[---]แต่งไปทำไม แต่งไปเพื่ออะไร.... อรวีทวนเพลงเป็นจังหวะเบาๆ พร้อมกับกมลชนก ทั้งสองเป็นคู่หูดูโอ้ ที่ไม่ว่าจะมองทางไหนก็เหมือนกันอย่างกับแกะ ไม่ว่าจะเป็นชุดสีขาวยาวเสมอเข่าที่ดูสุภาพและไม่มีคำว่าเซ็กซี่ให้ได้วาบหวิวเช่นกับเจ้าของงาน ทำให้เกิดคำถามคาใจขึ้นจนได้
[---]“นี่ ทำไมชุดพวกเราดูจืดชืดยะ” กมลชนกมองสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองอย่างอดที่จะพูดไม่ได้
[---]“ก็แหม นี่มันงานฉันนี่คะ พวกคุณๆ กรุณาหลีกทางชั่วคราว วันนี้เด่นที่สุดต้องฉันค่ะ อิอิ” ธนิตาในชุดเจ้าสาวแหวก เรียบ เก๋ ดูดีมีสไตล์ ชนิดที่ใครผ่านก็ต้องชายตามามองเต็มสองตาอย่างอดไม่ได้ ทั้งอิจฉา ทั้งชื่นชม อันที่จริงเธอแอบเปลี่ยนแบบให้มันดูหวิวๆ บ้าง ไม่อย่างนั้นคงเชยแย่
[---]“สาม สอง หนึ่ง” อรวีนับจังหวะเพลงเบาๆ หันขวาฉับพลัน พร้อมกับฉีกยิ้มเอียงขวาตามที่ธนิตาระบุเอาไว้
[---]“แอร๊ย เพื่อนอร หันขวาให้มันดูมีชีวิตชีวาอีกหน่อยสิ แบบนั้นไม่ต่างจากฝึกทหารเลยนะ” ธนิตาย้ำอีกครั้งพร้อมกับทำท่าทางให้ดูอย่างอ่อนพริ้ว
[---]“ก็มันตื่นเต้นนี่นา คนดูอยู่ข้างล่างตั้งมากมาย” เพื่อนเจ้าสาวบ่นกระบอดกระแปด
[---]“แหม่ เดี๋ยวแต่งงานตัวเองไม่เป็นลมเลยรึน้องอรอ่อนหัด” เธอยังคงแซวปนจิกกัดเพื่อนอย่างเสียไม่ได้
[---]“ชิ....นกเค้าไม่เดินแล้ว ตัวเองไม่ต้องเดินเลย” คนงอนเชิดหน้า หันไปเกาะแขนผู้ร่วมชะตากรรมซึ่งทำท่าเชิดหน้าแบบพร้อมเพรียงหันหลบเจ้าของงาน
[---]“นี่ไง แบบนี้เลย ให้พร้อมเพรียงแบบนี้เลย เพื่อนๆ น่ารักที่สุด” เธอยกยอด้วยท่าทางสุดสตอเบอรี่
[---]“คิดถึงมาริสาเหมือนกัน พวกเราจะได้เจอกันพร้อมหน้าอีกรึเปล่าก็ไม่รู้” อยู่ดีๆ ธนิตาก็เปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหัน ทำเอาอารมณ์กึ่งเล่นกึ่งจริงของทั้งสามเปลี่ยนมาอยู่ในโหมดคำนึงหา
[---]“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า เราต้องได้เจอกันอีกสิ นี่งานแต่งนะ ไม่ใช่งานศ....” อรวีชะงักปากไว้ได้ทัน ไม่อยากเอ่ยถึงงานอัปมงคลในวันนี้ พูดจบก็ก้มหน้าเหมือนคนเกือบทำความผิด
[---]“ไม่รู้สิอร อันที่จริงฉันก็เคยคิดว่าควรจะยกเลิกงาน” เธอเอ่ยลอยๆ เปลี่ยนทิศของใบหน้าไปทางหน้าต่างจ้องไปยังท้องฟ้าอันกว้างไกล เคว้งคว้างไร้จุดหมาย
[---]“ช้าไปรึเปล่า” กมลชนกเปลี่ยนมาอยู่ในอาการนิ่งเงียบ เหมือนจะรู้สึกถึงความกังวลของเพื่อนซึ่งแผ่ออกมาจนปกปิดไม่มิดอีกต่อไปแล้ว
[---]ธนิตาดูไม่เป็นตัวของตัวเอง มันไม่ใช่เลย เพื่อนของเธอไม่มีความลังเลแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ ความมั่นใจมีอยู่เสมอ ยิ่งอะไรที่สำคัญๆ แบบนี้ หล่อนจะไม่คิดย้อนกลับ แต่ทำไมวันนี้มันดูแปลกไป
[---]“เอาน่า ฉันพูดเล่น....เปลี่ยนเรื่องกันเถอะ เมื่อกี้ว่าจะถามอร เลขาเธอเป็นไงบ้าง” เธอเลือกเปลี่ยนเรื่องฉับพลัน จนเพื่อนๆ หันมามอง แต่ก็ไม่กล้าขัดอะไร เพราะรู้ดีว่างานเริ่มมาขนาดนี้แล้ว เปลี่ยนใจกลางคันคงจะสายเสียยิ่งกว่าสาย
[---]“นี่อยากรู้จริงๆ หรือ....” คนถูกถามหันไปมองเจ้าสาวแสนสวย หล่อนตั้งใจถามหรือว่าเปลี่ยนเรื่องกันแน่
[---]“เล่าก็ได้....” ในเมื่อเห็นทีท่ารอฟัง อรวีเลยจำเป็นต้องเล่า อย่างน้อยเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ทำลายบรรยากาศที่อึมครึมนี้ลงไปได้บ้าง
[---]“ก็ทำงานมาได้ช่วงนึงแล้วนะ ก่อนงานแต่งเธอ ฉันพึ่งไปทำงานต่างจังหวัดพร้อมยัยนั่นมา เกือบจะทำงานล่มซะละ....ทำตัวแต่ละอย่างนี่อย่าให้พูดเลย ก็คงหวังสูบเอาจากพ่อ ไม่ก็พวกที่รวยๆ นั่นแหละ ถ้าไม่กลัวว่าจะตัดลูกตัดพ่อ ฉันคงไล่นางออก พร้อมกับเฉดหัวไปไกลๆ ลูกตา เห็นหน้าทุกวันแล้วไม่มีความสุขเอาเสียเลย” เพื่อนเจ้าสาวกอดอกเล่าพร้อมกับท่าทางขมวดคิ้วแบบหงุดหงิดเล็กๆ
[---]“ขนาดนั้นเลย....ก็ดูไม่ร้ายเหมือนคนก่อนนี่” กมลชนกหันมาจ้องอรวีด้วยคิ้วที่เลิกขึ้นเป็นคำถามว่าที่พูดนั่นเป็นอย่างที่ใจคิดแน่แล้วรึ
[---]“ฉันกำจัดหล่อนให้ได้นะ เอามั้ย” ธนิตาบอกเพื่อน เห็นดูท่าจะกังวลเอามากๆ กับว่าที่แม่เลี้ยงคนใหม่นี้ อรวีมักนึกถึง หรือพูดเกี่ยวกับหล่อนตลอด ราวกับว่าเป็นเสี้ยนหนามที่ดึงไม่ออกเสียที
[---]“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวก็คงอยู่ไม่นานนัก” เจ้าของเรื่องรีบชิงพูด
[---]“ก็ให้คุณเพื่อนช่วย จะได้เร็วขึ้นไงอร” กมลชนกเปรยหางตามาทางอรวีด้วยท่าทางสงบ
[---]“ไม่เป็นไร ไม่ต้อง ไม่เอา ฉันว่าปล่อยไปแบบนี้แหละ” อรวีทำเสียงอ้อมแอ้ม
[---]“ทำไมล่ะ กลัวอะไร” กมลชนกยังคงไม่ละสายตาไปจากความสงสัย ต้องมีอะไรบางอย่าง
[---]“เอาน่า ฉันไปซ้อมซ้ายหันขวาหันก่อนละ เดี๋ยวงานเพื่อนรักจะไม่สมบูรณ์” ว่าแล้วก็เดินหลบมุม หลบการสนทนาออกไปเสียเฉยๆ
[---]“เป็นอะไรของอรนะ” ธนิตางงตามไปด้วย แต่ก็ไม่คิดจะติดใจอะไร ในเมื่อเธอมีเรื่องให้ต้องคิดมากมายอยู่แล้ว
[---]“เธอก็ไปซ้อมด้วยสิจ้ะ หันหน้าไม่พร้อมกันฉันไม่ยอมนะยะ” พอรู้สึกว่ามีอีกคนนั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่แถวนี้ ธนิตาก็รีบไล่ให้หล่อนออกไปยืนซ้อมท่าเดิมๆ ตามจังหวะเพลงที่จะบรรเลงในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า อันที่จริง เธออยากนั่งคิดอะไรตามลำพังมากกว่า
................................
[---]แป๊กๆ ป๊ะๆ ....หลังจากพิธีแรกจัดเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามธรรมเนียมของต้นฉบับ เสียงประทัดดังกึกก้องไปทั่วบริเวณบ้านอันกว้างใหญ่ไพศาล ธนิตาโค้งคำนับว่าที่สามีในอนาคตเป็นรอบที่สาม เธอรู้สึกรำคาญกับเครื่องประดับบนศีรษะเสียจริง นอกจากมันจะหนักแล้ว มันยังมีผ้าบางๆ ลงมาบังหน้าตาอันสวยงามของเธออีก ไหนจะรองเท้าที่เดินไม่ค่อยถนัด พอผ้าบางบังหน้าแล้วยิ่งไปกันใหญ่
[---]ธนิตาภาวนาอย่าให้ต้องเกิดอุบัติเหตุอย่างเช่นการหกล้มต่อหน้าสาธารณชน ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน อับอายไปสามชั่วโคตรเลยก็ว่าได้
[---]ใกล้แล้วๆ ใกล้จะจบแล้วกับพิธีการที่บ้านเธอจัดเป็นอันดับแรก เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ พบกับเจ้าบ่าวที่ส่งยิ้มมาให้อย่างอารมณ์ดี ก็แน่ล่ะนะ เขาไม่มีเครื่องประดับหนักๆ หลายกิโลกรัมบนหัวนี่ ไหนยังจะรองเท้าดูเรียบๆ เดินสบายนั่นอีก ลองมาแลกกันดู เขาคงยิ้มไม่ออกแบบเธอหรอก
................................
[---]หลังม่านของความวุ่นวาย.... เธอแทบจะเป็นลมตอนแกะหมวกหรืออะไรสักอย่างที่ขอเรียกมันว่าหมวกหนักๆ ก็แล้วกัน มันมัดยุ่งเหยิงเต็มหัวเธอไปหมด แล้วยังจะต้องรีบเตรียมอีกหนึ่งพิธีช่วงหลังเที่ยงของวัน ส่วนพิธีท้ายสุดที่เธอสั่งให้เพื่อนๆ เตรียมการให้พร้อม ก็รวมสามงานด้วยกัน แต่ละงานนั้นแขกที่รับเชิญก็มีมากหน้าหลายตา ส่วนใหญ่จะเชิญพวกคนแก่ๆ ไว้งานแรก
[---]พวกที่สำคัญต่อตระกูลหน่อยก็จัดให้อยู่ครบทุกงาน งานแต่งของเธอหมดไปหลายสิบล้านนัก เพราะต้องรองรับความสบายของทุกคนที่มาในงาน ยกเว้นคนจัด ชักอยากจะล้มงานนี้ซะแล้ว เหนื่อยจริง
[---]“เชิญทางนี้ค่ะ” เสียงช่างทำผมพูดขึ้น แล้วก็มาทำหน้าตื่นตาตื่นใจกับผมอันกระเซิงของเธอ หล่อนจัดแจงสระ เซท จัดมวยมัดเกล้าขึ้นเป็นทรง อย่างเรียบๆ แต่สง่า
[---]“เอาให้ดูดีนะ” เธอสั่ง แม้จะต้องทนกับทรงที่มันหนักหัวอีกนานหลายนาทีก็ยอม ขอดูดีไว้ก่อนล่ะว้า งานแต่งในชีวิตคงมีครั้งเดียว
................................
[---]สามสิบนาทีกับช่างแต่งหน้า และช่างทำผม รวดเร็วทันใจเกินไป พึ่งแอบงีบระหว่างแต่หน้าไปได้ครู่เดียวเอง เหนื่อยเหลือเกิน แต่กำหนดการรอบนี้ไม่มีอะไรมาก นอกจากถ่ายรูปกับผู้ที่มางาน ถ่ายให้ครบ จะได้รู้ว่าใครมาร่วมรดน้ำสังข์ยินดีกับงานแต่งของเธอครั้งนี้บ้าง ในบรรดามิตรสหายร่วมวงการมากมายเหล่านั้น ผู้ที่มาเหยียบงานเธอได้ก็ต้องมีความเชื่อมั่นให้แก่กันและกันพอสมควร หากใครในรายชื่อไม่มาแล้วก็ย่อมเป็นที่เคลือบแคลงกันเป็นธรรมดา
[---]ธนิตาแอบหาวหน้าตายอยู่ที่เดิม เธอนั่งไหว้แล้วก็ยิ้มแย้ม ราวกับว่าร่างกายสั่งเป็นอัตโนมัติเวลาคนเดินมาเอาน้ำรดมือ ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสแม้เวลาล่วงเลยมาแล้วสองชั่วโมงกว่า
[---]ณ ลานกลางบ้านของเธอก็ร้อนเสียเหลือเกิน จะสร้างโดมใหญ่ยักษ์มาบังแดดก็คงใช้เวลานาน ไม่ทันได้จัดพิธีกันพอดี ธนิตายิ้มแย้มจนผู้รับเชิญคนสุดท้ายเดินเข้ามารดน้ำ คนที่ทำให้รอยยิ้มอันสงบสุขของเธอต้องหุบลงอย่างเสียไม่ได้
[---]เป็นเธอเองที่พลาดไม่มองให้ดีว่าใครเข้ามาบ้าง จะทำก็เพียงแต่มองไปข้างหน้าในระดับที่นั่งอยู่ แล้วเอ่ยขอบคุณบรรดาคนเหล่านั้น ทว่านี่มันไม่ใช่ นอกจากดอกไม้อันสวยงามที่สื่อความหมายดีๆ แปะเปื้อนมือเธอแล้ว มันยังมีดอกไม้อีกชนิดหนึ่ง คนมักจะนำมาวางที่กล่องไม้ซึ่งมีคนนอนหมดลมหายใจอยู่ภายในนั้น....ดอกไม้จันทน์
[---]“ใคร!!!!” ธนิตาลุกขึ้นยืนพยามมองหาต้นตอจากกลุ่มคนที่เดินเข้ามาในงาน บ้าไปแล้วนี่บ้านเธอนะ กล้าเข้ามาเหยียบถึงในนี้กันเลยเหรอ ขู่เสือถึงในถ้ำ ดีล่ะ เข้ามาแล้วก็อย่าหวังได้ออกไปเลย
[---]“คุณศักคะ....” เธอหันไปกระซิบบอกเจ้าบ่าว ทันทีที่เขารู้ก็ส่งสัญญาณถึงลูกน้องซึ่งอยู่ใกล้ๆ ทันที เธอเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน
[---]“ไม่ต้องกังวล เราจัดกำลังคนไว้ทุกที่แล้ว” เจ้าบ่าวกระซิบเป็นเชิงให้เธอสบายใจได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ทั้งอาวุธ ระเบิด ไม่มีใครเอาเข้ามาได้สักราย สุนัขดมกลิ่นก็มี คนเฝ้าก็มี เกือบจะทุกตารางนิ้วในบ้าน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น พวกนั้นแหละที่จะไม่รอด ไม่ใช่เธอ
................................
[---]ก๊อกๆ ๆ เสียงเคาะเบาๆ แล้วเปิดออกโดยไม่ขออนุญาต ก็พอจะเดาออกว่าเพื่อนทั้งสองนั่นเอง พวกเพื่อนๆ ดูตื่นเต้นมากกว่าเธอเสียอีก และคิดว่าคงตื่นตะหนกด้วยถ้ารู้ว่ามีคำขู่ส่งมาถึงในงาน
[---]แต่ถึงรู้สหายรักเหล่านี้ก็คงไม่คิดว่าตระกูลอันมั่งคั่งอย่างเธอมีเบื้องหลังที่ซ่อนเร้นอยู่มากมาย และทั้งสองก็คงไม่คิดถาม ตราบใดที่ความเป็นเพื่อนยังมี อย่างอื่นก็ไม่จำเป็น ธนิตามองหน้าเพื่อนสลับกันไปมา รู้สึกขอบคุณที่โลกอันกว้างใหญ่นี้ สวรรค์ยังส่งมนุษย์ที่จริงใจจนเรียกว่ามิตรแท้มาให้เธออยู่ แม้ทางเดินจะมืดมนแค่ไหน เธอก็ไม่รู้สึกถึงความลำพังเลย
[---]“ขอบคุณนะ ที่เป็นเพื่อนกันมาตลอด” ธนิตาพูดน้ำตาคลอก่อนจะเดินไปตามทางพิธีที่จัดขึ้น เพื่อไปพบกับพ่อซึ่งจะนำเธอไปส่งยังแท่นพิธีกล่าวคำสัญญา
[---]“จ้ะ” ทั้งสองยิ้มให้กับเธอด้วยใบหน้าอันปิติยินดีด้วยอย่างแท้จริง จากนั้นก็เริ่มเดินไปตามเส้นทางอย่างพร้อมเพรียง เหมือนที่เธอขอให้ทำไม่มีผิดเพี้ยน
[---]....เสียงบรรเลงเพลงดังขึ้นเบาๆ กลีบดอกไม้โรยตามทางเดินหินอ่อน พร้อมกับเจ้าสาวที่เดินอย่างสง่างามในพิธีที่แต่งแต้มไปด้วยความสุขมากล้นเคลือบอยู่เต็มหัวใจ
[---]ธนิตารู้สึกเดินอยู่บนปุยนุ่น ผู้คนมองเธอ แต่เธอไม่รู้สึกถึงพวกเค้าเลยสักนิด เธอให้จุดสนใจของตัวเองอยู่ยังแท่นพิธี สองดวงตาเห็นเพียงเจ้าบ่าวที่ยืนรอรับด้วยท่าทีอันสงบ เขาดูมีความสุขไม่ต่างกัน
[---]เธอก้าวขึ้นแท่นพิธีและมือน้อยๆ ถูกสับเปลี่ยนเป็นชายที่รักเธออีกคน คำสัญญาว่าจะมีกันจนกว่าลมหายใจจะดับสูญ ขอให้ความรักของเราเป็นความรักที่เข้าใจซึ่งกันและกัน เห็นใจ และอาทร
[---]มันช่างสวยงามและสวยงามที่สุดเมื่อเพื่อนเจ้าสาวเดินพร้อมเพรียงหันขวา ยิ้มแนวทแยงอย่างเก๋ไก๋ ช่างภาพรัวชัตเตอร์ได้ทันทุกภาพพอดิบพอดี เท่านี้แหละ ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปมากกว่านี้แล้ว
[---]เป็นอันจบพิธี.... ถึงเวลาที่เธอจะต้องโยนช่อดอกไม้ราคาหลักแสนให้ใครสักคนที่เป็นผู้โชคดี อันที่จริงเธอแอบเล็งไปยังเพื่อนทั้งสอง ไม่คนใดก็คนหนึ่งนี่แหละ ก็นะ แอบขี้โกงเล็กๆ
[---]ฟิ้วๆ.... ช่อดอกไม้นำเข้าที่ถูกตัดแต่งสีและขนาดให้ได้เท่ากันหมดทุกดอก มัดร้อยด้วยเส้นทองคำบริสุทธิ์แปะรูปหัวใจเล็กรวมน้ำหนักสองบาท เป็นสิ่งแทนถึงเราสองคน ใครได้ไปคงโชคดีไม่น้อย
[---]ฟึ๊บ แม้ว่าจะผิดคลาดเล็กน้อย แต่คนที่รับไปก็ยังเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของเธออยู่ดี แอบคิดว่าอรวีจะได้เสียอีก เพราะหล่อนคงจะแต่งงานตามเธอในไม่ช้า ไหงกลายเป็นกมลชนกที่ยืนอยู่นิ่งๆ ยกมือขึ้นเล็กน้อย แล้วหยิบมันไปอย่างง่ายดายด้วยใบหน้าที่ไม่บ่งบอกว่าดีใจหรือเสียใจอะไร
................................
[---]“พร้อมมั้ย” คุณศักดากระซิบข้างหูเธอเบาๆ ก่อนจะก้าวขึ้นรถเพื่อไปฮันนีมูนกันที่ไหนสักที่ เขาคงอยากให้เธอแปลกใจเลยไม่บอกว่าจะไปที่ไหน นั่นก็ทำเอาธนิตาหน้าแดงก่ำ ไหนจะจุมพิตเล็กๆ เอาใจบรรดาแขกที่มาในงานก่อนเข้าไปนั่งในรถอีก
[---]“ที่ไหนก็ได้ ขอมีคุณอยู่ด้วย” เธอวางมือลงบนมือหนาของเขา คิดภาพอนาคตของสองเรา ไม่ว่าจะยามเฒ่าแก่ชราลง เราก็จะไม่ทิ้งกัน เป็นความสุขเล็กๆ น้อยที่เธอจินตนาการขึ้น
[---]รถซึ่งประดับอัญมณีเม็ดเล็กๆ แวววาวสุกใสในบางส่วน ก็ค่อยๆ แล่นออกสู่ถนนหน้าบ้านซึ่งประดับไปด้วยซุ้มดอกไม้นับสิบ และเมื่อผ่านซุ้มเหล่านั้นและลับสายตา ของบรรดาแขกแล้ว ทุกอย่างก็กลับคืนสู่โลกของความเป็นจริง รถติดตามแล่นเข้ามาขนาบข้าง หน้า หลัง อย่างระมัดระวัง เธอสบตาเจ้าบ่าวที่รักอย่างเป็นอันรู้กันว่าคงไม่มีใครกล้าเข้ามาทำอันตรายเธอแน่นอน
[---]ขบวนรถเก้าคันแล่นออกสู่ถนนใหญ่ไปตามทางชนบทเรียบง่าย ทุ่งหญ้าเขียวขจีน่าดูชมรายล้อมให้จิตใจเบิกบาน เจ้าบ่าวเปิดเพลงแล้วร้องตามเป็นความหมายสื่อรักอย่างหวานซึ้ง
[---]คุณศักดาสามีเธอ กอบกุมมือน้อยๆ เอาไว้ เขาหมุนพวงมาลัยเพียงมือเดียวอย่างชำนาญ ธนิตาคลึงแหวนทองสลักชื่อเล่น แหวนที่ระบุว่าเขาเป็นของๆ เธอ และจะเป็นของๆ เธอไปจนวันตาย
[---]ผู้ชายคนนี้ จะยอมทำทุกอย่างที่เธอร้องขอ เพราะไม่มีอย่างไหนที่เขาให้ไม่ได้ ก็นะ ทุกอย่างที่เขามี เธอก็มีหมดแล้ว เธอก็ไม่ได้ต้องการอะไรไปกว่าความยิ่งใหญ่ของการรวมอำนาจ และนี่มันก็ดีที่มีความรักพ่วงเข้ามาด้วย
[---]ศักดารักเธอมากแค่ไหนไม่รู้หรอก เธอรู้แต่เขารักเธอมากกว่าที่เธอรักเขาแน่ๆ แต่ยังไงก็ไม่สำคัญ เพราะเราเป็นคนๆ เดียวกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
[---]“บ้านพักตากอากาศบนเขาลูกนั้นครับ สร้างให้ตาโดยเฉพาะเลย” ศักดายิ้มแก้มปริ ภาคภูมิใจว่าเขามีอำนาจเงินบันดาลฝันให้ธนิตาได้ ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน
[---]“ขอบคุณค่ะ ที่รัก” เธอยกมือของเขาขึ้นจุมพิตเบาๆ เอื้อมตัวลงไปกระซิบข้างหู
[---]ครั้งหนึ่งเธอฝันอยากมีบ้านบนภูเขา มีห้องที่ติดกระจก เปิดออกมาแล้วเห็นป่าเขียวขจีได้โดยรอบ ทางเดินริมระเบียงกว้างๆ ทอดยาวไปยังต้นไม้ใหญ่ที่สามารถเอื้อมมือไปสัมผัสถึง หรือแม้กระทั่งปีนป่ายไปเล่นบนลำต้นที่ก้าวเดินเข้าไปจะพบว่าเป็นห้องหลังเล็กๆ
[---]อบอุ่นไปด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติ ฝันเป็นจริงแล้ว....เธอค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ พยามซึมซับความสุขเล็กๆ แต่แล้ว....
[---]ตู้ม!!!!.... เสียงดังกึกก้องระเบิดไปทั่วทุกทิศทุกทาง ธนิตาไม่รู้สึกถึงอะไรอีก นอกเหนือไปจากเปลือกตาหนักอึ้งที่กำลังจะปิดลง....
................................