หนี ตอนที่16



[---]ไม่มีวันยกโทษให้เธอ....



[---]ธนิตาปิดตาแน่น หากตายลงในวันนี้ แรงอาฆาตจะส่งผลให้เธอไม่หลุดพ้นจากกงกรรมกงเกวียนนี้เป็นแน่ ไปทำอะไรให้ตอนไหน



[---]นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ฉันไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดนั้น ดูฉันสิ แรงจะลุกยังไม่มี น่าสมเพชเวทนากับร่างกายนี้เหลือเกิน



[---]ก่อนที่ดวงตาจะปิดลง เหมือนเป็นหมอของบ้านเดินเข้ามาดูอาการเธอ เขานำยาใส่ถาดมาให้พร้อมกับน้ำดื่ม ปรับสายระโยงระยางที่เกี่ยวอยู่กับตัวเธอ หันไปสั่งแม่บ้านว่าให้เฝ้าอย่างใกล้ชิด



[---]ไม่ต้องรักษาฉันแล้วก็ได้ ใจอยากบอกออกไปแบบนี้เหลือเกิน ฉันเหนื่อยน่ะ เธอเกือบจะขย้อนเอายาที่พึ่งถูกป้อนออกมา แต่กลัวว่าจะถูกกรอกยาเข้าปากใหม่



[---]ยังไงพวกนี้ก็บังคับเธอกินจนได้ แม่บ้านตักข้าวต้มป้อนเข้าปาก คำเล็กไปบ้าง คำใหญ่ล้นไปบ้าง หล่อนไม่ได้สังเกตถี่ถ้วนขนาดนั้น เมื่ออาหารจานเล็กๆ นั่นหมดลง เธอก็โดนกรอกยาเข้าปากอีกจำนวนหนึ่ง



[---]รู้สึกดีขึ้นมาบ้างที่อาหารและน้ำตกถึงท้อง ทว่าความเจ็บปวดทางกายมันไม่หายไปง่ายๆ เธอช้ำไปทั้งตัว นอนตะแคงยังรู้สึกถึงใบหน้าปูดบวม ขยับเพียงนิดก็ปวดกระดูกขา



[---]อยากลุกไปไหนมาไหนก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจนึก หล่อนคงกลัวเธอหนี เลยสั่งให้เอาโซ่เส้นเล็กๆ มัดขาติดกับเตียง มันจะดีกว่านี้ถ้าโซ่ไม่บาดข้อเท้าซ้ำรอยเดิม



[---]เมื่อย้อนนึกไปถึงผู้หญิงใจร้ายคนนั้น เธอกลับรู้สึกหวาดหวั่นน้อยลงไปบ้าง ใช่เพียงน้ำแก้วนั้นซึ่งนางจงใจเอามาป้อน เป็นแววตาแห่งความสงสาร



[---]แต่ไม่นานมันกลับดูโชติช่วงไปด้วยเพลิงร้อนแผดเผา เพราะอะไรกัน คำขอโทษไม่ได้ช่วยอะไรเลย เรื่องราวที่ผ่านมามันเป็นยังไง เธอเป็นคนแบบไหนกันแน่....



................................



[---]เช้าตรู่ของอีกวัน



[---]รู้สึกว่าร่างกายที่ร้อนผ่าวค่อยๆ จางลงไปบ้าง เรี่ยวแรงกลับมาทีละนิด เธอลุกขึ้นกินข้าวกินยาเองได้แล้ว เพียงแต่ยังเกร็งๆ ที่แม่บ้านคนเดิมนั่งเฝ้าเธอจนกว่าจะกินหมด



[---]“คุณป้าทำงานที่นี่มานานรึยังคะ” เอ่ยถามอย่างมีมารยาท ไม่ได้อยากรู้อะไรมากมาย แต่มันก็แปลกๆ ถ้าไม่ชวนหล่อนคุย



[---]“ไม่มีคำสั่งให้ฉันพูดกับคุณค่ะ” หล่อนตอบมาแบบนั้น ไปไม่ถูกเลยทีเดียว แค่ถามเล็กๆ น้อยๆ ยังจะต้องสั่งให้พูดหรือไม่ให้พูด มันจะโหดร้ายอะไรขนาดนั้น



[---]“อ่อ....ค่ะ ไม่เป็นไร หนูแค่เหงา ไม่ได้คุยกับใครเลย” เธอพูดแล้วตักข้าวต้มจืดๆ เข้าปาก



[---]“วันนี้หนาวเป็นพิเศษนะคะ บ้านหลังนี้เก็บความเย็นดีเหลือเกิน คุณป้าไปทำอย่างอื่นได้นะคะ หนูไม่หนีไปไหนหรอก โซ่ก็มัดอยู่” เธอพูดอยู่กับหุ่นขี้ผึ้งแน่ๆ ต่างก็แต่แววตาหล่อนกรอกไปมา ราวกับว่าฟังเรื่องที่เธอพูด แต่ไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาสักคำ



[---]“อยู่ที่นี่คงสบาย ห้องกว้างขวางดี แต่ทำความสะอาดคงเหนื่อยน่าดู เก่งเหมือนกัน ฝุ่นสักนิดก็ยังไม่มี” ราวกับว่าจะเห็นแววตาเอ็นดูปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย



[---]“ขอบคุณนะคะ อร่อยมากเลย” เธอส่งจานว่างเปล่าให้คุณป้า หล่อนรับแก้วยากับจานอาหาร แล้วเดินออกห้องไป เปลี่ยนเวรกับแม่บ้านอีกคน ซึ่งนั่งเฝ้าอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ไกลจากการทำความรู้จักหรือสนทนาพูดคุยด้วย คนพวกนี้คงถูกจ้างให้ทำแต่งาน วันๆ ไม่พูดอะไรเลยสักนิด



................................



[---]กริ้งๆ เสียงโซ่กระทบกับเตียงเบาๆ ธนิตาขยับตัวเล็กน้อย เท่านั้นก็ทำให้แม่บ้านหันหน้ามาทางเตียงนอน เธอจึงค่อยๆ พลิกตัวเอนไปอีกทาง ดูเหมือนว่าจะเป็นเวลาหลังอาหารเท่านั้นที่เธอจะสามารถร้องขอไปเข้าห้องน้ำได้ และก็หลังมื้อเย็นที่จะได้อาบน้ำสบายๆ หากแต่ไม่มีแม่บ้านคนที่เธอคุยด้วยยืนเฝ้าในห้องน้ำ



[---]บ้านหลังนี้ออกจะใหญ่โต ไม่มีทางที่จะออกไปได้ง่ายๆ ทำไมต้องกลัวขนาดนั้น อีกอย่างเธอยังไม่คิดจะออกไปไหน ไม่ใช่เพราะไม่อยากไป แต่มันไม่มีโอกาสนั้นต่างหากล่ะ



[---]สี่วันผ่านมาแล้ว จะว่าเร็วก็เร็ว เพราะเท่าที่ร่างกายเธอทำได้ก็คงมีแต่หลับอยู่บนเตียง กินกับนอน และก็เข้าห้องน้ำเป็นเวลา ไม่มีครั้งไหนที่ได้ทำอะไรนอกเหนือไปจากนี้



[---]ผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นไม่มาหาเธออีกนับตั้งแต่วันที่เธอขอโทษหล่อนไป แอบได้ยินเสียงรถเลื่อนออกไป หล่อนน่าจะไปจากบ้านหลังนี้ได้หลายวันแล้ว แต่คำสั่งทุกอย่างที่หล่อนเอ่ยออกมายังคงเดิม เธอยังไม่ได้ไปไหนนอกจากพื้นที่ในห้องๆ นี้



................................



[---]แทบอ้วกกับการนั่งรถมาเป็นเวลานาน ชญานิลกลับมาบ้านด้วยความอิดโรย ไหนยังจะพกพาผ้าก๊อซชิ้นเล็กๆ แปะอยู่บนหัวอีก เธอมุ่งตรงไปยังห้องซึ่งคุณบีใช้พักชั่วคราว



[---]แต่เมื่อมาถึงกลับพบความว่างเปล่าของห้อง นี่ยังไม่หายดีจะรีบลุกเดินไปไหนมาไหนทำไมน๊า เธอเปลี่ยนเป็นเดินอ้อมไปอีกทาง คิดว่าคุณบีอาจจะอยู่ห้องของหล่อนเองก็ได้ ทว่าก็ไม่พบ



[---]“คุณบีอยู่ไหน” ถามแม่บ้านคนที่สั่งให้คอยดูแล



[---]“คุณบีออกไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ” หล่อนเอ่ย



[---]“แล้วทำไมไม่บอกฉัน” เธอหงุดหงิดเล็กๆ คนป่วยพึ่งหายแท้ๆ จะรีบออกไปไหน แล้วยัยคนนี้ก็ไม่แจ้งเธอสักหน่อยเหร้อออ จะไปว่าหล่อนอีกก็คงไม่ได้ คาดว่าคุณบีเองแหละที่ไม่ให้บอก



[---]วันนี้พอก่อนกับการเดินทางไปไหนมาไหน เธอจึงมุ่งหน้าไปห้องสุดแสนน่ารักซึ่งรอคอยเธอกลับมาทิ้งตัวลงนอน



[---]อ่า ช่างมีความสุขเหลือเกิน ชญานิลเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมเส้นผมที่แห้งพอหมาดๆ



[---]เธอกระโจนตัวลงบนที่นอนนุ่มนิ่ม แหวกว่ายไปบนผ้าห่มผืนหนา กอดตุ๊กตาตัวเก่าดิ้นไปมาอยู่คนเดียว



[---]นานมาแล้วที่ไม่ได้นอนหลับอย่างสงบเท่านี้มาก่อน แล้วก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าเธอจะโทรหาคุณบีอยู่พอดี เพราะคุณชาญ กับชานัทจะกลับมาบ้านในวันรุ่งขึ้น ทุกคนจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ฉลองกับความสำเร็จเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่



[---]แค่เพียงวันเดียวก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเริ่มภารกิจใหม่ๆ ตัวเธอเองนั้นมีกำหนดการไปต่างจังหวัดหลายวัน แต่นึกๆ แล้วก็ขี้เกียจ ธุระแค่ไปเจรจากับนายทุนข้ามชาติไม่กี่คน เธออาจวานให้ชานัทไปแทนก็ได้ ถ้าเขาไมคิดหลบหนีไปตามหาแม่หวานใจนภัสเสียก่อน เอาไว้พรุ่งนี้เจอกันค่อยคิด



[---]“คุณบี อยู่ไหนแล้ว” ชญานิลเอ่ยถามอย่างสบายอารมณ์ พร้อมกับหันไปมองรูปถ่ายซึ่งมีครอบครัวเธอกับครอบครัวคุณบีถ่ายข้างๆ กันเมื่อนานมาแล้ว ชญานิลยังตัวเล็กอยู่เลยในตอนนั้น



[---]“กำลังจะถึงบ้านหินผาค่ะ” หล่อนตอบกลับมา ทำเอาตัวชา ก็จะเรื่องอะไรน่ะรึ....



[---]ดันลืมบอกเรื่องที่ว่ามีตัวประกันคนสำคัญอยู่ในบ้านหลังนั้นด้วย ถ้าคุณบีเจอหล่อนจะพลั้งมือรุนแรงแบบที่เธอทำหรือป่าวน้อ ช่างเถอะ แล้วแต่คุณบีก็แล้วกัน เธอบอกเรื่องสำคัญก่อนดีกว่า



[---]“พรุ่งนี้ทุกคนจะกลับมาบ้านพร้อมหน้า ถ้ากลับมาทันก็กลับมานะคะ” เธอบอก



[---]“ไม่น่าทันนะ นึกว่าคุณหนูจะอยู่ที่บ้านหินผา งั้นรวดพักที่นี่สักหน่อยก็แล้วกันนะ ฝากบอกแม่ให้ที ฉันหายดีแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง” หล่อนคงจะสวนทางกับเธอแน่ๆ เป็นเพราะไม่ได้สอบถามกันก่อน ไม่เป็นไร เพราะคุณบียังคงต้องการเวลาฟื้นตัวอีกสักหน่อยก่อนจะกลับมาช่วยงานเธอ นี่หล่อนก็แอบลุกขึ้นมาเดินทาง ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลา



[---]“เอ่อ ถ้าเจอใครที่นั่น อย่าพลั้งมือฆ่าไปก่อนล่ะ” ชญานิลพูดเป็นเชิงบอกกล่าวกึ่งคำสั่ง ก่อนที่สัญญาณขาดๆ หายๆ ได้ตัดไป คาดว่าคงเข้าไปในเขตบริเวณรอบตัวบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หล่อนน่าจะได้ยินทุกคำพูดเธอล่ะนะ หวังว่า



................................



[---]ชญานิลทิ้งตัวลงบนที่นอน หมายจะปิดตาพักผ่อน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร เธอกลับรู้สึกนอนไม่หลับเอาเสียเลย เป็นไปได้มั้ยว่าคุณบีอาจฆ่าแม่นั่นไปแล้ว โถ่.... แล้วโอกาสแก้แค้นแบบสะใจสุดๆ ของเธอก็จบกัน



[---]เธอนอนดิ้นอยู่พักใหญ่ ก็ลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมสีเข้มโทนมืดมนออกมาปิดทับเสื้อกล้ามตัวน้อยลายแมวสีชมพูวุ้งวิ้ง เดินออกมาจากห้องพัก มุ่งหน้าไปทางห้องอาหาร



[---]เดิมทีหมายจะตั้งหน้าตั้งตากินอะไรเล็กน้อยสักจานก่อนนอน หากแต่จะทำอย่างนั้นคงไม่ได้ เพราะมีเรื่องให้เธอต้องคิดอีกแล้ว ทำไมอีกน่ะรึ ถ้าไม่ใช่....



[---]ชญานิลขมวดคิ้วลง เมื่อสองตาจับจ้องไปที่คนสองคนซึ่งกำลังนั่งดื่มนมอุ่นๆ อยู่ในห้องทานอาหาร และจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากผู้ที่กำลังหันมายิ้มให้เธอ



[---]“พี่นิล....” หล่อนยิ้มเหมือนได้เจอกับแสงสว่าง เธอเป็นทางออกของปัญหาที่หล่อนกำลังประสบอยู่



[---]นภัสสรนั่นเอง มาพร้อมใครอีกคนที่หน้าตายังดูเด็กและอ่อนต่อโลก แววตานั่นก็ด้วย เพียงแต่มันฉายประกายความฉลาดบางอย่างปรากฎให้เห็น



[---]แล้วยัยนภัส หล่อนเอาเพื่อนมาบ้านฉันทำไม ไม่สมควรอย่างยิ่ง ถ้าแม่นี่รู้หรือเห็นอะไรที่ไม่ดีไม่งามเข้า เธอก็ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยนะยะ



[---]“นี่เพื่อนภัสเอง....มาริสาค่ะ แล้วนี่ก็พี่นิล” นภัสสรรีบแนะนำก่อนที่เธอจะได้ปริปากบ่น หล่อนคงรู้และเห็นความไม่พอใจบางอย่างที่เธอแสดงออกไป



[---]“สวัสดีค่ะ” เพื่อนยัยนภัสไหว้เธอ แล้วรีบแอบ ไม่ใช่สิ หล่อนแค่ขยับไปยืนเยื้องไปด้านหลังนภัสสร นี่เธอน่ากลัวขนาดนั้นเชียว ทำไมต้องทำตัวรนรานด้วยที่เห็นเธอ



[---]“มานี่ทำไม” เธอเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบผลไม้สดออกมานั่งลงตรงข้ามกับทั้งสองคน



[---]“ภัสเอ่อ....พี่นัท ให้คนมารับค่ะ ภัสเลยพาเพื่อนมาด้วย” หล่อนทำหน้าเศร้า ที่เอาเพื่อนมาด้วยก็เพราะเหตุนี้รึเนี่ย คิดว่าจะหลบชานัทได้งั้นรึ ดีไม่ดีเพื่อนหล่อนจะได้ซวยเอา ดูสิ แค่เจอเธอยังหน้าซีดแล้วซีดอีก ยังไม่ทันจะได้ว่าอะไรสักคำ



[---]“งี้นี่เอง.... ไม่ได้อยากมาใช่มั้ย” เธอหันไปถามตรงๆ



[---]“ก็....ไม่ค่ะ” นภัสสรถอนหายใจ แบบเกรงที่จะพูด



[---]ว่าแล้วต้องเป็นแบบนี้ ชานัทตัวแสบ คงจะดี๊ด๊าอยากเจอแม่นี่แทบไม่ไหว ถึงกับสั่งให้คนไปพาตัวมา แต่ถ้ามาเจอพร้อมกับเพื่อนคงจะโมโหไม่น้อย น่าปวดหัวดีแท้



[---]“ไม่ต้องกลัวฉันหรอก” เธอแอบสังเกตเห็นมาริสา วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ มือหล่อนสั่นมากกว่าปกติ อาการกลัวชัดๆ สบตาเธอยังไม่ค่อยจะมอง



[---]“สา ไม่เป็นไรนะ” นภัสหันไปดูอาการเพื่อน นี่พึ่งจะสังเกตเหรอยะ เธอเดินเข้ามา อาการยัยนี่ก็ผิดปกติไปทันที ยัยภัสเอ้ย พาเพื่อนมาไม่รู้จักดูเลย



[---]“....อื้อ” เพื่อนนภัสพยักหน้าว่าไม่เป็นอะไร ดูเป็นคนขี้ตกใจสุดๆ หล่อนหยิกแขนตัวเองไม่ให้อาการสั่นผวาลุกลามมากขึ้น



[---]“เป็นอะไรน่ะเรา” ชญานิลลดเสียงให้ดูเหมือนอ่อนโยนแล้วหันไปถามมาริสา



[---]“มะ ไม่เป็นไรค่ะ ฉะฉันแค่รู้สึกหนาวๆ” ขนาดปากยังสั่น สงสัยจะหนาวเกินไปรึป่าวนะ แปลกคนดีแท้



[---]“มองหน้าฉันสิ” เธอวางชิ้นผลไม้ลงกับจาน ชะโงกหน้าไปที่ฝั่งตรงข้าม พลันรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งคนตรงหน้า



[---]หล่อนเกร็งตัวขึ้นมา ค่อยๆ เงยหน้ามาจ้องตาเธอตรงๆ เหมือนความมั่นใจหล่อนจะหดหาย ความตาลายเข้ามาแทรก น้ำตาค่อยๆ รื้นขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



[---]“สา เกิดอะไรขึ้น” นภัสสรรีบเข้าไปเกาะกุมแขนเพื่อนเอาไว้



[---]มีแววตาความห่วงใยประหลาดผุดขึ้นเด่นชัด ชญานิลหรี่ตามองสองคนนั้นสลับกันไปมา แล้วก็ส่ายหน้า พลางคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้



[---]“ทำไม ฉันเป็นยังไงเหรอ” เธอยังจี้ถามเอาคำตอบกับมาริสา ผู้ที่สติเริ่มจะครองไว้ไม่อยู่ หล่อนเกือบร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ ไม่สิ เหมือนเด็กน้อยที่กำลังจะร้องไห้มากกว่า นั่นคงเป็นตัวตนของยัยนี่มั้ง เปลือกนอกแห่งความมั่นใจทำไมฉาบไว้ได้บางเหลือเกิน



[---]ถ้าเดาไม่ผิด เพื่อนยัยนภัสคนนี้ต้องมีปมของความกดดันสะสมเอาไว้ตั้งแต่เด็กแน่ๆ มาเจอเธอซึ่งมีรัศมีความดุแผ่กระจาย แม้ว่าจะเป็นภายนอกก็เถอะ หล่อนถึงกับอยากจะร้องไห้ออกมา



[---]ไหนยังจะสิ่งรอบตัวที่ดูน่ากลัวไปหมด ทั้งแม่บ้านพกอาวุธหลากหลาย ทั้งยามเฝ้าบ้านท่าทางโหดร้าย เฮ้อ ถึงคิดไงว่ายัยนภัสพาเพื่อนมาผิดคนจริงๆ



[---]นภัสสรเองก็เหมือนกัน ตอนแรกหล่อนก็กลัวเธออยู่หรอก แต่ไม่รู้ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นไม่กลัวไปได้ เป็นแบบนี้จะดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่กลัวก็ไม่ว่า แต่อย่าลามปามก็พอ



[---]“ฮือๆ” จนได้สินะ แม่นี่ร้องไห้ออกมาแล้ว ยังไม่ทันได้ขู่ให้สนุกสนานต่ออีกสักหน่อย กลัวจริงไรจริง



[---]“พอๆ ไม่ต้องร้องเลยนะ” วันๆ เห็นแต่คนร้องไห้ มีใครบ้างมั้ยที่หัวเราะให้เธอเห็น ชักจะเซ็งนิดๆ ละ



[---]เธอปล่อยให้นภัสสรปลอบเพื่อนอยู่สักพัก ยัยนั่นก็เงียบจนได้ ช่างสมกับเป็นเพื่อนกันจริง คนนึงเด็กน้อย อีกคนก็ตามใจ ว่าแต่เป็นเพื่อนแน่เหรอ ความห่วงใยแปลกๆ นั่นชักยังไงๆ



[---]“เดี๋ยวฉันจะให้คนขับพาไปส่ง เธอกับเพื่อนกลับไปได้” เธอบอกพลางยื่นชิ้นผลไม้ส่งให้มาริสาซึ่งรับไปแบบกล้าๆ กลัวๆ หล่อนยังคงไม่กล้าสบตาเธอจังๆ



[---]“แล้ว....” เหมือนนภัสสรยังกังวลเกี่ยวกับชานัท



[---]“ฉันจะพูดให้เอง ถ้าชานัทไปหาเธอก็ให้บอกฉัน” ชญานิลมองมาริสาที่ค่อยๆ กัดผลไม้ชิ้นนั้นราวกับมันเป็นยาพิษ หล่อนนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับที่



[---]“ขอบคุณค่ะพี่นิล”



[---]นางไหว้เธอเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ เธอก็ไม่ได้ดูดีนักหรอก ยังคงสนุกที่ได้แกล้งอีกคนมากกว่า คนอะไรขี้กลัวขนาดนั้น ชักอยากรู้จักขึ้นมาแล้วสิ



[---]“เป็นใครมาจากไหนเหรอ” เธอเอ่ยถาม



[---]“....ฉะ ฉัน” ก้มหน้าอยู่ที่เดิม ร้อนถึงเพื่อนที่พามาต้องเล่าประวัติคร่าวๆ ว่าทำงานที่ไหน แล้วก็ปิดท้ายว่าพึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ช่างสนิทกันเร็วดีแท้



[---]ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เพื่อนยัยนภัสมีดีกว่าที่คิด เห็นอย่างงี้จะกล้ารักษาคนไข้รึป่าวไม่รู้ ท่าทางหวาดระแวงนั่นอีก ไม่เคยเจอใครที่เป็นอย่างนี้มาก่อน



[---]หล่อนมีทั้งความน่าเอ็นดู และทำให้เธอรู้สึกน่าสงสารในเวลาเดียวกัน ไม่น่ามีพิษมีภัยสักเท่าไหร่ ที่เห็นแววความฉลาดนั้นอีก คงเก่งไม่เบาถ้าตัดปมด้อยตรงนี้ทิ้งไป แต่ไม่ตัดก็ดีไปอย่าง มันทำให้เธอเอ็นดูได้อย่างเหลือเชื่อ



[---]“มาทำงานกับฉันมั้ย ฉันให้สิบเท่าของที่นู่น มาเป็นบางครั้งก็ได้ ไม่ต้องประจำ” ไม่คิดว่าเธอจะกล้าเสนออะไรทำนองนี้ออกไป ใช่ว่าแพทย์ที่บ้านไม่พอเพียง แต่อยากได้ยัยนี่มาอยู่ด้วย หล่อนคงมีอะไรให้ประหลาดใจอีกไม่น้อย



[---]“มะ....ไม่ค่ะ” เสียงเริ่มจะคลายความกังวลลงไปบ้าง ก็แน่ล่ะ เธออุตส่าห์ยอมอ่อนข้อพูดนุ่มนวลด้วยเป็นกรณีพิเศษเลยนะเนี่ย ขืนตะคอกไป มันจะไม่จบเอาง่ายๆ ยัยนภัสคงได้ปลอบอีกเป็นชั่วโมง



[---]“ลองเอาเก็บไปคิดดูนะ เผื่อเธอเปลี่ยนใจ อยากมาเมื่อไหร่ก็มา เอ่อ เรื่องเงินอยากได้เท่าไหร่บอกมาได้เลย ยี่สิบเท่าก็ได้” เธอว่าพลางส่งผลไม้อีกชิ้นไปให้ หล่อนหยิบด้วยแขนที่สั่นน้อยกว่าเดิม คงจะมีสติขึ้นมาบ้างแล้ว แบบนี้ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย เธอไม่อยากถามตอบอยู่คนเดียวสักเท่าไหร่



[---]“....” หล่อนพยักหน้าหงึกๆ แหม่ ช่างกล้า เป็นคนอื่นเธอคงได้ว่าให้แล้ว แทนที่จะพูด แต่เป็นคนนี้เธอกลับหัวเราะและเริงร่ากว่าที่ตัวเองคาดไว้



[---]“กลับได้แล้ว” ชญานิลพูดกับทั้งสองแล้วรับไหว้นภัสสร พร้อมกับเพื่อนหล่อน แต่ยังไม่ละสายตาออกจากมาริสา



[---]ดูท่าจะติดนภัสสรแจ ช่างน่าอิจฉาเล็กๆ ทั้งชีวิตเธอไม่ค่อยจะมีคนแบบนี้หลงเหลือเข้ามาให้ได้ทำความรู้จักสักเท่าไหร่ ทุกคนมีแต่เรื่องเครียดๆ เรื่องที่ร้องขอ กับเรื่องที่ขอร้องให้เธอช่วย



[---]มาริสาเดินเกาะแขนนภัสต้อยๆ เหมือนว่าถ้าปล่อยแล้วจะโดนเธอยิงคำถามมากมาย ถ้ามีโอกาสได้เจออีก ก็อยากทำความรู้จักยัยนี่ให้มากขึ้นกว่านี้สักหน่อย ขอเป็นบรรยากาศส่วนตัวนะ ไม่เอาเพื่อนหล่อนมาเป็นตัวช่วย ไม่งั้นแกล้งไม่ถนัดเอาเสียเลย



[---]“เอ่อ พี่นิลคะ” นภัสหันมาถามก่อนเดินออกประตู ใบหน้าหล่อนครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่เกินคาดเดา



[---]“มีอะไรเหรอ” เธอหันไปมอง



[---]“คนนั้น....คือว่า ผู้หญิงคนนั้น....หล่อนยัง....” เหมือนลังเลที่จะถามเธอ เพราะมันไม่ใช่ปัญหาของหล่อนยังไงล่ะ



[---]ไม่อยากยุ่งสักเท่าไหร่ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ โถๆ นภัสเอ๋ย ห่วงตัวเองก่อนจะดีกว่ามั้ง นี่ยังไม่ทันได้เลิกกับชานัทอย่างเป็นทางการยังมาห่วงใยใครก็ไม่รู้อีก จะเป็นคนดีมากไปรึป่าวคะเนี่ย



[---]แต่ก็นะ บางทีนภัสสรอาจอยากทวงสัญญาเล็กๆ ที่เธอได้ให้ไว้ก็ได้ คนนั้นที่หล่อนว่ายังปลอดภัย สบายดีมากมาย



[---]อาการเจ็บป่วยหายวันหายคืน แล้วก็ยังมีลมหายใจซึ่งเธอยังไม่ได้ตัดสินใจพรากมันไปสักทียังไงล่ะ ด้วยเหตุผลบางประการที่หล่อนไม่จำเป็นต้องรู้นะคะ



[---]“ยัยธนิตาน่ะเหรอ สบายดี ยังไม่ตายง่ายๆ หรอก” เธอบอก ไม่นึกว่าอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ จะตกใจกลัวจนตัวสั่นขึ้นมาอีกรอบ



[---]โอยๆ พลาดแล้วสิเรา ดันพูดเรื่องเป็นตายออกไปจนได้ บางทีมาริสาอาจเป็นพวกไม่ชอบเห็นความตาย



[---]ก็แน่ล่ะ นางเป็นหมอนี่คะ ควรจะต้องอยากให้ทุกคนไม่เจ็บป่วย ไม่มีโรค และไม่ตายถ้าเป็นไปได้ ป่านนี้คงคิดว่าเธอเป็นคนร้ายไปซะแล้ว ดันพูดเร็วไปหน่อย



[---]เฮ้อ ดูท่าทางนั่นสิ หวาดผวาตาระริก หล่อนแอบอยู่หลังเพื่อน มือทั้งสองจับชายเสื้อนภัสสร ราวกับว่าเร่งให้กลับได้แล้ว....



[---]หึหึ ดูแล้วช่างน่าตลก นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนนภัสเธอคงพยามใช้ทุกทางเพื่อยื่นข้อเสนอแสนงามให้ เงินเท่าไหร่ว่ามาเลย ขอแค่มีคนแบบนี้อยู่ด้วย



[---]บุคลคลิกอาจขี้กลัวไปหน่อยแต่ก็ซื่อสัตย์ ทั้งจริงใจ อย่าสงสัยเลยว่าเธอรู้ได้ยังไง ก็หล่อนออกอาการมาแบบนี้ ดูไม่ยากนักหรอก สงสัยจะโกหกไม่เป็นด้วยมั้ง



[---]“ฉันทำในสิ่งที่เธอขอร้องเอาไว้....ยังมีความสุข ปลอดภัยดี รับประกันได้เลย” เธอบอกไปตามนั้น บิดเบือนไปด้วย



[---]อยากจะพูดว่ายังไม่ได้ฆ่าหรอก ก็จริงนี่นาเธอไม่ได้ฆ่าหล่อนสักกะนิด และก็ไม่คิดจะเลือกใช้คำนั้นในเวลานี้ ไม่งั้นคุณหมอคนนี้คงจะตัดสินใจยากที่จะมาร่วมงานกับเธอ



[---]“ขอบคุณค่ะพี่นิล พี่เป็นคนดี” นางทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วเดินจากไปพร้อมเพื่อนที่ดูร้อนรนเป็นพิเศษ



[---]คนดี....คำว่าคนดียังคงดังก้องไปทั่วทั้งหัวใจ หากมันจะเป็นแค่เสียงเท่านั้น คำว่าคนดีที่ใช้เรียกเธอเป็นเพียงเสียงสะท้อน ก้องไปมาอยู่ในพื้นที่แคบๆ มันไม่สามารถหลุดออกจากกรอบที่เธอขีดไว้ได้หรอก



[---]และมันจับต้องไม่ได้ อาจสัมผัสได้แต่ไม่มีอยู่จริง ความดีที่ว่าของเธอมันอยู่ไหนล่ะ หายไปแล้วหรืออย่างไร....



[---]สิ่งที่รู้สึกได้และเป็นมากกว่าเสียงสะท้อนสำหรับเธอตอนนี้ คงมีแค่ความแค้นเท่านั้น มันเป็นรูปเป็นร่างไม่ใช่เพียงเสียงก้อง และสิ่งนี้เธอจะส่งต่อไปยังคนที่หยิบยื่นมันให้กับเธอ....



................................