[---]แต่หาใช่ไม่ มารยาเล็กน้อย เพื่อเข้าใกล้กับคนเหลี่ยมจัดที่บังอาจเข้ามาในบ้านเธอ แล้วยังอัดเสียงเธอเก็บไว้เป็นหลักฐานอีก สองมือบางค่อยๆ ล้วงลงในกระเป๋าอย่างแยบยล เพียงแค่เธอสัมผัสกับเครื่องบันทึกเสียงได้เท่านั้นแหละ แต่แล้ว....

[---]“หยุดเลยนะ” ฐิติภัทรดึงมืออีกคนที่พยามล้วงกระเป๋ากางเกงของเธอออก แล้วรีบถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อให้ห่างออกจากคนที่แกล้งไม่สบายเกือบสมจริง

[---]“แต่คุณจะมาบันทึกเสียงตามใจชอบไม่ได้นะ นี่มันบ้านฉัน” หล่อนเถียงเสียงดัง

[---]“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าฉันบันทึกเสียง” รีบย้อนถามทันที

[---]“ฉันก็เดาน่ะสิ” ไม่ใช่แค่เดาล่ะมั๊ง แต่ฉลาดเป็นกรดล่ะไม่ว่า

[---]ฐิติภัทรทำเสียงจิ๊ในลำคอ ส่ายหน้าน้อยๆ หันหลังเดินกลับออกทางเก่า หล่อนพลาดท่าแล้วล่ะนะ แต่ก็นะ ถ้าได้พูดคุยต่อ ผู้หญิงคนนี้อาจเชื่อมโยงไปสู่ความซับซ้อนของคดีได้แน่นอน

[---]“ขอตัวค่ะ พรุ่งนี้จะมีหมายศาลมาเชิญตัวคุณไปสอบปากคำ” แล้วก็เดินลิ่วๆ ออกจากหนึ่งในห้องรับแขกนั่นมาทันที




................................