หนี ตอนที่10



[---]ตู้ม!!!! ๆ ๆ ๆ.... เสียงดังครึกโครมกึกก้องแหวกอากาศพุ่งตรงมากระทบกับเยื่อแก้วหูทั้งสองข้าง ชญานิลรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรงของรถที่ขับอยู่ จุดกำเนิดเสียงคงอยู่ไม่ไกลมากนัก



[---]ทางเสี่ยใหญ่คงจะลงมือแล้ว พวกนั้นไม่น่าจะพลาด แต่ถ้าพลาดขึ้นมาจริง คงเป็นทางเธอที่จะช่วยเข้าไปซ้ำ ครานี้ไม่น่าใช่การขู่ ต้องจริงจังบ้างเสียที ขืนปล่อยแบบนี้ต่อไป พรรคพวกเธอได้ล่มสลายกันพอดี



[---]ชญานิลเร่งเครื่องยนต์ขึ้นเท่าตัว จะช้าไม่ได้แล้ว แม้ว่าแรงระเบิดจะอยู่ไม่ไกล แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าพวกที่ถูกระเบิดไม่ใช่เสี่ยใหญ่เสียเอง ทางนี่ก็คดเคี้ยวเสียจริง กว่าจะไปถึงได้ก็กินเวลาซะเยอะ



[---]“พี่นิล....” มีบางคนเอ่ยชื่อเธอแหบแห้งเบาหวิวเหมือนปุยนุ่นล่องลอย



[---]“อะไร!” ชญานิลถาม คนกำลังรีบจะมาพูดอะไรเอาตอนนี้ เรียกแล้วก็ไม่ตอบ เธอจึงหันดูกระจกหลัง



[---]หล่อนชี้มือไปทางข้างทาง เป็นแนวเขาที่ถูกตีถนนตัดผ่านไปข้างใน หากมองลึกลงไปอีก จะเห็นว่ามีควันคล้ายกับหมอกสีเทาจางๆ ลอยออกมาจากทางนั้น



[---]ฉลาดเหมือนกันนี่ ดีนะที่เอามาด้วย ชญานิลเหยียบเบรกพร้อมกับหันหัวรถ พุ่งตรงไปยังทางเข้าลึกลับนั่น ใช่แน่ๆ ทางนี้แหละ ควันจางๆ แบบนี้แสดงว่ามีบางอย่างเผาไหม้อยู่



……………………



[---]เมื่อเห็นว่าข้างหน้ามีรถ หรือจะเรียกให้ถูกมันก็คือซากรถกำลังลุกไหม้ หากก็ดับลงด้วยคนจำนวนหนึ่งซึ่งกำลังพ่นถังดับเพลิงไปยังตัวรถ ไม่เพียงเท่านั้น เธอเห็นแต่ไกลว่าพวกนั้นพกบางอย่างติดตัวมาด้วยไม่ต่างจากเธอ



[---]ชญานิลเปิดรถลงไปอย่างไม่ลังเล คนของเสี่ยใหญ่กำลังเก็บกวาดซาก และที่ต้องดับไฟไม่ให้ลุกลามก็เพื่อไม่ต้องการให้เปลวที่โชติช่วงนั้นเรียกผู้คนให้เอิกเกริก



[---]แป๊กๆ ถ้าได้ยินไม่ผิด คงเป็นเสียงปืนเก็บเสียง มันมาจากพวกที่ดับไฟนั่นแหละ พวกนั้นคงสำรวจดูว่ารถเกือบสิบคันนั้นมีใครรอดหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็น่าแปลกอยู่อย่าง รถตั้งสิบคันจะระเบิดพร้อมกันทั้งหมดได้ยังไง



[---]คิดว่าคงจะติดตั้งระเบิดไว้ภายใต้ท้องรถ แต่จะเข้าถึงรถพวกนั้นได้ ต้องไม่ธรรมดา และก็น่าจะมั่นใจพอสมควรที่ส่งคนเพียงไม่กี่คนมาเก็บกวาด



[---]เท่าที่ดูก็ประมาณ...สาม อะไรนะ สามคนเองเหรอ นี่พวกนั้นไม่ประมาทศัตรูบ้างเลย เธอว่าพาคนมาน้อยแล้วนะ เสี่ยใหญ่ใช้คนแค่สาม อะไรจะเหิมเกริมปานนั้น



[---]ชญานิลเดินลงไปดูใกล้ๆ พร้อมกับหยิบกระบอกปืนขึ้นเล็งไปยังพวกที่นอนสลบอยู่ เธอเดินสำรวจโดยไม่สนใจลูกน้องของเสี่ยใหญ่ที่หันมามอง พวกนั้นก็ไม่สนเธอเช่นกัน เพราะเธอไม่ใช่เป้าหมาย ปะทะกันไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร แล้วก็เจอจนได้ เป้าหมายที่แท้จริง....



[---]แป๊กๆ ๆ....ชายผู้เป็นเจ้าบ่าวนอนราบอยู่กับพื้น พร้อมกับโดนกระสุนเจาะกลางหลังไปสามนัด จากอาการหายใจหอบเอาอากาศเข้าไปอย่างทรมาน บัดนี้ดวงตานั้นปิดสนิทไปพร้อมกับร่างที่แน่นิ่ง เธอยืนกอดอกดูลูกน้องเสี่ยใหญ่แถมกระสุนไปอีกเม็ดที่กลางกระหม่อม ง่ายดายเหลือเกิน พวกนี้ไม่ปล่อยให้เหยื่อได้ทุรนทุรายกับบาดแผลอีกหน่อยล่ะ เธอกำลังสะใจอยู่ไม่น้อย



[---]อ่า.... เป้าหมายหมดไปหนึ่ง แล้วอีกหนึ่งล่ะ ชญานิลรีบกวาดสายตามอง ก็พบกับชุดเจ้าสาวสีเลือด แดงเพลิงจนน่าชื่นชม เสียดายหล่อนน่าจะทรมานให้มากกว่านี้ ให้สมกับที่ส่งคนมาทำร้ายคุณบี



[---]ปั่ก.... ลูกน้องเสี่ยใหญ่คนเดิม เล็งปืนไปที่กลางอกของเจ้าสาวชุ่มเลือด แต่แล้วก็เหมือนกับสวรรค์ส่งสัญญาณมาช่วยหล่อน เพราะกระสุนได้หมดลงพอดี เธอเลยโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดการต่อเอง แล้วปลดกระบอกปืนที่พึ่งเก็บไปเมื่อครู่ออกมา เตรียมจะจ่อไปที่หัวใจของนางมารร้ายซึ่งสลบไม่ได้สติอยู่



[---]ลูกน้องเสี่ยยักไหล่ประมาณว่าตามนั้นแล้วกัน ฝากด้วย ก่อนจะเดินไปทางพรรคพวกอีกสองคนซึ่งสตาร์ทรถรออยู่แล้ว ขับหายวับไปยังทางที่เธอพึ่งผ่านมา



[---]ชญานิลเล็งปืนอยู่นานสามวินาที ก็คิดได้ว่าแบบนี้มันจะตายง่ายไปหรือป่าว เธอจึงตัดสินใจเก็บกระบอกปืนไว้ที่เดิม เปลี่ยนเป็นชักมีดพกขึ้นมาถอดสลักออก มองหาจุดที่จะลงมือ แต่ด้วยความที่ยังลังเล เธอเลยเปลี่ยนมาเล่นกับเหยื่ออย่างร้ายกาจเสียก่อน



[---]ใช่แล้ว.... เธอกำลังจะกรีดขาของเจ้าสาวด้วยมีดพก พลันได้ยินเสียงร้องวี๊ดๆ บางเบาของคนที่กำลังหมดสติ หล่อนสะดุ้งแบบคนไร้ทางสู้ กระพริบตาปริบๆ เป็นจังหวะกับที่เธอสลักอักษรตัวN ขนาดเล็กๆ ลงไปบริเวณสะโพก



[---]เฮือก....เธอได้ยิน คงจะเจ็บสินะ ทนเอาหน่อย เดี๋ยวก็ได้ตายแล้ว วันนี้เธอยังไม่ได้จัดการฆ่าคนของศัตรูสักคน ฆ่ายัยนี่คนแรกประเดิมก็ละกัน ขอสนุกอีกหน่อยเถอะ



[---]เอ๊ะ! หรือว่าที่สลักไปเมื่อกี้ มันยังไม่ใหญ่พอ คราวนี้เธอชี้มีดไล้ไปตามที่ต่างๆ จนมาถึงกลางหัวใจของหล่อน จะปักลงไปดี หรือว่าจะควักออกมาขณะที่ยังเต้นอยู่ดี หรือเอาไปดองเหล้าแล้วดื่มซะเลย แต่เธอไม่ดื่มหรอกนะ แค่คิดให้ดูโหดร้ายนิดๆ ดองไว้ดูเล่นก็พอ ไม่ดีกว่า....ปักให้ตายเลยละกัน....



[---]“พี่นิล!!!!” โอ้ย นางจะตามลงรถมาทำไม บอกให้นั่งรออยู่เงียบๆ แล้วเชียว



[---]“อะไรอีก ฉันบอกให้เธออยู่บนรถ” ชญานิลหันไปตวาดด้วยสายตา เอามาด้วยเป็นภาระดีแท้



[---]“คะ คือ ฉะ ฉัน....” นางละล่ำละลัก พูดตะกุกตะกักไม่เป็นคำ ทั้งยังหน้าซีดเผือด จดจ้องเธอแบบหวาดกลัวสุดชีวิต



[---]ไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่าหล่อนมาเห็นเธอตอนกรีดเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายแล้วนั่งหัวเราะอยู่คนเดียว ตายๆ ภาพพจน์ฉันหมดกัน แต่ยัยนภัสจะรู้รึเปล่าล่ะ ว่าคนที่หล่อนกำลังสงสารอยู่นั้น ร้ายกาจตัวแม่เลยล่ะ ไม่ฆ่าตอนนี้ ฟื้นมาได้ ก็เตรียมตายกันไปข้างนึงได้เลย



[---]ธนิตา....หลานสาวเพียงคนเดียวที่คิดว่าจะได้ครองอำนาจบัลลังก์ต่อจากลุงผู้ซึ่งชั่วและอำมหิตแบบสุดๆ เขานี่แหละ เป็นสาเหตุให้แม่เธอต้องตายก่อนวัยอันควร ยัยนี่จะได้ครองอำนาจต่อจากตาลุงชั่วโฉดนั่น เพราะหล่อนกุมหัวใจผู้ชายที่เป็นศพอยู่ข้างๆ และนำพาความยิ่งใหญ่มาให้ตระกูลมากกว่ารุ่นไหนๆ ที่ผ่านมาด้วยการแต่งงาน



[---]นั่นก็ยังต้องเดือดร้อนมาถึงเธออีก จะใหญ่โตยังไงก็ทำไปเถอะ ถ้าไม่คอยมาขัดแข้งขัดขากัน อันที่จริงเธอยอมเสียผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เพื่อลดความบาดหมางลง หากแต่ทางนั้นไม่ยอม เพราะยัยนี่คนเดียว หล่อนไม่ยอมให้ผลประโยชน์แม้หยิบมือหลุดรอด



[---]หน้าฉากของคุณหนูที่ดูอ่อนแอ แสนดี อ่อนต่อโลก ทำตัวราวกับว่าไม่ใช่คนสำคัญอะไร เพื่อไม่ให้ตนเองเป็นเป้าหมายให้ศัตรูคอยปองร้าย แต่เบื้องหลังแล้ว หล่อนฉลาดแกมโกง แอร๊ยยยย....โมโห เธอกำลังง้างมือสุดแรงปักมีดลงไปที่ตรงหัวใจยัยแม่มด



[---]“อย่า....” ยัยนภัสสสส หล่อนจะรั้งมือฉันไว้ทำไม ให้ฉันฆ่ายัยนี่เถอะ ยัยนี่โหดร้ายกว่าที่หล่อนจะรู้นะยะ ปล่อยมือฉาาาน



[---]“กลับไปที่รถ!!” เธอตะคอกพร้อมกับแฝงแววตาดุร้ายใส่หล่อน แต่ดูเหมือนนางจะทอดสายตาแห่งความสงสารเจือด้วยบางสิ่งบางอย่างที่เธอไม่อาจเข้าใจ



[---]“พี่นิล ปล่อยให้เค้าตายไปคนเดียวเถอะ พี่อย่าเอามือไปเปื้อนเลือดเลย” นภัสสรใช้น้ำเสียงขอร้องที่เธอฟังแล้วใจอ่อนยวบ หล่อนรู้ และคิดว่าหล่อนมองเห็นเธอทุกอิริยาบถ ความลังเล ความแค้น ความโมโห อัดอั้นจนเธอเลือกจะเลวร้าย ทั้งที่ความจริง....



[---]ความจริงเป็นสิ่งเที่ยงแท้ และสิ่งเที่ยงแท้และแน่นอนนั้น มันตอกย้ำอยู่ลึกๆ ว่าเธอไม่เคยฆ่าคน และฆ่าใครมาก่อน ตลอดชีวิตเอาแต่วางแผนทุกอย่างให้สูญเสียน้อยที่สุด หรือไม่สูญเสียเลย



[---]ชญานิลหลีกเลี่ยงความน่ากลัวเหล่านี้ เธอไม่ต้องการให้ความชั่วร้ายกัดกินระหว่างสองตระกูลยืดเยื้อต่อไป เกือบลืมความตั้งใจของตัวเองเสียแล้ว เกือบไปแล้ว....



[---]“เอาขึ้นรถไปด้วย” ชญานิลตัดสินใจสั่งการให้ลูกน้องแบกเจ้าสาวเคราะห์ร้ายใส่ท้ายรถแบบไม่ใยดีกลับไปด้วย



[---]ไม่ฆ่า ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้รอด อีกไม่นานนักจะมีคนตามมาช่วยหล่อน และหล่อนจะรอดกลับมาฆ่าเธอแทน เอากลับไปด้วยแบบนี้ล่ะ อย่างน้อยถ้าตายไปซะก่อน จะได้เอาศพส่งไปขู่ที่บ้าน แต่ถ้ารอด ก็อย่าหวังจะได้กลับไปพบกับความสุขสบายอีกตลอดชีวิต หึ!



[---]ส่วนยัยนภัสสรเหมือนจะพึ่งหายกลัวเธอไปบ้าง นางยังคงระแวงว่าเธอจะทำร้ายใครรึป่าว คงไม่อยากให้เธอเลวร้ายไปอีกคน แต่จะว่าไป ถ้าเก็บยัยสองคนนี่ซะตอนนี้เลยจะดีกว่ามั้ยนะ ตัดปัญหาที่จะตามมาทั้งหมดอย่างง่ายดาย



[---]“ฉันไม่ฆ่ามันก็ได้ อย่าห่วงไป” เธอทำเสียงเรียบสงบตามเดิม แล้วขึ้นมานั่งด้านหลังกับนภัส ให้ลูกน้องขับแทน



[---]“จริงเหรอ” ดูจะดีใจที่ช่วยชีวิตคนได้สินะ



[---]“จริงสิ ฉันรับปาก” ชญานิลยิ้มรับแล้วสั่งให้คนขับแวะไปส่งที่บ้านนภัสสรก่อน....



[---]ฉันไม่ฆ่า ใช่ว่ายัยนี่จะตายไม่เป็นสักหน่อย ใช่แล้ว มันต้องตายทั้งเป็น ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด อย่าหวังได้มีความสุขเลย ชญานิลเดินลงรถมาด้วยใบหน้าที่เหี้ยมโหดมากกว่าครั้งไหนๆ



[---]เธอเปิดท้ายกระโปรงรถออก มองดูคนที่นอนหอบถี่ราวกับว่าจะขาดใจตายได้ทุกเมื่อ ยังไม่ยอมตายไปเองสินะ งั้นก็แล้วแต่หล่อนเลย ฉันมันพวกใจดีอยู่แล้ว จะรักษาให้ก็ได้ ถือซะว่าตอบแทนความอึดที่หล่อนยังหายใจอยู่จนมาถึงบ้านฉัน



[---]“ตามหมอมารักษา....เอาไปไว้ห้องชั้นล่าง” เธอสั่งแม่บ้านที่เดินเข้ามาตรวจตราความเรียบร้อย



[---]ชญานิลเหลือบมองอยู่เพียงชั่วครู่ ไม่แน่ใจตัวเองว่าคิดว่าดีแล้วรึที่ทำแบบนี้ เอาศัตรูมาอยู่ในบ้าน ถ้าวันหนึ่งนางออกไปได้ แล้วจะไม่นำคนกลับมาถล่มบ้านเธอเลยรึ....



[---]เอาน่า มดแมลงสาปสักตัวยังรอดออกไปไม่ได้ถ้าไม่มีคนจงใจปล่อย แล้วภาษาอะไรกับคนป่วยใกล้ตาย หล่อนไม่มีทางได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันนอกบ้านเธอแน่นอน



……………………



[---]ผ่านมาแล้วกับภารกิจที่ไม่ยาก หากแต่อาศัยโอกาสและดวง ถ้าตอนไปถึง คนของเสี่ยใหญ่ทำพลาด ในจำนวนคนแค่สามนั้น คงโดนฆ่าทิ้งได้อย่างง่ายดาย รวมถึงตัวเธอเองด้วย แต่ทางนั้นทำสำเร็จ คนที่เคราะห์ร้ายเลยไม่ใช่เธอ



[---]“เรียบร้อยดีแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง” ชญานิลบอกประโยคสั้นๆ แก่คุณเอ แล้วรีบวาง ก่อนจะมีใครดักฟังเอาได้ หล่อนคงรายงานพ่อเป็นที่เรียบร้อย ก็ไม่น่าต้องเป็นห่วงอะไร ถ้าเพียงแต่....



[---]แต่.... แต่อะไรซะอีกล่ะ เธอยังไม่ได้บอกว่าเอาร่างคนหมดสติกลับมาด้วยอีกหนึ่ง หรือว่าเธอจะต้องทำอะไรสักอย่าง อย่าพึ่งบอกให้ใครรู้จะดีกว่า บางทีเธออาจต้องทำการเคลื่อนย้าย



[---]“สั่งห้ามใครก็ตามที่รับรู้ว่าฉันเอายัยนี่กลับมาด้วย พูด หรือบอกอะไรกลับใคร” กำชับกับคนที่อยู่ใกล้ๆ ให้รับคำสั่งไป



[---]“อาการหนัก แต่ไม่ตายหรอก” หมอบอกกับเธอ ที่ยืนมองอยู่ และกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี



[---]“เอาใส่รถไปไว้ที่หินผาได้มั้ย” ถามหมอสักหน่อยก่อนเคลื่อนย้ายร่างยัยนี่ไปที่ๆ เธอคิดว่าไม่น่าจะมีใครตามไปเจอ เพราะร้อยวันพันปี แหล่งกบดานหินผาก็ไม่มีใครเข้าไปย่างกรายได้เลยสักคน หรืออาจยังไม่มีใครรู้ว่าเธอสร้างมันไว้



[---]จะมีก็แต่ครอบครัวเธอและคนในบ้านอีกไม่กี่คนเท่านั้น ก็ไม่น่าจะมีใครไปนี่นั่นตอนนี้ด้วย อีกเป็นอาทิตย์กว่าพ่อและชานัทจะกลับมา หรืออาจเป็นเดือนก็เป็นได้



[---]“ได้ คงอีกหลายวันกว่าจะฟื้น” หมอทำหน้าแปลกใจที่เห็นรอยแผลแปลกประหลาดไปจากที่ควรจะเป็น มันไม่ใช่รอยสะเก็ดระเบิด ไม่ใช่รอยขีดข่วนทั่วไป แต่มันเป็นรอยมีดที่จงใจกรีด



[---]“รักษาไปเหอะน่า” เธอพูดแล้วเดินออกห้องมา หมอคงไม่ถามหรอก แต่ถึงจะถามเธอก็จะบอกว่าเธอกรีดยัยนี่เอง มีอะไรมั้ย



[---]ใครจะใจดีไปกว่าเธอที่ไว้ชีวิตหล่อน ไม่มี๊ไม่มี ไม่มีอีกแล้วล่ะ แผลแค่นั้นไม่ทำให้หล่อนตายหรอกน่า แต่บางทีมันอาจดูโรคจิตไปก็ได้มั้ง เหอะๆ ชญานิลเริ่มรู้สึกถึงความโรคจิตเล็กๆ ของตัวเอง


……………………



[---]ก่อนจะขึ้นไปพักผ่อนที่ห้อง เธอแวะไปหาคุณบีตามปกติ พี่สาวคนนี้ลืมตาขึ้นหรือยัง เธอมีเรื่องที่จะเล่ามากมาย อยากบอกว่าเก็บนางมารร้ายมาให้ด้วย เผื่อคุณบีอยากแก้แค้น เธอไม่ว่าอะไรเลยถ้าคุณบีจะเป็นคนแทงขั้วหัวใจยัยธนิตา ควักลูกตา ตัดนิ้ว เจาะสมอง ทุบกระดูก อะไรก็ช่าง....อย่างน้อยเธอก็รับปากนภัสสรไว้แล้วว่าจะไม่ฆ่า มีคนทำแทนก็ดีไม่น้อย



[---]“ฉันกลับมาแล้ว ปลอดภัยด้วย” ชญานิลนั่งลงข้างเตียงคนป่วย สั่งให้คนเฝ้าออกไปรอข้างนอก



[---]“พี่บีกำลังฝันอะไรอยู่เหรอ นิลเบื่อจะแย่แล้ว พี่ฟื้นมาคุยกันหน่อยสิ” ก้มหน้าฟุบลงกับเตียง แล้วเขี่ยมือคนเจ็บเล่น พี่สาวของเธออาการดีขึ้นมาเยอะ ผิดกับวันแรกที่ทำเอาตกใจแทบแย่ นึกว่าต้องเสียคนสำคัญอีกหนึ่งคนไปซะแล้ว ยอมรับว่าร้องไห้จนหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้



[---]“ปลอด ภัย ก็ ดีแล้ว แค่กๆ” แล้วจู่ๆ มือคนป่วยก็ยกขึ้นมาลูบหัวเธอเล่น พร้อมกับเสียงแหบแห้งเหมือนไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวัน



[---]“คุณบี!!!!” รีบเปลี่ยนคำเรียกโดยฉับพลัน แล้วดีดตัวตรง ทำเหมือนว่าไม่ได้อ่อนแออะไรแล้ว จนคุณบีถึงกับคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ อะไรน้อ ทำให้น้องสาวคนนี้อยากเข้มแข็งขนาดนี้ ความน่ารักสดใสไม่ต้องซ่อนไว้ตลอดเวลาก็ได้มั้ง



[---]“น้ำ” คนป่วยร้องขอ มองไปทางที่แม่บ้านน่าจะยืนอยู่ แต่ก็ไม่พบ จึงค่อยๆ เอื้อมมือจะไปกดกริ่งเรียก แต่ก็ถูกจ่อปากด้วยหลอดดูดพร้อมแก้วน้ำ ชญานิลทำหน้านิ่ง ถือแก้วน้ำให้คุณบีจิบช้าๆ



[---]“เป็นยังไงบ้าง” เสียงอ่อนโยนคุ้นเคยถามเมื่อเห็นเธอเดินกลับไปนั่งเงียบๆ ที่มุมห้องตามเดิม



[---]“แค่ตามไปดู คนของเสี่ยใหญ่จัดการเรียบ ไม่น่าเชื่อว่าส่งมาแค่สามคน” ยังอดแปลกใจไม่ได้ เพียงสามคน ไม่พลาดเลยสักนิด อะไรจะประมาทขนาดนั้น



[---]“สามเหรอ ตอนนิลไปอาจเห็นแค่สามแล้วมั้ง” คุณบีบอก



[---]“ก็น่าจะใช่” เธอยังไม่ได้บอกว่าจับใครกลับมาด้วย เอาไว้รอคุณบีหายก่อนค่อยพูดก็ได้ แล้วก็เกิดความเงียบประหลาดขึ้น ชญานิลมีเรื่องมากมายที่จะพูด แต่พอเอาเข้าจริงเธออยากกลับนั่งนิ่งๆ เหมือนปากจะไม่อยากขยับเอาดื้อๆ ใช่ว่าเขินมากมายกับเรื่องที่คุณบีได้ยินคำพูดไพเราะจากปากของเธอ แต่เหมือนจะมีบางอย่างที่รู้สึกไปมากกว่านั้น เธอกำลังร้อนรนภายใต้ภายลักษณ์ที่นิ่งสงบ



[---]“ไม่เป็นไรแน่นะ” แทนที่จะเป็นเธอถามกลับเป็นคุณบีที่พูดขึ้น คนป่วยถามอาการคนไม่ป่วย เหอะๆ



[---]“ก็ไม่บาดเจ็บอะไร” เธอตอบแล้วก็เมินหน้าไปทางอื่น ไม่รู้อะไรดลใจให้ทำแบบนั้น



[---]ผู้ที่พึ่งฟื้นจากอาการป่วยมองมาอย่างสงสัย หล่อนขยับตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า บิดขี้เกียจจนกระดูกบางที่ลั่นก๊อบแก๊บ นอนเป็นเวลานานคงจะเมื่อยใช่เล่น เธอแอบเหลือบมองด้วยอาการเห็นใจเล็กๆ ว่าแต่ทำไมเธอต้องหันไปทิศทางอื่นด้วยนะ ทำไมรู้สึกเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งๆ ที่นั่งอยู่กับที่



[---]“มานี่สิ ให้พี่กอดหน่อย” แล้วจู่ๆ คุณบีก็พูดขึ้นมาราวกับออกคำสั่งให้เธอลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ๆ ชญานิลทำหน้าเหมือนไม่พอใจ แต่ก็ทำตามแต่โดยดี อะไรกันมากมายนะคุณบี



[---]“ไม่เป็นไรแล้วนะ” คุณบีเอ่ยอ่อนโยน หล่อนลูบหลังเธอเบาๆ เป็นการปลอบประโลม ให้คลายความรู้สึกทั้งหมดที่มี



[---]เพียงเท่านี้ เพียงเท่านี้จริงๆ น้ำตาก็ทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก ชญานิลเก็บความรู้สึกตื้นตันบางอย่างไว้ไม่อยู่ เธอสำลักความรู้สึกที่โดดเดี่ยว ดีใจ หวาดกลัว กังวล มากมายที่เก็บไว้คนเดียวออกมา



[---]เธออยากกระชับกอดอันอบอุ่นนี้ให้แน่นยิ่งขึ้น หากแต่กลัวจะกระเทือนต่อบาดแผลของคุณบี จึงทำได้แค่ซบหน้าลงกับตักเสมือนเป็นหมอนหนุนอันล้ำค่า



[---]“ฮือๆ ๆ” นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น ท้ายสุดจำได้ว่าเป็นตอนที่โดนแก๊สน้ำตาพุ่งเข้ามาในรถ ผิดกับครั้งนี้เธอได้ยินเสียงสะอื้นของตัวเองชัดเจน



[---]หัวใจดวงนี้ช่างอ่อนแอนัก เธอกลัวไปหมดทุกอย่าง หนึ่งในนั้นก็กลัวเสียที่พึ่งอย่างคุณบีไปด้วยอีกคน



[---]คุณบีฟื้นจนได้ เธอดีใจจนไม่รู้จะว่ายังไง เหมือนกับหล่อนจะรู้ด้วยว่าเธอต้องร้องไห้แน่ๆ ก็แน่ล่ะ หล่อนแทบรู้ไปซะทุกอย่างที่เธอคิด



[---]นี่เธอยังไม่รู้ตัวเองเลยว่ากำลังจะร้องไห้ เพียงแค่กอดอ่อนโยนนิดเดียว น้ำตาก็ล้นขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ชญานิลเกือบเสียสิ่งสำคัญไปแล้ว ต่อไปนี้เธอจะพยามรักษามันเอาไว้ให้ดี



[---]ชญานิลนอนเงียบไม่พูดไม่จา เกาะขาคุณบีเหมือนเป็นที่พึ่งยามเหนื่อยอ่อน เธอมีความสุขที่มือของคนสนิทกำลังลูบหัวเธออยู่ไม่ขาดสาย



[---]เธอเองก็เบียดตัวลงบนเตียงพยามไม่ให้กระเทือนต่อคนป่วยมากนัก จนน้ำใสๆ หยุดไหลออกจากดวงตานั่นแหละ ชญานิลก็ปล่อยให้ตัวเองหลับไปอย่างง่ายดาย ท่ามกลางความรู้สึกที่อบอุ่น ปลอดภัย



……………………