หนี ตอนที่7



[---]เช้าตรู่ของวันถัดมา โลกใบนี้ยังคงหมุนเวียนวนอยู่อย่างเก่า ซึ่งก็ไม่ต่างจากความต้องการของคนเราสักเท่าไหร่ และหนึ่งในพวกที่มีความต้องการเป็นใหญ่คงจะหนีไม่พ้นคนใกล้ตัวเธอนั่นแหละ



[---]“สวัสดีค่ะ” ชญานิลรับไหว้พลางใช้สายตาลักลอบสำรวจหญิงสาวงามงดที่อยู่ตรงหน้า หล่อนมีทีท่าเกรงๆ เหมือนใจหนึ่งอยากวิ่งหนี แต่อีกใจยังลังเลที่จะทำ



[---]“แฟนผมครับพี่นิล” น้องชายฝาแฝดผู้ซึ่งถอดเค้ามาจากเธอเกือบทุกมุมองศา ขาดก็เพียงแต่ความสุขุมเยือกเย็น



[---]“รู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้ต้องทำอะไร” เธอหันไปถามน้องจากอีกฟากของโต๊ะอาหาร



[---]ยังดีที่วันนี้มีเพียงเธอ ชานัท กับแฟนสาวซึ่งนั่งทานข้าวกันเพียงสามคน ไม่เช่นนั้นแล้วความวุ่นวายเกินความจำเป็นจะเกิดขึ้น ทุกคนรู้กันหมดว่าคุณชายของบ้านนี้ ไม่มองหญิงอื่นใด แม้ว่าจะสวยปานเทพธิดา คัดมาให้เลือกเป็นร้อย หรือดีแทบฟ้าดินจะดับสิ้น



[---]พวกนั้นไม่อยู่ในสายตาชานัทเลยสักนิด ยกเว้นแต่ผู้หญิงคนนี้ หล่อนก็ดูสวยปกติในสายตาเธอและคนทั่วไป แต่ทำไมชานัทถึงมองเป็นนางฟ้าได้ตลอดหลายปีไม่รู้เบื่อ



[---]“ครับพี่ ผมไม่ทำให้พลาด” ชานัทรับปาก เขาแค่เอาที่รักมาค้างคืน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเสียงานเสมอไป ชานัทผิดพลาดไม่บ่อยนักหรอก



[---]“ตามพ่อไปให้ทันล่ะ” เธอรวบช้อนส้อม แล้วลุกออกจากโต๊ะอาหาร ที่น้องตัวแสบนั่งบริการคุณแฟนอย่างเอาอกเอาใจ



[---]ชญานิลอยากเตือนเหลือเกินว่าหัดสังเกตสายตาเจ้าหล่อนบ้าง ไม่เห็นรึว่าความกลัวมันครอบงำหล่อนไปถึงไหนแล้ว การหลงเข้ามาพัวพันกับชานัท หรือตระกูลเธอ มันก็ยากที่จะถอนตัวอยู่หรอก ถ้าถอยออกไปโดยไม่เอะอะโวยวายก็แล้วกันไป แต่ถ้าไม่ เธอก็ไม่สามารถบอกได้ว่าหล่อนจะต้องเจอกับอะไร แต่เตือนไปก็เท่านั้น คนอย่างชานัทไม่ฟังใคร พยามจะตามแต่ผู้หญิงคนเดียว เห็นว่าเป็นแอร์โฮสเตส บินไปไหนไกลหน่อย หรือนานเข้านิด น้องเธอก็รีบแจ้นตามไป แบบนี้จะพูดอย่างไรก็ไม่ฟังกันแน่ๆ ปล่อยไปละกัน ตราบใดที่ยังดูหวาดๆ อยู่แบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องห่วงว่าหล่อนจะเป็นไส้ศึกเข้ามาบ่อนทำลายภายในบ้าน



................................



[---]ณ ห้องหนึ่งฝั่งขวา.... คนเจ็บมีอาการดีขึ้น แต่ว่ายังคงหลับไม่ได้สติตอนชญานิลเดินเข้าไปหา คุณบีหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ หน้าหล่อนดูมีเลือดฟาดขึ้นมาเล็กน้อย ริมฝีปากนั้นเปลี่ยนจากขาวขุ่นกลายเป็นชมพูอ่อน เธอไล้นิ้วไปตามไรผมปัดมันออกอย่างเบามือ



[---]“ถ้าพี่บีอยู่ด้วยตอนนี้ นิลคงไม่กังวลอะไร รีบๆ หายนะคะ” ชญานิลก้มลงกระซิบข้างแก้มคนป่วย เธอไม่ชินกับการพูดแบบนี้สักเท่าไหร่ แม้อยากจะพูดก็เถอะ ความเขินมันไม่เข้าใครออกใครนี่นา นี่ก็มีโอกาสแล้ว ตอนหล่อนหลับยังไงล่ะ ถ้าเป็นเวลาปกติ หล่อนอาจหันมาทำตาโปน เพราะตกใจที่เธอเรียกซะสนิทชิดเชื้อ แต่ก็นะ หล่อนก็เหมือนพี่สาวที่เธอเคารพไม่ต่างจากคนในสายเลือดเลย



[---]“วันนี้ฉันต้องไปคนเดียวด้วยสิ ให้แม่พี่ตามไปกับพ่อฉันจะดีกว่า มีนัทด้วยอีกคน” เธอรู้สึกเหมือนพูดอยู่คนเดียว



[---]ก็ทุกครั้งคุณบีจะคอยรับฟังสิ่งที่เธอต้องการจะปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ยันเรื่องคอขาดบาดตาย หล่อนช่วยแนะทางให้เธอเลือกเสมอ อยากให้รีบตื่นเร็วๆ จัง



[---]“งั้นฉันไปก่อนนะ พักผ่อนให้สบาย เดี๋ยวฟื้นแล้วจะเล่าให้ฟังนะคะ” เธอ พูดหลายๆ สิ่งพร้อมกับสถานการณ์วันนี้ เล่าเหมือนว่าคุณบียังคงตื่น อีกทั้งยังจินตนาการออกว่าหล่อนจะพูดว่าอะไร แนะนำอย่างไร คล้ายๆ กับว่าพูดเองเออเองนั่นแหละ ก็นะ หล่อนอยู่กับเธอมาตั้งแต่เด็ก พอจะเดาได้ว่าคุณบีจะเอ่ยอะไรบ้าง



................................



[---]ชญานิลเดินออกมาจากห้องพักชั่วคราวของคุณบี หันกลับไปสั่งแม่บ้านให้กลับไปเฝ้าดูอย่าให้ขาดสายตา ถ้าหล่อนเกิดเป็นอะไรขึ้นมาให้รีบตามหมอในทันที แต่อาการดีขึ้นเร็ววันแบบนี้ค่อยหายห่วงมาหน่อย คุณบีสัญญาแล้วนี่นะ ว่าจะยังไม่ตาย และถ้าคุณบีฟื้นทัน มากับเธอด้วย คงมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง....



[---]‘ไม่เผื่อคนคุ้มกันอีกหน่อยเหรอลูก’ ชาญถามลูกสาวที่นั่งนึกถึงความเป็นไปได้อยู่



[---]‘นั่นสิ คุณหนูจะฝ่าเข้าไปได้ยังไง’ คุณเอเสริมขึ้น



[---]‘ไม่ค่ะ นิลขอมือดีที่สุดสิบคน รวมคนรถติดตามด้วยแล้ว’ เธอยืนยันคำเดิม



[---]‘แต่ว่า....’ ทั้งสองคนรีบเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน



[---]‘เท่านี้จริงๆ ค่ะ รถสามคันกับคนสิบคน ถ้ามากไปกว่านั้นอาจเป็นที่สังเกต’ เธอคิด



[---]‘เรื่องรถก็ด้วย พ่อห่วง’ ชาญยกฝ่ามือขึ้นกุมขมับ เหมือนคิดไม่ตกว่านั่นเป็นแผนการที่ดีแล้วจริงเหรอ



[---]‘แบบนั้นดีแล้วค่ะ’ เธอตอบอย่างมั่นใจแล้วขอตัวออกมาจากวงสนทนาโดยไม่มีการเอ่ยคำอำลาใดใด



................................



[---]ครั้งนี้ถ้าพลาด ก็ไม่มีครั้งหน้าให้แก้ตัวแล้วล่ะ คำลามีไว้สำหรับคนที่คิดว่าจะไม่เจอกันอีก แต่ลางสังหรณ์เธอไม่ได้บอกเช่นนั้น เธอจะกลับมาเจอพวกเขาพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขไปพร้อมกัน



[---]รอก่อนเถิด อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี่แล้ว แค่ในตอนนี้เท่านั้นที่พวกเราต้องแยกย้ายกันไปคนละที่ละทาง แต่อีกไม่นานพวกเราจะต้องเจอกันใหม่



[---]เหลืออีกสองชั่วโมงก่อนล้อรถจะหมุนตามเวลาที่นัดหมาย ชญานิลเลือกรถธรรมดาที่ดูไม่โดดเด่นอะไร แถมสองในสามยังเป็นรถที่ไม่ติดกระจกกันกระสุน ก็แน่ล่ะ ขืนติดไปใครก็รู้ว่ารถศัตรูเหยียบเข้าไปในถิ่น ส่วนเธอก็เลือกปลอมตัวเป็นคนธรรมดานั่งรถที่ไม่มีกระจกกันกระสุนนั่นล่ะ



[---]ดวงคนเราจะตาย มันก็คงจะตายล่ะว้า และถ้าพลาดก็ไม่ต่างจากย่นระยะเวลาตายให้เร็วขึ้น ฉะนั้น เรามาแข่งดวงกันสักตั้งนะ ฉันไม่แพ้พวกมันหรอก



[---]คุณหนูของบ้านวางมือลงบนโต๊ะหนังสือ ตัวที่แม่เธอชอบนั่งเมื่อนานมาแล้วในห้องสมุดขนาดย่อมซึ่งไม่มีอะไรผิดแผกไปจากเดิมเมื่อหลายปีก่อน เป็นยังไงก็อย่างนั้น แม้จะอยู่คนเดียวในห้อง หากมันอบอุ่น กี่หน้ากระดาษของหนังสือที่เย็นชืดพวกนี้ เธอกลับรู้สึกว่ามันเหมือนเตาผิงอุ่นสบายเมื่อยามอากาศหนาวเหน็บ ต้องที่แห่งนี้เท่านั้น รู้สึกเหมือนกับแม่มานั่งอ่านนิทานให้ฟังจนเธอผลอยหลับไป



[---]ชญานิลปิดเปลือกตาลงเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอ ค่อยๆ เอนตัวลงบนฟูกกับหมอนใบใหญ่ขนาดเท่าตัวคน อยู่ในมุมๆ หนึ่งของห้องกว้างใหญ่นี้ พลันหูก็แว่วได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา คิดว่าเป็นแม่บ้านเข้ามาเหมือนปกติ ถ้าเกิดเห็นเธอคงจะออกไปรอหน้าห้อง เธอจึงเลือกปิดตาสบายๆ อยู่ที่เก่า



[---]‘พี่นัทพอแล้ว’ เสียงแว่วเบาๆ เล็ดรอดออกมาจากอีกมุมซึ่งห่างไกลจากเธอพอสมควร



[---]ชญานิลขมวดคิ้ว ลุกขึ้นมานั่งกอดอกอยู่ที่เก่า พวกนั้นแน่ๆ น่าหงุดหงิดเสียจริง นี่ถ้าผ่านวันนี้ไปได้ ต้องมีการเตือนเสียหน่อยแล้วว่าห้ามพาคุณแฟนเดินเข้ามาในห้องนี้....เขตหวงห้ามส่วนตัวของเธอ อันหลังนี้คิดมาเอง เธอแอบหวงห้องนี้แต่ไม่มีใครรู้ จะรู้ก็แค่ต้องจัดให้มันอยู่ที่เดิม ห้ามมีอะไรเปลี่ยนแปลง



[---]‘อีกตั้งสองอาทิตย์กว่าจะได้เจอภัสอีก ขอกอดให้หายคิดถึงหน่อยครับ’ อะไรมันจะหวานปานนั้น เธอคิด



[---]‘อย่า....โอ๊ย’ เอาอีกละ น่าเบื่อซะจริง เดินไปไล่เลยดีมั้ย



[---]และก่อนที่เธอจะได้ทำดังที่คิด ก็มีบางอย่างเหมือนแช่แข็งตัวเธอให้หยุดนิ่ง รอให้พวกนั้นออกไปเองจะดีกว่า



[---]ไม่ใช่อะไรหรอก ชญานิลไม่อยากออกไปตอนนี้ก็เท่านั้น แม้อยากไล่ใจจะขาด เพราะเสียงที่เธอได้ยินต่อจากนั้น มันไม่ควรจะได้ยินในที่นี้เลย



[---]ตึก ตึก ตึก เสียงโต๊ะกระแทกกับผนังดังเป็นจังหวะ แรงและถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเธอต้องกำมือแน่น อยากฉีกน้องชายตัวเองซะตอนนี้ แต่เอาไว้ก่อน ค่อยหาโอกาสพูดหลังจากนี้ก็ไม่เสียหาย



[---]วันนี้ชญานิลไม่อยากหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ มันน่าเบื่อเหลือเกิน อุตส่าห์หามุมสงบๆ ดันมาเจอเข้ากับชานัทและแฟนสาวเข้าจนได้



[---]‘นางฟ้าของผม’ ชญานิลได้ยินน้องชายพูดกระเส่าพร้อมกับเสียงเขยื้อนโต๊ะที่หยุดลงได้สักที เธอเกือบจะหลับรอไปแล้วด้วยซ้ำ นานกว่านี้เห็นทีจะต้องออกไปไล่



[---]‘วันนี้พี่ไม่ได้ไปส่งนะครับ แล้วพี่จะโทรหา’ สักครู่เธอเดาได้ว่าเขาเดินออกห้องไป



[---]ไปๆ กันได้สักที พรุ่งนี้คงจะต้องเอาป้ายมาติด ห้ามชานัทเข้าห้องนี้ จากชญานิล ติดป้ายแบบนี้แหละ แค่นี้ก็เป็นห้องแสนสงบได้สักที ชญานิลเดินกอดอกอย่างไม่พอใจเบี่ยงตัวหลบชั้นหนังสือที่วางขวางอยู่ แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังทางออก หากไม่ได้ยินเสียงรบกวนอีกครั้งเสียก่อน



[---]‘ฮือ....’ คิดว่าเป็นเสียงร้องไห้ เพียงแต่มันเบามาก เบามากเหลือเกิน ใครกันมาร้องเอาวันนี้ เสียฤกษ์งามยามดีหมด เดี๋ยวก็ตบให้ฟันร่วงหรอก แม่บ้านใช่มั้ย ไล่ออกสถานเดียว



[---]“หยุดร้องเดี๋ยวนี้นะ” เธอสั่งก่อนที่จะเดินไปถึงเสียงต้นตอ



[---]“....” บุคคลปริศนาเงียบลงแล้ว ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปเห็น จะเรียกว่าเห็นก็ใช่ ชญานิลเลื่อนชั้นวางหนังสือออก เธอแอบตกใจเล็กน้อยกับคนที่นั่งฟูมฟายอยู่



[---]“กลับไปได้ละ ห้ามเข้ามาในห้องนี้อีก” เธอเอ่ยเสียงราบเรียบ พลางเบือนหน้าไปอีกทาง



[---]ถ้าจำไม่ผิดนี่มันแฟนสาวของน้องชายเธอนี่ ไม่ได้ออกไปด้วยกันหรอกรึ แล้วก็รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยสักทีสิยะ น่ารำคาญมาฟูมฟายหาอะไรตอนนี้ ถ้าไม่คิดว่าชานัทหลงจนหน้ามืด เธอคงสั่งคนมาลากยัยนี่ไปเก็บ เอาไปไหนก็ไป รกหูรกตา



[---]ยังอีก ยังไม่ยอมขยับอะไร จากที่เห็นในหางตาเธอ หล่อนค่อยๆ ลุกขึ้นปาดน้ำตาออกอย่างเสียไม่ได้ ดวงตาแดงก่ำยังกะไปตกนรกขุมไหนมา เมื่อกี้บนโต๊ะอาหารยังเห็นหวานกันอยู่ เมื่อครู่ก็ด้วย ตกลงมาจากสวรรค์รึยังไงกันมิทราบ



[---]“คุณพี่ชญานิล” ด้วยน้ำเสียงสั่นไหว แต่ไหงมาเรียกซะเต็มยศขนาดนี้ยะ



[---]“ฉันไม่มีเวลามาพูดอะไรกับเธอ ออกไปได้แล้ว” ถึงเป็นแฟนน้องชายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องเกรงใจ ชญานิลเลยหันไปออกแรงกระชากแขนหล่อนให้เคลื่อนไหวตามเธอ เพื่อให้พ้นจากห้องนี้



[---]“อะ โอย” แต่สภาพเศร้าโศกมากมายนั้นทำให้หล่อนเดินตามเธอได้ไม่กี่ก้าว



[---]“อะไรนักหนา” เธอพยามอดกลั้นไม่เรียกยามออกมาลากเอาไปทิ้ง แล้วเปลี่ยนเป็นกอดอกดูอีกคนที่ล้มลงกับพื้น



[---]“ให้พี่นัทปล่อยฉันไป ฉันขอร้อง ช่วยฉันด้วย” พูดจบนางก็เริ่มฟูมฟายก้มลงกับพื้นเหมือนจะกราบกรานเธอก็ไม่ปาน



[---]“น้องฉันรักเธอขนาดนั้น ผู้หญิงอื่นมันก็ไม่มอง นี่ยังไม่เป็นบุญหัวเธอหรอกเหรอ” ชญานิลเบี่ยงเท้าหลบ แต่ก็ไม่พ้น หล่อนคว้าเอาไว้ได้ แถมยังเอาหน้าผากอาบน้ำตามาเปื้อนใส่เท้าเธออีก



[---]“ฉันไม่ได้.... ได้โปรด” นางเหมือนจะบอกว่านางไม่รักชานัทแต่ก็พูดไม่ได้เต็มปาก ใจหนึ่งคงรัก แต่ใจที่อยากหนีมีมากกว่างั้นสิ ชิชะ มีสิทธิ์อะไรมาอ้อนวอนกับเธอ นู้น!! ไปบอกน้องเธอนู้น ถ้าชานัทเบื่อคงเขี่ยทิ้งเอง แต่ก็นะ รายนั้นยากที่จะเปลี่ยน ตามยัยนี่มานานแรมปี แถมยังจะหมายหมั้นปั้นมือให้เป็นสะใภ้ของบ้านให้ได้



[---]“เธอจะบอกว่าไม่ได้รักน้องฉัน” ชญานิลทำเสียงแข็ง ก้มลงมองคนที่หมอบอยู่เบื้องล่าง



[---]“เปล่า ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” หล่อนยังคงร้องไห้ตอบกลับมาด้วยเสียงสั่นเครือเจือหวาดหวั่น



[---]“แล้วทำไมถึงต้องมาขอร้องฉันแบบนี้” คราวนี้ชญานิลจิกหัวนางขึ้นมาเพื่อให้เห็นแววตานั่นว่าจะโกหกหรือปิดซ่อนความจริงอะไรไว้รึเปล่า ยัยนี่ต้องการอะไรกันแน่



[---]“ให้พี่นัทปล่อยฉันไป ช่วยฉันด้วย” นางพนมมืออ้อนวอนเธอด้วยสายตาสั่นระริก พลันสายตาอันว่องไวของเธอก็กวาดไปเห็นรอยช้ำบางอย่างบนผิวเนียนๆ นั่น



[---]“ฉันไม่ได้อะไร ทำไมฉันต้องช่วยเธอ” ชญานิลยังคงจ้องด้วยดวงตานิ่งงันเข้าไปในแววตาหวาดหวั่นนั่น



[---]“ให้ฉันทำอะไรก็ได้ ได้โปรด” ยังคงไมมีคำตอบที่แน่ชัดว่าหล่อนต้องการอะไร แต่แววตานั่นไม่โกหกแน่ๆ เธอรู้ดี ยัยนี่แค่ต้องการออกจากชานัทให้ได้ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร ความรักน่ะรึ มีแต่ไม่มากพอให้ทนอยู่ต่อ ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรทำไมเธอต้องช่วย ช่วยแล้วน้องชายของเธอต้องเสียใจ มันคุ้มกันหรือไม่นั้น ยังคิดไม่ออกหรอก



[---]ชญานิลเชยคางหล่อนขึ้นบิดหน้าไปทางซ้ายที ขวาที ไม่นานก็เอื้อมมือลงไปจับตรงอกทั้งสองข้าง พร้อมกับสำรวจหน้าท้องที่ไร้ที่ติ ทำเอาคนฟูมฟายหยุดร้องแล้วผงะออก แต่ยังมีสติพอไม่หลบเธอไปไหน



[---]“ถ้าเอาเธอไปขายคงได้ราคาดี.... ฉันเสนอทางออกให้แล้ว เอามั้ยล่ะ” เป็นคำถามที่ส่งผลกระทบต่อคนฟังจนใจหาย สีหน้าหล่อนสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แววตานั่นหมดหวัง ราวกับเทียนเล่มสุดท้ายในถ้ำที่ไร้ทางออกดับลง



[---]“....” คนฟูมฟายนั่งก้มหน้านิ่ง เงียบงัน น้ำตาไหลออกเป็นเขื่อนแตก ทว่าไร้เสียงสั่นเครือใดใด ใช่แล้วแบบนี้ คงไม่คิดว่าจะหนีไปไหนรอดแล้วสินะ แค่คำพูดหลอกๆ ของเธอยังทำเอาหมดหวังได้ขนาดนี้ สงสัยหล่อนคงยอมตายดีกว่าอยู่ต่อ หึหึ



[---]“ว่ายังไง อย่าเงียบสิ ฉันไม่มีเวลามากนะ” เธอเร่งจะเอาคำตอบ ก็รู้อยู่ว่ายัยนี่หมดทางเลือก แต่ก็ยังอยากเห็นว่าหล่อนจะทำยังไงต่อท่ามกลางความกดดันนี้ ปฏิเสธเธอแล้วหันกลับไปเลือกชานัท หรือจะยอมไปตายเอาดาบหน้า



[---]“....” เงียบ



[---]“เรื่องมากจริง” ชญานิลชักรำคาญ นั่งน้ำตารั่วอยู่ได้ เลือกๆ มาให้มันจบๆ เธอจะได้เตรียมตัวออกบ้านเสียที



[---]ชักจะหมดความอดทนกับการมองดูคนตรงหน้า เธอจึงกระชากหล่อนเข้ามาใกล้ๆ ฉีกเสื้อตัวบางนั่นออกด้วยการกระตุกกระดุมที่เย็บไว้ออก หล่อนไม่คิดจะปัดป้องอันใด นั่งนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง



[---]แต่แล้ว ชะอูย.... แอบตกใจกับสิ่งที่เห็น นึกว่าจะช้ำเป็นบางจุด ไม่ใช่อย่างที่คิดสักเท่าไหร่ มีรอยจ้ำๆ หลายที่อยู่เหมือนกัน สงสัยน้องเธอจะทนความคิดถึงยัยนี่ไม่ไหว เก็บกดมาจากไหนกันแน่เนี่ย



[---]“แล้วแต่คุณพี่ชญานิลจะพาไปค่ะ” หล่อนเอ่ยออกมาในที่สุด พร้อมกับมือที่ปาดน้ำตาออก แววตากลับมานิ่งงันแบบคนที่พร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ คงไม่มีอะไรให้เสียไปมากกว่านี้แล้ว



[---]“ไม่นึกว่าจะช้ำขนาดนี้” เธอดึงเสื้อออกเบาๆ พลางสำรวจด้านหลัง อ่อ ยังดีหน่อยที่ไม่มีรอยมาก พลันนึกสงสัยเลื่อนกระโปรงพริ้วนั่นขึ้นก็พบกับความช้ำที่ขาขาวอ่อนนั่น เป็นรักแท้ที่รุนแรงอะไรเสียจริง เหมือนเธอจะรู้สึกสงสารเล็กน้อย



[---]“ทำไมไม่ห้ามล่ะ นัทมันออกจะเชื่อเธอ” ชญานิลสงสัย แค่แม่นี่สั่ง ชานัทก็พร้อมจะทำตามทุกอย่าง



[---]“ฉะ ฉันกลัว....” แล้วหล่อนก็สะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง



[---]เฮ้อ.... คงกำลังคิดแน่ๆ ว่าพวกเธอเป็นมาเฟียโหดร้าย อันตราย เป็นสิ่งที่น่าสะพรึง เอ่อ....คุณน้องคะ นั่นมันสมัยไหนละ ถ้าเป็นพวกศัตรูเธอล่ะก็ไม่แน่ แต่นี่เธอแทบจะเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นสีเทา ไม่ใช่สีดำอย่างแต่ก่อน ถึงสีเทาจะดูไม่สวย ไม่ดี เลวร้ายในสายตาใครต่อใคร แต่มันก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนหรือความทุกข์ให้กับใครมากมายนัก คิดว่าเป็นแบบนั้นอ่านะ



[---]“ฉันจะพยามบอกนัทให้แล้วกัน” เธอหยิบเสื้อใส่คืนให้หล่อนตามปกติ แล้วยกผ้าคลุมไหล่สีน้ำเงินเข้มของตัวเองวางพาดให้ปกปิด เสื้อที่ไม่พร้อมจะใส่นั่น



[---]“แล้วพี่จะเอาฉันไปขายที่ไหนคะ” หล่อนพูดหากแต่ไม่สบตา กลับจ้องลงกลับพื้น เหมือนกำลังพยามทำใจว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง



[---]“นั่นสิ เธออยากไปที่ไหนล่ะ” ชญานิลไม่คิดว่าหล่อนจะเชื่ออะไรขนาดนั้น นี่เธอดูเลวร้ายสุดๆ เลยนะเนี่ย แกล้งหน่อยเป็นไรไป



[---]“ฆ่าฉันเถิด....” หล่อนสะอื้น



[---]โถๆๆ อะไรจะซื่อปานนั้นนี่ขนาดพูดว่าจะช่วยแล้วนะ ยังมองเธอในแง่ร้ายอยู่ เดี๋ยวก็ไม่ช่วยมันซะเลย ปล่อยน้องเธอหาความสุขกับหล่อนไปจนกว่าจะเบื่อนี่แหละ ชิ



[---]“เอ้า อยากตายขึ้นมาซะงั้น....ไปๆ ลุกขึ้นไปล้างเนื้อล้างตัว แล้วก็ไม่ต้องมาฟูมฟายให้เห็นอีกนะ” เธอพูดแล้วลุกขึ้นเดิน ตรงข้ามกับอีกคนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมมองเธอเดินไปได้สามก้าว



[---]“เร็ว ลุกมาซี่ อย่าให้เรียกซ้ำนะ” ชญานิลออกคำสั่ง หล่อนรีบลุกโดยไว แล้วเดินตามคุณหนูของบ้านไปยังที่แห่งใดไม่อาจรู้....





[---]เช้าตรู่ของวันถัดมา โลกใบนี้ยังคงหมุนเวียนวนอยู่อย่างเก่า ซึ่งก็ไม่ต่างจากความต้องการของคนเราสักเท่าไหร่ และหนึ่งในพวกที่มีความต้องการเป็นใหญ่คงจะหนีไม่พ้นคนใกล้ตัวเธอนั่นแหละ



[---]“สวัสดีค่ะ” ชญานิลรับไหว้พลางใช้สายตาลักลอบสำรวจหญิงสาวงามงดที่อยู่ตรงหน้า หล่อนมีทีท่าเกรงๆ เหมือนใจหนึ่งอยากวิ่งหนี แต่อีกใจยังลังเลที่จะทำ



[---]“แฟนผมครับพี่นิล” น้องชายฝาแฝดผู้ซึ่งถอดเค้ามาจากเธอเกือบทุกมุมองศา ขาดก็เพียงแต่ความสุขุมเยือกเย็น



[---]“รู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้ต้องทำอะไร” เธอหันไปถามน้องจากอีกฟากของโต๊ะอาหาร



[---]ยังดีที่วันนี้มีเพียงเธอ ชานัท กับแฟนสาวซึ่งนั่งทานข้าวกันเพียงสามคน ไม่เช่นนั้นแล้วความวุ่นวายเกินความจำเป็นจะเกิดขึ้น ทุกคนรู้กันหมดว่าคุณชายของบ้านนี้ ไม่มองหญิงอื่นใด แม้ว่าจะสวยปานเทพธิดา คัดมาให้เลือกเป็นร้อย หรือดีแทบฟ้าดินจะดับสิ้น



[---]พวกนั้นไม่อยู่ในสายตาชานัทเลยสักนิด ยกเว้นแต่ผู้หญิงคนนี้ หล่อนก็ดูสวยปกติในสายตาเธอและคนทั่วไป แต่ทำไมชานัทถึงมองเป็นนางฟ้าได้ตลอดหลายปีไม่รู้เบื่อ



[---]“ครับพี่ ผมไม่ทำให้พลาด” ชานัทรับปาก เขาแค่เอาที่รักมาค้างคืน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเสียงานเสมอไป ชานัทผิดพลาดไม่บ่อยนักหรอก



[---]“ตามพ่อไปให้ทันล่ะ” เธอรวบช้อนส้อม แล้วลุกออกจากโต๊ะอาหาร ที่น้องตัวแสบนั่งบริการคุณแฟนอย่างเอาอกเอาใจ



[---]ชญานิลอยากเตือนเหลือเกินว่าหัดสังเกตสายตาเจ้าหล่อนบ้าง ไม่เห็นรึว่าความกลัวมันครอบงำหล่อนไปถึงไหนแล้ว การหลงเข้ามาพัวพันกับชานัท หรือตระกูลเธอ มันก็ยากที่จะถอนตัวอยู่หรอก ถ้าถอยออกไปโดยไม่เอะอะโวยวายก็แล้วกันไป แต่ถ้าไม่ เธอก็ไม่สามารถบอกได้ว่าหล่อนจะต้องเจอกับอะไร แต่เตือนไปก็เท่านั้น คนอย่างชานัทไม่ฟังใคร พยามจะตามแต่ผู้หญิงคนเดียว เห็นว่าเป็นแอร์โฮสเตส บินไปไหนไกลหน่อย หรือนานเข้านิด น้องเธอก็รีบแจ้นตามไป แบบนี้จะพูดอย่างไรก็ไม่ฟังกันแน่ๆ ปล่อยไปละกัน ตราบใดที่ยังดูหวาดๆ อยู่แบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องห่วงว่าหล่อนจะเป็นไส้ศึกเข้ามาบ่อนทำลายภายในบ้าน



................................



[---]ณ ห้องหนึ่งฝั่งขวา.... คนเจ็บมีอาการดีขึ้น แต่ว่ายังคงหลับไม่ได้สติตอนชญานิลเดินเข้าไปหา คุณบีหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ หน้าหล่อนดูมีเลือดฟาดขึ้นมาเล็กน้อย ริมฝีปากนั้นเปลี่ยนจากขาวขุ่นกลายเป็นชมพูอ่อน เธอไล้นิ้วไปตามไรผมปัดมันออกอย่างเบามือ



[---]“ถ้าพี่บีอยู่ด้วยตอนนี้ นิลคงไม่กังวลอะไร รีบๆ หายนะคะ” ชญานิลก้มลงกระซิบข้างแก้มคนป่วย เธอไม่ชินกับการพูดแบบนี้สักเท่าไหร่ แม้อยากจะพูดก็เถอะ ความเขินมันไม่เข้าใครออกใครนี่นา นี่ก็มีโอกาสแล้ว ตอนหล่อนหลับยังไงล่ะ ถ้าเป็นเวลาปกติ หล่อนอาจหันมาทำตาโปน เพราะตกใจที่เธอเรียกซะสนิทชิดเชื้อ แต่ก็นะ หล่อนก็เหมือนพี่สาวที่เธอเคารพไม่ต่างจากคนในสายเลือดเลย



[---]“วันนี้ฉันต้องไปคนเดียวด้วยสิ ให้แม่พี่ตามไปกับพ่อฉันจะดีกว่า มีนัทด้วยอีกคน” เธอรู้สึกเหมือนพูดอยู่คนเดียว



[---]ก็ทุกครั้งคุณบีจะคอยรับฟังสิ่งที่เธอต้องการจะปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ยันเรื่องคอขาดบาดตาย หล่อนช่วยแนะทางให้เธอเลือกเสมอ อยากให้รีบตื่นเร็วๆ จัง



[---]“งั้นฉันไปก่อนนะ พักผ่อนให้สบาย เดี๋ยวฟื้นแล้วจะเล่าให้ฟังนะคะ” เธอ พูดหลายๆ สิ่งพร้อมกับสถานการณ์วันนี้ เล่าเหมือนว่าคุณบียังคงตื่น อีกทั้งยังจินตนาการออกว่าหล่อนจะพูดว่าอะไร แนะนำอย่างไร คล้ายๆ กับว่าพูดเองเออเองนั่นแหละ ก็นะ หล่อนอยู่กับเธอมาตั้งแต่เด็ก พอจะเดาได้ว่าคุณบีจะเอ่ยอะไรบ้าง



................................



[---]ชญานิลเดินออกมาจากห้องพักชั่วคราวของคุณบี หันกลับไปสั่งแม่บ้านให้กลับไปเฝ้าดูอย่าให้ขาดสายตา ถ้าหล่อนเกิดเป็นอะไรขึ้นมาให้รีบตามหมอในทันที แต่อาการดีขึ้นเร็ววันแบบนี้ค่อยหายห่วงมาหน่อย คุณบีสัญญาแล้วนี่นะ ว่าจะยังไม่ตาย และถ้าคุณบีฟื้นทัน มากับเธอด้วย คงมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง....



[---]‘ไม่เผื่อคนคุ้มกันอีกหน่อยเหรอลูก’ ชาญถามลูกสาวที่นั่งนึกถึงความเป็นไปได้อยู่



[---]‘นั่นสิ คุณหนูจะฝ่าเข้าไปได้ยังไง’ คุณเอเสริมขึ้น



[---]‘ไม่ค่ะ นิลขอมือดีที่สุดสิบคน รวมคนรถติดตามด้วยแล้ว’ เธอยืนยันคำเดิม



[---]‘แต่ว่า....’ ทั้งสองคนรีบเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน



[---]‘เท่านี้จริงๆ ค่ะ รถสามคันกับคนสิบคน ถ้ามากไปกว่านั้นอาจเป็นที่สังเกต’ เธอคิด



[---]‘เรื่องรถก็ด้วย พ่อห่วง’ ชาญยกฝ่ามือขึ้นกุมขมับ เหมือนคิดไม่ตกว่านั่นเป็นแผนการที่ดีแล้วจริงเหรอ



[---]‘แบบนั้นดีแล้วค่ะ’ เธอตอบอย่างมั่นใจแล้วขอตัวออกมาจากวงสนทนาโดยไม่มีการเอ่ยคำอำลาใดใด



................................



[---]ครั้งนี้ถ้าพลาด ก็ไม่มีครั้งหน้าให้แก้ตัวแล้วล่ะ คำลามีไว้สำหรับคนที่คิดว่าจะไม่เจอกันอีก แต่ลางสังหรณ์เธอไม่ได้บอกเช่นนั้น เธอจะกลับมาเจอพวกเขาพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขไปพร้อมกัน



[---]รอก่อนเถิด อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี่แล้ว แค่ในตอนนี้เท่านั้นที่พวกเราต้องแยกย้ายกันไปคนละที่ละทาง แต่อีกไม่นานพวกเราจะต้องเจอกันใหม่



[---]เหลืออีกสองชั่วโมงก่อนล้อรถจะหมุนตามเวลาที่นัดหมาย ชญานิลเลือกรถธรรมดาที่ดูไม่โดดเด่นอะไร แถมสองในสามยังเป็นรถที่ไม่ติดกระจกกันกระสุน ก็แน่ล่ะ ขืนติดไปใครก็รู้ว่ารถศัตรูเหยียบเข้าไปในถิ่น ส่วนเธอก็เลือกปลอมตัวเป็นคนธรรมดานั่งรถที่ไม่มีกระจกกันกระสุนนั่นล่ะ



[---]ดวงคนเราจะตาย มันก็คงจะตายล่ะว้า และถ้าพลาดก็ไม่ต่างจากย่นระยะเวลาตายให้เร็วขึ้น ฉะนั้น เรามาแข่งดวงกันสักตั้งนะ ฉันไม่แพ้พวกมันหรอก



[---]คุณหนูของบ้านวางมือลงบนโต๊ะหนังสือ ตัวที่แม่เธอชอบนั่งเมื่อนานมาแล้วในห้องสมุดขนาดย่อมซึ่งไม่มีอะไรผิดแผกไปจากเดิมเมื่อหลายปีก่อน เป็นยังไงก็อย่างนั้น แม้จะอยู่คนเดียวในห้อง หากมันอบอุ่น กี่หน้ากระดาษของหนังสือที่เย็นชืดพวกนี้ เธอกลับรู้สึกว่ามันเหมือนเตาผิงอุ่นสบายเมื่อยามอากาศหนาวเหน็บ ต้องที่แห่งนี้เท่านั้น รู้สึกเหมือนกับแม่มานั่งอ่านนิทานให้ฟังจนเธอผลอยหลับไป



[---]ชญานิลปิดเปลือกตาลงเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอ ค่อยๆ เอนตัวลงบนฟูกกับหมอนใบใหญ่ขนาดเท่าตัวคน อยู่ในมุมๆ หนึ่งของห้องกว้างใหญ่นี้ พลันหูก็แว่วได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา คิดว่าเป็นแม่บ้านเข้ามาเหมือนปกติ ถ้าเกิดเห็นเธอคงจะออกไปรอหน้าห้อง เธอจึงเลือกปิดตาสบายๆ อยู่ที่เก่า



[---]‘พี่นัทพอแล้ว’ เสียงแว่วเบาๆ เล็ดรอดออกมาจากอีกมุมซึ่งห่างไกลจากเธอพอสมควร



[---]ชญานิลขมวดคิ้ว ลุกขึ้นมานั่งกอดอกอยู่ที่เก่า พวกนั้นแน่ๆ น่าหงุดหงิดเสียจริง นี่ถ้าผ่านวันนี้ไปได้ ต้องมีการเตือนเสียหน่อยแล้วว่าห้ามพาคุณแฟนเดินเข้ามาในห้องนี้....เขตหวงห้ามส่วนตัวของเธอ อันหลังนี้คิดมาเอง เธอแอบหวงห้องนี้แต่ไม่มีใครรู้ จะรู้ก็แค่ต้องจัดให้มันอยู่ที่เดิม ห้ามมีอะไรเปลี่ยนแปลง



[---]‘อีกตั้งสองอาทิตย์กว่าจะได้เจอภัสอีก ขอกอดให้หายคิดถึงหน่อยครับ’ อะไรมันจะหวานปานนั้น เธอคิด



[---]‘อย่า....โอ๊ย’ เอาอีกละ น่าเบื่อซะจริง เดินไปไล่เลยดีมั้ย



[---]และก่อนที่เธอจะได้ทำดังที่คิด ก็มีบางอย่างเหมือนแช่แข็งตัวเธอให้หยุดนิ่ง รอให้พวกนั้นออกไปเองจะดีกว่า



[---]ไม่ใช่อะไรหรอก ชญานิลไม่อยากออกไปตอนนี้ก็เท่านั้น แม้อยากไล่ใจจะขาด เพราะเสียงที่เธอได้ยินต่อจากนั้น มันไม่ควรจะได้ยินในที่นี้เลย



[---]ตึก ตึก ตึก เสียงโต๊ะกระแทกกับผนังดังเป็นจังหวะ แรงและถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเธอต้องกำมือแน่น อยากฉีกน้องชายตัวเองซะตอนนี้ แต่เอาไว้ก่อน ค่อยหาโอกาสพูดหลังจากนี้ก็ไม่เสียหาย



[---]วันนี้ชญานิลไม่อยากหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ มันน่าเบื่อเหลือเกิน อุตส่าห์หามุมสงบๆ ดันมาเจอเข้ากับชานัทและแฟนสาวเข้าจนได้



[---]‘นางฟ้าของผม’ ชญานิลได้ยินน้องชายพูดกระเส่าพร้อมกับเสียงเขยื้อนโต๊ะที่หยุดลงได้สักที เธอเกือบจะหลับรอไปแล้วด้วยซ้ำ นานกว่านี้เห็นทีจะต้องออกไปไล่



[---]‘วันนี้พี่ไม่ได้ไปส่งนะครับ แล้วพี่จะโทรหา’ สักครู่เธอเดาได้ว่าเขาเดินออกห้องไป



[---]ไปๆ กันได้สักที พรุ่งนี้คงจะต้องเอาป้ายมาติด ห้ามชานัทเข้าห้องนี้ จากชญานิล ติดป้ายแบบนี้แหละ แค่นี้ก็เป็นห้องแสนสงบได้สักที ชญานิลเดินกอดอกอย่างไม่พอใจเบี่ยงตัวหลบชั้นหนังสือที่วางขวางอยู่ แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังทางออก หากไม่ได้ยินเสียงรบกวนอีกครั้งเสียก่อน



[---]‘ฮือ....’ คิดว่าเป็นเสียงร้องไห้ เพียงแต่มันเบามาก เบามากเหลือเกิน ใครกันมาร้องเอาวันนี้ เสียฤกษ์งามยามดีหมด เดี๋ยวก็ตบให้ฟันร่วงหรอก แม่บ้านใช่มั้ย ไล่ออกสถานเดียว



[---]“หยุดร้องเดี๋ยวนี้นะ” เธอสั่งก่อนที่จะเดินไปถึงเสียงต้นตอ



[---]“....” บุคคลปริศนาเงียบลงแล้ว ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปเห็น จะเรียกว่าเห็นก็ใช่ ชญานิลเลื่อนชั้นวางหนังสือออก เธอแอบตกใจเล็กน้อยกับคนที่นั่งฟูมฟายอยู่



[---]“กลับไปได้ละ ห้ามเข้ามาในห้องนี้อีก” เธอเอ่ยเสียงราบเรียบ พลางเบือนหน้าไปอีกทาง



[---]ถ้าจำไม่ผิดนี่มันแฟนสาวของน้องชายเธอนี่ ไม่ได้ออกไปด้วยกันหรอกรึ แล้วก็รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยสักทีสิยะ น่ารำคาญมาฟูมฟายหาอะไรตอนนี้ ถ้าไม่คิดว่าชานัทหลงจนหน้ามืด เธอคงสั่งคนมาลากยัยนี่ไปเก็บ เอาไปไหนก็ไป รกหูรกตา



[---]ยังอีก ยังไม่ยอมขยับอะไร จากที่เห็นในหางตาเธอ หล่อนค่อยๆ ลุกขึ้นปาดน้ำตาออกอย่างเสียไม่ได้ ดวงตาแดงก่ำยังกะไปตกนรกขุมไหนมา เมื่อกี้บนโต๊ะอาหารยังเห็นหวานกันอยู่ เมื่อครู่ก็ด้วย ตกลงมาจากสวรรค์รึยังไงกันมิทราบ



[---]“คุณพี่ชญานิล” ด้วยน้ำเสียงสั่นไหว แต่ไหงมาเรียกซะเต็มยศขนาดนี้ยะ



[---]“ฉันไม่มีเวลามาพูดอะไรกับเธอ ออกไปได้แล้ว” ถึงเป็นแฟนน้องชายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องเกรงใจ ชญานิลเลยหันไปออกแรงกระชากแขนหล่อนให้เคลื่อนไหวตามเธอ เพื่อให้พ้นจากห้องนี้



[---]“อะ โอย” แต่สภาพเศร้าโศกมากมายนั้นทำให้หล่อนเดินตามเธอได้ไม่กี่ก้าว



[---]“อะไรนักหนา” เธอพยามอดกลั้นไม่เรียกยามออกมาลากเอาไปทิ้ง แล้วเปลี่ยนเป็นกอดอกดูอีกคนที่ล้มลงกับพื้น



[---]“ให้พี่นัทปล่อยฉันไป ฉันขอร้อง ช่วยฉันด้วย” พูดจบนางก็เริ่มฟูมฟายก้มลงกับพื้นเหมือนจะกราบกรานเธอก็ไม่ปาน



[---]“น้องฉันรักเธอขนาดนั้น ผู้หญิงอื่นมันก็ไม่มอง นี่ยังไม่เป็นบุญหัวเธอหรอกเหรอ” ชญานิลเบี่ยงเท้าหลบ แต่ก็ไม่พ้น หล่อนคว้าเอาไว้ได้ แถมยังเอาหน้าผากอาบน้ำตามาเปื้อนใส่เท้าเธออีก



[---]“ฉันไม่ได้.... ได้โปรด” นางเหมือนจะบอกว่านางไม่รักชานัทแต่ก็พูดไม่ได้เต็มปาก ใจหนึ่งคงรัก แต่ใจที่อยากหนีมีมากกว่างั้นสิ ชิชะ มีสิทธิ์อะไรมาอ้อนวอนกับเธอ นู้น!! ไปบอกน้องเธอนู้น ถ้าชานัทเบื่อคงเขี่ยทิ้งเอง แต่ก็นะ รายนั้นยากที่จะเปลี่ยน ตามยัยนี่มานานแรมปี แถมยังจะหมายหมั้นปั้นมือให้เป็นสะใภ้ของบ้านให้ได้



[---]“เธอจะบอกว่าไม่ได้รักน้องฉัน” ชญานิลทำเสียงแข็ง ก้มลงมองคนที่หมอบอยู่เบื้องล่าง



[---]“เปล่า ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” หล่อนยังคงร้องไห้ตอบกลับมาด้วยเสียงสั่นเครือเจือหวาดหวั่น



[---]“แล้วทำไมถึงต้องมาขอร้องฉันแบบนี้” คราวนี้ชญานิลจิกหัวนางขึ้นมาเพื่อให้เห็นแววตานั่นว่าจะโกหกหรือปิดซ่อนความจริงอะไรไว้รึเปล่า ยัยนี่ต้องการอะไรกันแน่



[---]“ให้พี่นัทปล่อยฉันไป ช่วยฉันด้วย” นางพนมมืออ้อนวอนเธอด้วยสายตาสั่นระริก พลันสายตาอันว่องไวของเธอก็กวาดไปเห็นรอยช้ำบางอย่างบนผิวเนียนๆ นั่น



[---]“ฉันไม่ได้อะไร ทำไมฉันต้องช่วยเธอ” ชญานิลยังคงจ้องด้วยดวงตานิ่งงันเข้าไปในแววตาหวาดหวั่นนั่น



[---]“ให้ฉันทำอะไรก็ได้ ได้โปรด” ยังคงไมมีคำตอบที่แน่ชัดว่าหล่อนต้องการอะไร แต่แววตานั่นไม่โกหกแน่ๆ เธอรู้ดี ยัยนี่แค่ต้องการออกจากชานัทให้ได้ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร ความรักน่ะรึ มีแต่ไม่มากพอให้ทนอยู่ต่อ ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรทำไมเธอต้องช่วย ช่วยแล้วน้องชายของเธอต้องเสียใจ มันคุ้มกันหรือไม่นั้น ยังคิดไม่ออกหรอก



[---]ชญานิลเชยคางหล่อนขึ้นบิดหน้าไปทางซ้ายที ขวาที ไม่นานก็เอื้อมมือลงไปจับตรงอกทั้งสองข้าง พร้อมกับสำรวจหน้าท้องที่ไร้ที่ติ ทำเอาคนฟูมฟายหยุดร้องแล้วผงะออก แต่ยังมีสติพอไม่หลบเธอไปไหน



[---]“ถ้าเอาเธอไปขายคงได้ราคาดี.... ฉันเสนอทางออกให้แล้ว เอามั้ยล่ะ” เป็นคำถามที่ส่งผลกระทบต่อคนฟังจนใจหาย สีหน้าหล่อนสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แววตานั่นหมดหวัง ราวกับเทียนเล่มสุดท้ายในถ้ำที่ไร้ทางออกดับลง



[---]“....” คนฟูมฟายนั่งก้มหน้านิ่ง เงียบงัน น้ำตาไหลออกเป็นเขื่อนแตก ทว่าไร้เสียงสั่นเครือใดใด ใช่แล้วแบบนี้ คงไม่คิดว่าจะหนีไปไหนรอดแล้วสินะ แค่คำพูดหลอกๆ ของเธอยังทำเอาหมดหวังได้ขนาดนี้ สงสัยหล่อนคงยอมตายดีกว่าอยู่ต่อ หึหึ



[---]“ว่ายังไง อย่าเงียบสิ ฉันไม่มีเวลามากนะ” เธอเร่งจะเอาคำตอบ ก็รู้อยู่ว่ายัยนี่หมดทางเลือก แต่ก็ยังอยากเห็นว่าหล่อนจะทำยังไงต่อท่ามกลางความกดดันนี้ ปฏิเสธเธอแล้วหันกลับไปเลือกชานัท หรือจะยอมไปตายเอาดาบหน้า



[---]“....” เงียบ



[---]“เรื่องมากจริง” ชญานิลชักรำคาญ นั่งน้ำตารั่วอยู่ได้ เลือกๆ มาให้มันจบๆ เธอจะได้เตรียมตัวออกบ้านเสียที



[---]ชักจะหมดความอดทนกับการมองดูคนตรงหน้า เธอจึงกระชากหล่อนเข้ามาใกล้ๆ ฉีกเสื้อตัวบางนั่นออกด้วยการกระตุกกระดุมที่เย็บไว้ออก หล่อนไม่คิดจะปัดป้องอันใด นั่งนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง



[---]แต่แล้ว ชะอูย.... แอบตกใจกับสิ่งที่เห็น นึกว่าจะช้ำเป็นบางจุด ไม่ใช่อย่างที่คิดสักเท่าไหร่ มีรอยจ้ำๆ หลายที่อยู่เหมือนกัน สงสัยน้องเธอจะทนความคิดถึงยัยนี่ไม่ไหว เก็บกดมาจากไหนกันแน่เนี่ย



[---]“แล้วแต่คุณพี่ชญานิลจะพาไปค่ะ” หล่อนเอ่ยออกมาในที่สุด พร้อมกับมือที่ปาดน้ำตาออก แววตากลับมานิ่งงันแบบคนที่พร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ คงไม่มีอะไรให้เสียไปมากกว่านี้แล้ว



[---]“ไม่นึกว่าจะช้ำขนาดนี้” เธอดึงเสื้อออกเบาๆ พลางสำรวจด้านหลัง อ่อ ยังดีหน่อยที่ไม่มีรอยมาก พลันนึกสงสัยเลื่อนกระโปรงพริ้วนั่นขึ้นก็พบกับความช้ำที่ขาขาวอ่อนนั่น เป็นรักแท้ที่รุนแรงอะไรเสียจริง เหมือนเธอจะรู้สึกสงสารเล็กน้อย



[---]“ทำไมไม่ห้ามล่ะ นัทมันออกจะเชื่อเธอ” ชญานิลสงสัย แค่แม่นี่สั่ง ชานัทก็พร้อมจะทำตามทุกอย่าง



[---]“ฉะ ฉันกลัว....” แล้วหล่อนก็สะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง



[---]เฮ้อ.... คงกำลังคิดแน่ๆ ว่าพวกเธอเป็นมาเฟียโหดร้าย อันตราย เป็นสิ่งที่น่าสะพรึง เอ่อ....คุณน้องคะ นั่นมันสมัยไหนละ ถ้าเป็นพวกศัตรูเธอล่ะก็ไม่แน่ แต่นี่เธอแทบจะเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นสีเทา ไม่ใช่สีดำอย่างแต่ก่อน ถึงสีเทาจะดูไม่สวย ไม่ดี เลวร้ายในสายตาใครต่อใคร แต่มันก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนหรือความทุกข์ให้กับใครมากมายนัก คิดว่าเป็นแบบนั้นอ่านะ



[---]“ฉันจะพยามบอกนัทให้แล้วกัน” เธอหยิบเสื้อใส่คืนให้หล่อนตามปกติ แล้วยกผ้าคลุมไหล่สีน้ำเงินเข้มของตัวเองวางพาดให้ปกปิด เสื้อที่ไม่พร้อมจะใส่นั่น



[---]“แล้วพี่จะเอาฉันไปขายที่ไหนคะ” หล่อนพูดหากแต่ไม่สบตา กลับจ้องลงกลับพื้น เหมือนกำลังพยามทำใจว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง



[---]“นั่นสิ เธออยากไปที่ไหนล่ะ” ชญานิลไม่คิดว่าหล่อนจะเชื่ออะไรขนาดนั้น นี่เธอดูเลวร้ายสุดๆ เลยนะเนี่ย แกล้งหน่อยเป็นไรไป



[---]“ฆ่าฉันเถิด....” หล่อนสะอื้น



[---]โถๆๆ อะไรจะซื่อปานนั้นนี่ขนาดพูดว่าจะช่วยแล้วนะ ยังมองเธอในแง่ร้ายอยู่ เดี๋ยวก็ไม่ช่วยมันซะเลย ปล่อยน้องเธอหาความสุขกับหล่อนไปจนกว่าจะเบื่อนี่แหละ ชิ



[---]“เอ้า อยากตายขึ้นมาซะงั้น....ไปๆ ลุกขึ้นไปล้างเนื้อล้างตัว แล้วก็ไม่ต้องมาฟูมฟายให้เห็นอีกนะ” เธอพูดแล้วลุกขึ้นเดิน ตรงข้ามกับอีกคนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมมองเธอเดินไปได้สามก้าว



[---]“เร็ว ลุกมาซี่ อย่าให้เรียกซ้ำนะ” ชญานิลออกคำสั่ง หล่อนรีบลุกโดยไว แล้วเดินตามคุณหนูของบ้านไปยังที่แห่งใดไม่อาจรู้....

................................