Justice ตอนที่1



[---]ณิกานต์เดินยิ้มย่างกรายเข้าไปในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง
ใกล้ชาญเมืองที่ไม่ค่อยมีความเจริญเข้าถึงมากนัก 
ซ้ำข้างทางถนนสองด้านยังเรียกได้ว่าเปลี่ยวอีกต่างหาก 
เธอไม่สนคนที่จ้องมองเหมือนเธอมาอยู่ผิดที่ผิดทางรึเปล่า 
ด้วยเหตุที่ว่าตัวเธอนั้นเป็นอาหารตาชั้นเลิศ 

[---]ผิวขาวเนียนที่ตัดกับเดรสเรียบๆ สีน้ำทะเล 
และหน้าตาอ่อนเยาว์จนเป็นที่ดึงดูดสายตาของคนที่พบเห็น 
แต่นั่นก็เป็นเรื่องปกติสำหรับเธอไปเสียแล้ว

[---]‘ที่นี่สินะ’ เธอคิดในใจ 
พร้อมกับทอดน่องอ้อยอิ่งเดินไปนั่งตรงเคาน์เตอร์

[---]“น้อง อายุถึงรึเปล่าครับ” บาร์เทนเดอร์ 
ถามเธอด้วยแววตาไม่อยากเสริฟเครื่องดื่มเลยสักนิด

[---]รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าผุดผ่อง 
ไม่นานก็เปลี่ยนอิริยบถเป็นการเลิกชุดที่สวมใส่ลงนิดหน่อย 
หยิบบัตรประชาชนออกมาจากล่องอก 
ยื่นให้ผู้ถามนั้นได้ตื่นตะลึงกับ พ.ศ. เกิดของเธอ เขาดูไม่เชื่อสักเท่าไหร่

[---]“ปลอมบัตรมาใช่มั้ย” เป็นคำถามที่ไม่แปลกนักสำหรับคนดูเที่ยงตรงเช่นนี้

[---]เธอส่ายหน้าช้าๆ ไม่อยากตอบอันใดให้มากความ 
คราวนี้เลยหยิบธนบัตรสีเทาหนึ่งใบวางลงที่เคาน์เตอร์ 
สังเกตอาการเขาที่อ้าปากจะถามอีกครั้ง เธอก็วางอีกใบตามลงทันที 
ซึ่งมันก็ทำให้ปากที่เม้มเป็นเส้นตรงนั้นหุบสนิท 

[---]อืม ง่ายดีจัง เธอยัดธนบัตรพับม้วนเล็กๆ ที่เหลือลงร่องอกเช่นเดิม 
ด้วยความที่คืนนี้เธอต้องมาจัดการกับบางเรื่องที่วุ่นวาย 
เธอจึงไม่อยากพกกระเป๋าถือให้มากนัก มือถือก็ทิ้งไว้ในรถ 
พกมาเพียงบัตรประชาชนกับเงินสดจำนวนหนึ่งยัดไว้ที่ร่องอกอิ่ม

[---]“อะไรก็ได้ แรงๆ สักแก้วค่ะ” จะเรียกว่าดื่มเพิ่มความกล้าก็ไม่ใช่ 
เธอไม่ได้กลัวอะไรขนาดนั้น ทุกอย่างมันก็แค่ทางผ่านเพื่อให้เป็นจุดสนใจเท่านั้นเอง

[---]ไม่นานแก้วใสใส่น้ำสีขุ่นก็วางลงตรงหน้า 
มันเป็นสีชาใสเย็นไม่ต่างจากจิตใจขมุกขมัวของคนในร้านนี้ 
ซึ่งส่วนใหญ่ก็มองเธอทะลุเสื้อผ้า ไม่แปลกนักหรอก หากอยู่ในที่แบบนี้ 

[---]เธอค่อยๆ บรรจงดื่มอย่างเชื่องช้า 
สูดหายใจเข้าลึกๆ กับใบหน้าที่ยิ้มกริ่ม ช่างสกปรกเกินเยียวยาแล้วรึ....

[---]‘อยู่ใกล้ๆนี่เองสินะ’ 

[---]ใช่แล้วล่ะ กลุ่มคนพวกนั้นคงสังเกตเห็นเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 
ก็เธอเลือกเป็นเป้าหมายซะขนาดนี้ จะไม่ให้มองได้อย่างไร 
น้ำสีขุ่นถูกเทเข้าปากรวดเดียวจนหมดแก้ว 
หญิงสาวหยิบธนบัตรสีเดิมขึ้นมาวางที่โต๊ะอย่างเชื่องช้า
ราวกับค่ำคืนน้ำกำลังจะสร้างความหวาดผวาซ้ำซากเช่นทุกวัน ณิกานต์ทำท่าจะลุกขึ้น

[---]“คุณครับ รอเงินทอนด้วย” บาร์เทนเดอร์คนเดิมทักขึ้น เรียกรอยยิ้มจางๆ ให้เธอ

[---]“ที่เหลือทิปค่ะ อย่าลืมซื้อของเล่นให้ลูกด้วยนะคะ”

[---]“เอ่อ คุณรู้ได้ยังไง”

[---]“แค่เดาน่ะค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ” 

[---]“เดี๋ยวสิครับ ให้ผมไปส่งคุณที่รถมั๊ย” 
เขาเอ่ยด้วยแววตาเป็นห่วง แม้จะมีบ้างที่สายตานั้นจะมองเธอทะลุเสื้อผ้า 
หากแต่ส่วนความดีนั้นมันมีมากกว่า เธอเห็นเขาจัดแจงวางแก้วทำท่าจะออกมาจากบาร์ 
เพราะเห็นว่าถ้าเธอเดินออกไปจากที่นี่อาจไปไม่ถึงที่จอดรถดังที่คิด

[---]“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันชอบเรื่องอันตราย” ณิกานต์ยักคิ้วให้เขาเป็นเชิงขอบคุณ 
ส่งยิ้มชวนฝันโปรยเป็นประกายแล้วก้าวเท้าออกจากที่นั่นอย่างมาดมั่น

................................

[---]เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกครั้งเหมือนคนที่ไม่ค่อยได้รับอากาศบริสุทธิ์ 
อ่า....บรรยากาศค่ำคืนเงียบสนิทเคว้งคว้างเมื่อออกมาข้างนอกตัวร้าน 
รถยนต์คันหรูจอดห่างจากที่นี่ไปสองร้อยเมตร 
ที่มันไกลกว่ารถที่จอดอยู่คันอื่นก็เพราะจงใจเอาไว้ตั้งแต่แรก 
เธอเดินทอดน่องช้าๆ ไปยังพาหนะด้วยอารมณ์ว่างเปล่า

[---]สายตาของหญิงสาวมองไปที่พุ่มไม้ใหญ่ข้างทางฝั่งตรงข้าม 
อีกใจหนึ่งก็เหลียวมองไปยังมุมตึกซึ่งห่างไปไม่กี่เมตร 
แล้วก็หันกลับไปที่รถตู้สีขาวติดฟิล์มดำมืดซึ่งจอดไม่ห่างจากรถเธอ

[---]‘ช้าจัง’ เธอบ่นพึมพำในใจที่เสียเวลารอคอยบางสิ่ง 
จึงค่อยๆ สาวเท้าอ้อมไปให้ใกล้พุ่มไม้มากขึ้น

[---]เธอเดินทอดน่องมองดาวซึ่งไม่มีสักดวงบนท้องฟ้า 
ก้มดูพื้นคอนกรีตแตกระแหงด้วยรอยน้ำกัดเซาะ ยืนวนเวียนราวกับลังเลอะไรบางอย่าง 
สักพักก็ทำเป็นงอตัวลงไปจับข้อเท้าคล้ายกับว่าพื้นน้ำนั้น
ได้ดีดโคลนกระเด็นใส่น่องสวยๆ ของเธอ 
แต่อันที่จริงแล้วมันเป็นการโชว์ร่องอกนวลเนียนแก่สายตาหิวกระหายเหล่านั้นเสียมากกว่า

[---]“ว่าไงครับน้องสาว ไปกับพวกพี่หน่อยสิ” 
เสียงเอ่ยชวนดูเหมือนสุภาพจากผู้ชายหนึ่งในสองคน
ที่เดินมาประกบเธอจากทางด้านหลัง พร้อมจี้มีดพกวาววับสะท้อนกับแสงไฟยามมืดสลัว

[---]“พี่อย่าทำอะไรเลยฉันเลยนะ ฉันขอร้อง” 
เธอทำเสียงให้ดูน่าสงสาร ผิดกับสีหน้าที่ดูนิ่งเฉย เปล่าร้างในอารมณ์เสียเต็มประดา 
ออกจะแสดงอาการเบื่อหน่ายด้วยซ้ำ

[---]“หุบปากซะมึง ร้องมากเดี๋ยวแทงให้ตาย” 
เสียงกระซิบกึ่งข่มขู่ดังเช่นคนที่มีพละกำลังมากกว่าและได้กำชัยชนะเอาไว้อย่างแน่แท้

[---]“จะพาฉันไปไหน ไม่นะ” เดินตามแรงลากของผู้ชายสองคน 
ซึ่งพวกมันไม่ได้สังเกตสักนิด เธอไม่มีท่าทีขัดขืนเลยแม้แต่น้อย

[---]“ไปลงแขกไง ไม่ต้องดีใจไป ยังมีอีกห้าคนรอมึงอยู่” 
หนึ่งในคนที่ฉุดรั้งตัวเธอจงใจบีบเนื้อตัวเธอให้เขียวเป็นจ้ำ
ด้วยอารมณ์ที่ทำให้เธอชวนสะอิดสะเอียน

[---]“ไม่นะ อย่าทำแบบนั้นเลย พวกพี่กลับตัวเป็นคนดีเถอะ 
พ่อแม่พี่ก็รออยู่ที่บ้าน ท่านอยากเห็นหน้าพวกพี่ๆ สักครั้ง เปลี่ยนใจยังทันนะคะ” 
ลองถามอีกครั้งด้วยที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เผื่อพวกนี้จะเกิดเปลี่ยนใจสงสารกันขึ้นมาบ้าง

[---]“อิห่านี่” ไม่ทันไรแรงตบรุนแรงนั้นก็เรียกเลือดสดๆ ที่มุมปากกับจมูกเธอให้ไหลทะลัก

[---]“ก็ได้! จะข่มขืนใช่ไหมคะ งั้นก็รีบๆ พาไปสักที มัวแต่ลังเลเลือกสถานที่ 
ที่ป่านั่นก็ได้ ไปเอาพวกในรถตู้มาให้หมดเลย กูขี้เกียจรอ” สาวสวยพูดหน้าตาเฉย 
ซ้ำยังเดินลิ่วๆ ลากแขนคนที่พยามจะฉุดเธอ 
ทว่าตอนนี้เธอกลับเป็นคนลากกึ่งจูงพวกมันให้ได้งงในพฤติกรรมนั้น

[---]“ว่าง่ายก็ดี สงสัยจะชอบ” หนึ่งในนั้น 
โบกมือเรียกเพื่อนให้ตามออกมาสมทบอย่างรวดเร็ว

................................

[---]หลังพุ่มไม้ที่เธอสังเกตมาตั้งนาน มันรกจนพ้นสายตาผู้คนทั่วไป 
มิน่าล่ะ ถึงเกิดเหตุทำร้ายร่างกายที่นี่บ่อยครั้ง เธอสูดอากาศหายใจลึกให้ทั่วปอดอีกครา 
อ่า มีคนถูกฆ่าฝังไว้ใต้นี่ด้วย ฝีมืออันธพาลพวกนี้ไม่ผิดเพี้ยน 
หากแต่ความละเอียดอ่อนในจิตใต้สำนึกเธอก็ยังคาดหวังแสงสว่างด้านดีในความมืดมิดเสมอ

[---]“แม่พี่ป่วยเป็นมะเร็งนะ ส่วนพี่ น้องชายกำลังเดือดร้อนอยู่ที่โกดัง ไปช่วยยังไม่สาย”

[---]อีกครั้งที่เธอโดนมือใหญ่ๆ ตบจนเซล้มลงกับพื้น 
เธอส่ายหน้าช้าๆ ดูสองคนซึ่งกำลังรูดซิปกางเกงลง 
และอีกห้าคนที่เดินตามมาติดๆ ไม่แม้สักนิดที่จะทำให้ความโสมมนั้นสั่นคลอน 
คงช้าไปเสียแล้วที่จะเรียกร้องอะไร

[---]“มึงช่างเลือกจริง อีนี่สวยซะ มึงก่อนเลย” 
หนึ่งในพวกที่ตามมาพูดขึ้นอย่างเชยชมกับเหยื่อที่ถูกฉุดมา 
ไม่มีคนไหนในนี้ที่คิดสงสารผู้หญิงตัวคนเดียวที่ล้มลงต่อหน้าพวกเขา

[---]คนตัวใหญ่ฉุดลากเธอมาคร่อมทับไว้ ตัวมันหนักจนแทบไม่มีแรงได้ขยับ 
อีกคนขึงมือทั้งสองไม่ให้ดิ้นรน เป็นวินาทีที่สยดสยองไม่น้อย ถ้าเธอจะรู้สึกกลัวขึ้นมาสักนิด 

[---]“อยากร้องก็ร้องได้นะมึง เอาดังๆ กูชอบ” 

[---]“ไม่คิดเปลี่ยนใจแล้วใช่ไหมคะ” ถ้าจะมองกันสักหน่อย 
คงไม่เห็นความหวาดหวั่นในดวงตานี้เลยแม้แต่เสี้ยวนาที

[---]“กูจะเอามึง” ไม่รอช้ามือหนาล้วงเข้าไปในเดรสพยามกระชากชั้นในเธอออก 
พวกที่เหลือบีบไปตามเนื้อตัวเธออย่างน่ารังเกียจ อีกสองคนพยามฉีกเดรสสีน้ำทะเล 
หากแต่ผู้ถูกกระทำยังทำหน้าเรียบเฉยราวกับว่าเป็นเรื่องน่าสมเพชเสียเต็มประดา 

[---]ความต่ำช้าโสมมแสนน่ารังเกียจ เธอจะรับไว้เอง รับไว้ทั้งหมดเลยทุกการกระทำ 
แต่ ณ เวลานี้ โลกมืดมิดลงไปเยอะ เยอะจนสิ่งดีๆ ลางเลือนหายไปทีละนิด 
ก็ควรถึงแก่เวลาแล้วที่ใครสักคนต้องออกมาพิจารณาเสียบ้าง 
และนั่นก็ควรเป็นเธอผู้อ้อนวอนต่อความเป็นธรรม ผู้ที่อยากเห็นความสดใสในจิตใจของมนุษย์

[---]เธอจะตัดสินความผิดของพวกมันอย่างไรดีล่ะ 
มีอะไรที่สาสมกับความอุบาทว์ที่พวกมันทำไว้กับมนุษย์ร่วมโลกคนอื่นหรือไม่นะ

[---]ความเลวร้ายมันยังไม่มากพออีกหรือ มีสักนิดมั้ยที่ความดีจะสว่างขึ้นมาบ้าง 
แต่จนแล้วจนรอด แววตาหื่นกระหายพวกนั้นก็ไม่เห็นค่าความเป็นคนของเธอเลยแม้แต่น้อย

[---]“เฮ้อ งั้นก็ขอโทษทุกคนด้วยนะคะ” 

[---]เธอกล่าวก่อนที่ชั้นในจะถูกดึงลงด้วยมือหนาหยาบ 
และก่อนที่เดรสตัวโปรดจะถูกฉีกขาดเป็นทางยาว 
แววตานิ่งสนิทของสาวสวยก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานราวกับมันได้ลุกไหม้มาเนิ่นนาน 
มุมปากบางกระตุกยิ้มหัวเราะเบาๆ 

[---]ชายหื่นทั้งหมดทรุดลงกองกับพื้นอย่างไม่คาดฝัน 
ความหวาดกลัวคืบคลานสู่สายตาพวกมันรวดเร็วราวฟ้าผ่า 
ร่างกายกำยำไม่สามารถขยับตัวได้แม้เพียงกระดิก หยุดนิ่งคล้ายถูกสาป 
คำสาปที่ตรึงร่างกายเหล่านั้นไว้กับพื้นปฐพี

[---]‘เสื้อผ้าฉัน แพงกว่าชีวิตพวกแกอีก’ เธอลุกขึ้นยืนเชิดหน้าปัดฝุ่นดินออกจากตัว 

[---]‘คิดจะทำร้ายฉัน อีกร้อยปีย่ะ’ 
ผมเฝ้ายุ่งเหยิงถูกมัดรวบให้ตึงแน่น เช่นเดียวกับเวลาที่ต้องการจะลงมือทำอะไรสักอย่าง

[---]“เอาล่ะ ฉันคงต้องจัดการพวกแก 
เพื่อให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นอีกหน่อยก็ยังดี....ยามที่พละกำลังมีกลับใช้ทำร้ายผู้อื่น 
ยามที่ไร้กำลังก็อย่าวอนขอเสียให้ยากเลย” 
คำกล่าวเรียบเฉยนั้นร้ายกาจจนทำให้พวกนั้นสั่นผวาในสิ่งที่ไม่เคยเจอะเจอ 

[---]ถึงคราวแล้วสินะ ความยุติธรรมที่เธอวาดไว้จะขีดเส้นตายให้พวกนี้เอง 
พูดจบณิกานต์ก็สูดลมหายใจลึกนิ่ง แล้วกล่าวต่อ

[---]“บัญชีที่พวกแกต้องชำระ อาทิตย์ก่อนมีผู้หญิงถูกฆ่าข่มขืนในที่แห่งนี้ 
หล่อนตายอย่างทรมาน ร่างนั้นฉีกขาดก่อนหมดลมหายใจ” 
อันธพาลพวกนั้นพยามจะอ้าปากร้อง หากแต่ไร้เสียง

[---]‘อย่าเถียงฉัน แล้วหุบปากไปซะ’ 

[---]“ไม่ต้องตอบ ฉันรู้ว่าฝีมือพวกแกแน่นอน....
ส่วนเดือนก่อนลุงแก่ๆ โดนทำร้ายร่างกาย อาการสาหัสมากจนต้องตัดแขนออกไปข้างหนึ่ง 
นี่ก็ฝีมือพวกแก....อีกหลายอย่างที่พวกแกทำ....อืมมม กลิ่นไอความบาปมันฟ้อง” 
เธอทำจมูกฟุดฟิด สังเกตหนึ่งในแกงค์ชั่วสีหน้าหวาดกลัวระคนสงสัย

[---]“อยากรู้รึ ฉันก็คนสวยยังไงล่ะ ฮาๆ” 
เสียงหัวเราะอย่างนางมารร้ายแทรกโสตประสาทของมันอย่างร้ายกาจ 
ร่างกายกำยำพยามดิ้นรนกับความว่างเปล่าที่มัดตัวพวกมันไว้

[---]“แล้วฉันก็เป็น” เธอเว้นประโยคไว้ แล้วกล่าวช้าๆ 

[---]“เป็น ‘ผู้ทวงคืน’ ....อ่าาา พวกแกรู้แล้วสินะ 
ตอนนี้ขอให้คิดถึงความผิดของพวกแกเอาไว้ให้ดีๆ แกไม่มีสิทธ์ร้องขอ 
ฉันไม่มีทนายให้หรอก ฮ่าๆ” เธอเอ่ยเสียงต่ำ

[---]ร่างกายกำยำที่คร่อมเธอไว้เมื่อครู่ 
ค่อยๆ ถูกสูบลงพื้นดินอย่างเชื่องช้าเริ่มจากส่วนปลายเท้า ลามขึ้นไปจนถึงลำตัว 
แววตาหวาดหวั่นพยามดิ้นรน 
แขนขาที่พึ่งเป็นอิสระได้ไม่นานกะเกียดตะกายหาที่ยึดเกาะไม่ให้จมลงสู่ดินดูดเบื้องล่าง

[---]“อ๊ะๆ ร้องดังๆ ได้นะคะ ฉันชอบ” 
แววตาแดงก่ำราวเพลิงเผาผลาญจ้องไปยังเดรัจฉานในคราบมนุษย์ 
สุขใจกับการฟังเสียงโหยหวนจากอาการหวาดกลัวของมัน 
หญิงสาวบิดคอไปมาเหมือนปวดเมื่อย แล้วก็ยิ้มระเรื่อกับร่างที่จมหายลงไปในดิน 

[---]เธอรู้ว่ามันยังไม่ตาย แต่ดิ้นทุรนทุรายอยู่ในนั้น เสียงดังกรอบถูกส่งขึ้นมาจากพื้นปฐพี 
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามาจากการที่กระดูกของมันถูกหัก และบดให้ละเอียดอย่างเชื่องช้า 
ใบหน้างามขมวดคิ้วเล็กน้อย หายใจสะดุดสองสามครั้ง 
พลันเสียงโหยหวนจากใต้ดินก็อันตรธานหายไปในที่สุด

[---]“มาต่อกันเลยนะคะ” 
เธอพูดกับพวกที่เหลือและจัดการพวกนั้นทีละคนให้ลงเอยตามลูกพี่ของพวกมัน 

[---]จนกระทั้งร่างสุดท้ายจมหายไปกับผืนดิน 
หญิงสาวก็ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ดวงตาแดงก่ำเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลสดสว่างดังเดิม 
อาการหอบเหนื่อยเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน พวกนี้เลวร้ายกว่าที่คิด 
เธอกุมมือไว้ที่อกอย่างเจ็บปวด ไอกระอักเอาเลือดสีแดงสดออกจากร่างกาย

[---]ณิกานต์นั่งหลับตาอยู่หลายนาทีจนรู้สึกดีขึ้น เธอปาดเลือดออกจากปากและจมูก 
ลุกขึ้นยืนด้วยสภาพร่างกายที่สมบูรณ์แบบ บาดแผลที่ถูกคนใจชั่วตบเมื่อสักครู่จางหายไปแล้ว 
ทั้งผิวพรรณยังผุดผ่องราวกับเด็กสาวแรกรุ่น

[---]‘หึหึ ผลกรรมของฉันสินะ’ 
เธอคิดแล้วก้าวเดินไปประจำยังที่นั่งคนขับ
แล้วเลื่อนมินิคูเปอร์ออกไปตามถนนเงียบสงัดของค่ำคืน




................................