หนี ตอนที่4



[---]ชญานิลยังคงนั่งอยู่ในที่ประชุมอยู่ เหลือเพียงเธอกับพ่อ และคนในห้องนั้นไม่ถึงห้าคน ดูเหมือนว่าจะมียัยผู้หญิงหยิ่งๆ คนนั้นนั่งรออยู่ด้วย เหมือนจะอยากถามอะไรบางอย่างจากเธอหรือพ่อ สักคนที่น่าจะตอบหล่อนได้บ้าง

[---]ตัวหล่อนยังคงสงสัยในข้อยุติเมื่อครู่ บางทีอาจไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าพวกเธอจะจัดการกับปัญหานี้ได้เอง ก็แน่ล่ะ ดูจากท่าเชิดๆ ของหล่อนคล้ายกับมองเธอเป็นลูกสุนัข ผู้หญิงคนนั้นแลหางตาไปทางพ่อเหมือนรอคอยให้พวกเหล่าพันธมิตรออกห้องให้หมดก่อน

[---]จนเหลือเพียงแค่สาม สามคนเท่านั้นในที่ประชุมสุดลึกลับใจกลางเมืองซึ่งไม่มีใครสังเกต ผู้หญิงคนนั้นถึงยอมหันหน้ามาทางพ่อเธอที่รออย่างใจเย็น ราวกับรู้ว่ายังมีคำถามหลงเหลืออยู่

[---]“พวกคุณจะทำยังไง หวังพึ่งทางเสี่ยใหญ่เหรอ รอแต่ทางนั้น ไม่นานไปหน่อยรึไง” หล่อนเดาเกมออกตั้งแต่แรก โดยไม่ต้องถามด้วยซ้ำว่าเธอจะรอให้ใครจัดการ

[---]“เสี่ยไม่น่าพลาด ไว้เราค่อยออกตัวหลังจากนั้นคงไม่สาย ถ้าลงมือตอนนี้ มีแต่....” จะเสีย....นั่นเป็นประโยคที่เธอยังพูดไม่ทันจบ นางแม่มดในชุดสบายตาสีแดงสดนั่นก็ขัดขึ้นเหมือนไม่สนใจสิ่งที่เธอกำลังเอ่ย หล่อนไม่มองเธอด้วยซ้ำ เอาแต่จ้องไปทางพ่อที่ดูสงบนิ่ง

[---]“ไม่ต้องห่วงไปคุณดาริน ทางฝั่งนั้นไม่มีทางได้กอบโกยความสุขไปคนเดียวหรอก สิ่งที่คุณลงทุนมา ผมรับรองว่าจะได้คืนพร้อมดอกเบี้ยด้วยแน่นอน” คุณชาญรับปากด้วยสีหน้าและแววตาที่มั่นคงมากมาย เธอเองเห็นมาทั้งชีวิต พ่อดูมั่นใจเสียจริง

[---]ส่วนแม่นี่ หล่อนจะหยิ่งไปถึงไหนกันยะ ชญานิลแอบอยากลองของ แกล้งไปสักหน่อยจะเป็นไรมั้ย มันจะเยอะแยะอะไรมากมาย ธุรกิจแบบนี้ คงไม่ต่างจากพวกที่เดินออกห้องไปก่อนหน้านี้แน่ๆ

[---]“ไม่มั่นใจก็ถอนตัวได้นะ ไม่มีใครว่าอะไร” เธอเอ่ยลอยๆ เพราะยัยนี่คงไม่คิดจะฟังเธอตั้งแต่แรกอยู่ละ พลางลุกขึ้นยืนจะเดินออกนอกห้อง


................


[---]“หุบปากของแกซะ!!!!” ผัวะ! แทบล้มทั้งยืน จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก นี่เป็นตบที่สามในรอบสิบปี คิดว่าผู้หญิงคนนี้คงสำคัญพอๆ กับที่พ่อกล้าลงมือตบเธอต่อหน้าหล่อน

[---]“หึหึ” โอ้แม่เจ้า นางปีศาจคลี่ยิ้มเหยียดออกเป็นการเยาะเย้ยอย่างโจ่งแจ้ง และแม้แต่จะหันมามอง หล่อนยังไม่หันเลย ทั้งๆ ที่เธอเซเกือบล้มขนาดนั้น ถ้าหันมายิ้มหัวเราะใส่สักหน่อย ยังไม่น่าแค้นใจเท่านี้

[---]“ขอโทษครับ ผมอบรมแกมาไม่ดี กรุณาอย่าถือสา” พ่อที่แสนทระนงถึงกับโค้งคำนับ นั่นมันผู้หญิงที่รุ่นราวคราวเดียวกับลูกตัวเองเลยนะนั่น

[---]“....” ชญานิลเริ่มรู้สึกตัว รีบสละความโมโหทิ้งไปก่อน แล้วโค้งคำนับตามพ่อ ผู้หญิงคนนี้คงไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นทั้งผู้ถือหุ้นและพ่อเธอคงไม่เงียบระหว่างที่หล่อนพูด ปากหนอปาก ไม่น่าไปพูดหาเรื่อง เพียงเพราะเห็นความน่าหมั่นไส้นั่นเลย

[---]“รู้อะไรมั้ย บางทีการร่วมมือกับอีกฝ่ายอาจจะดีกับฉันมากกว่า” หญิงสาวในชุดแดงมองเลยออกหน้าต่างสีชาทึบ

[---]“กรุณาด้วยครับ” อีกครั้งเธอสุดแสนอึ้ง พ่อลงไปคุกเข่า ด้วยอาการอ้อนวอนนิ่งสงบ เธอเองก็คงต้องทำตามล่ะนะ จะยืนโค้งเฉยๆ ก็กระไรอยู่

[---]ยาวนานราวห้ากว่านาทีที่คุณดารินยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง เสมือนสะกดนิ่งให้สองพ่อลูกคุกเข่าอยู่ที่เดิม ทรมานกันชัดๆ แม่นี่จะตัดสินใจอะไรยังไง ก็ช่วยพูดให้รู้กันสักหน่อยสิ นั่งดูหน้าต่างอยู่ได้ มองหาอะไรมิทราบ แบบนี้จะเข้าใจท่าทางนั้นมั้ยยะ อันที่จริงเธออยากถามเหลือเกิน แต่จำต้องก้มหน้าสำนึกผิด

[---]“ฉันน่ะ....ไม่ได้ทำอะไรเล่นๆ” หล่อนเปรยขึ้นมาช้าๆ สายตายังจับจดไปที่หน้าต่าง

[---]“....” เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง ไม่มีใครกล้าพูดแม้กระทั่งเธอ

[---]“อย่าทำให้ฉันผิดหวังที่เลือกมาจับมือกับพวกคุณ” ดารินหันมาสบตาพ่อเธอจังๆ มันช่างดูเรียบง่ายแต่ดุดันเสียจนเธอรับรู้ถึงคลื่นความอำมหิตเล็กๆ หล่อนยังคงไม่พอใจอย่างแรงกล้า คิดแล้วอยากหายไปจากตรงนี้ซะจริง

[---]“ไม่แน่นอนครับ” คุณชาญกำชับให้หนักแน่น พร้อมกับโค้งลงเป็นพิธี ส่งผลให้ชญานิลต้องรีบทำตามโดยเร็ว

[---]“อย่าทำให้ฉันเสียความมั่นใจกับพวกคุณ.... ไม่อย่างนั้นคนที่คอยซ้ำตอนคุณล้ม คงต้องนับฉันไปด้วยอีกคน” คุณดารินเปลี่ยนสายตาอันโหดเหี้ยมพุ่งเป้ามาที่เธอแทน ก็เข้าใจว่าระดับนี้แล้ว ไม่น่ามีคำพูดล้อเล่นหรือกวนโทสะหลุดออกมาจากปาก แต่ไหงเธอถึงห้ามความปากเร็วเอาไว้ไม่อยู่หนอ จะเป็นมาดที่แสนเย่อหยิ่งนั่น หรือคำพูดที่หล่อนพ่นออกมา รวมๆ แล้วก็เป็นสิ่งกระตุ้นอาการอยากทำร้ายของเธอได้เป็นอย่างดีนั่นแหละ ยัยคนนี้ถ้าไม่มีดีถึงขั้นที่พ่อต้องยอมก้มหัว ป่านนี้เธอคงสืบประวัติ จัดการถอนรากถอนโคน แต่ไพ่หงายมาขนาดนี้แล้ว อาจเป็นเธอก็ได้ที่โดนหล่อนเล่นงาน

[---]“ลุกขึ้นได้แล้ว.... นี่เป็นการ์ดเชิญที่พวกนั้นส่งมาให้ฉัน.... มันอาจมีประโยชน์กับฝ่ายคุณ เอาไปได้ ฉันไม่คิดว่าจะไปร่วมงานนี้หรอก” ดารินลุกขึ้นยืนแล้วหยิบการ์ดออกจากแฟ้มประชุม โยนมันลงกับพื้นระหว่างเธอกับพ่อ ชญานิลจึงค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบ และแกะซองเปิดอ่าน พร้อมกับลุกขึ้นตามพ่อ ไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิม

[---]“แต่ว่ามัน....ไม่เหมือนกับ....” เธอจะบอกว่ามันไม่เหมือนกับกำหนดการที่เธอได้อ่านเมื่อเช้านี้เลยสักนิด คุณคนนี้ก็ขัดขึ้นอีกครั้ง

[---]“ไม่เหมือนกับที่เธอได้มาใช่มั้ยล่ะ นี่คือกำหนดการและวันเวลาจริงทั้งหมด ส่วนที่เธอได้มา พวกนั้นคงสั่งพิมพ์ปลอมขึ้นมา ตอนที่พวกเธอไปติดต่อกับผู้จัดการร้านนั่น” หล่อนเอ่ยราวกับรู้เห็นว่าเธอไปที่นั่นมาอย่างนั้นล่ะ อีกอย่างเธอให้คุณบีไปเอามานี่ ใครจะรู้ได้เล่า หรือว่าเช็คใบนั้น

[---]“ฉันให้คนไป....” เธอจะพูดก็โดนขัดอีก อีกแล้ว แอร๊ยยย

[---]“ให้คนลงไปจัดการแทน.... ผู้จัดการร้านไม่รู้อะไรหรอก พวกนั้นคงบอกว่านี่คือกำหนดการจริง” ดารินเอ่ย

[---]“แต่ว่าคุณดารินรู้ได้ยัง....”

[---]“ให้คนคอยดูที่ร้านนั้นมาสักระยะแล้ว ไม่นึกว่าจะมีคนไม่ฉลาดถึงขนาดเอาเช็คเงินสดไปจ่ายปิดปาก” หล่อนพูดพร้อมกับหันมาทางเธอ ก็จริงอยู่ที่ผู้จัดการร้านจะเอาเงินไปขึ้น แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องบอกให้พวกนั้นรู้ว่าเช็คของใคร แต่ก็น๊า เธอพลาดเอง เรื่องง่ายๆ แค่นี้ใครก็ตามสืบได้สบายๆ เป็นเธอที่นั่งก้มหน้ารับความผิด ไหนยังจะต้องจ่ายเงินไปถึงสามแสนกับการ์ดเชิญปลอมใบนั้น แถมยังโดนนางปีศาจร้ายนี่ด่าทางอ้อมอีก

[---]“แล้วทำไม....”

[---]“พวกนั้นต้องการให้ฉันย้ายฝ่าย และแน่นอนฉันก็กำลังคิดจะทำ ถ้าเห็นว่ามันไม่มีทางรอด” ดารินมองไปที่พ่อเธอ

[---]“ขอบคุณที่ยังวางใจ ผมจะไม่ทำให้ผิดหวัง” พ่อพูดด้วยความมั่นใจอีกครั้ง นั่นก็ทำให้หล่อนมองเหม่อไปที่หน้าต่างอีกครา

[---]“ฉันคงตัดสินอะไรตอนนี้ไม่ได้ ว่าคุณกับพันธมิตรของคุณจะทำให้ฉันผิดหวังหรือไม่ แต่ตอนนี้ฉันหมดธุระกับที่นี่แล้ว ขอตัว” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกห้อง พร้อมกับที่เธอและพ่อตามไปถึงลิฟท์ พ่อก็กำชับให้เธอและลูกน้องทั้งหมดตามไปส่งหล่อนถึงรถอีกด้วย

[---]ชญานิลเดินตามออกมาส่งอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจเท่าไรนัก ทว่าผู้หญิงคนนี้คงมีอะไรดีมากกว่าที่เห็น แต่มันก็น่าแปลกใจอยู่อย่างหนึ่ง ตั้งแต่เดินตามมา เธอยังไม่เห็นวี่แววของลูกน้อง ผู้ติดตาม สมุนมือซ้าย หรือมือขวาของหล่อนเลยสักคน จะว่าซุ่มอยู่ตามจุดต่างๆ ก็ไม่น่าจะมี ตึกชั้นนี้ไม่มีใครสักคนปรากฏตัว

[---]แล้วรถสปอร์ตคันสวยเตะตานั่นอีก ขับไปไหนคงมีแต่คนหันมามอง หล่อนไม่กลัวโดนทำร้ายบ้างหรือยังไงนะ ทำตัวเด่นแล้วท่าทางไม่น่าพิสมัยกับคนรอบข้างแบบนี้ด้วยแล้ว ขนาดเธอยังอยากทุบด้วยค้อนสักทีสองที

[---]“คุณไม่มีคนติดตามเหรอคะ” เธอถามเมื่อตามมาถึงรถ และไม่มีทีท่าของคนที่มากับหล่อนเลยสักคน

[---]“ไม่จำเป็น....คนอยากจะฆ่าฉันพอๆ กับอยากให้ฉันมีชีวิตอยู่นั่นแหละ” เป็นคำพูดที่ไม่ได้รู้สึกกลัวเกรงต่ออันตรายเลยสักนิด

[---]“เพื่อความปลอดภัย ให้คนของฉันตามไปส่งมั้ยคะ” เกิดมาโดนรอบฆ่าเอากลางทาง พวกเธอได้ซวยไปด้วย ดูท่ายัยนี่จะถือหุ้นเอาไว้เยอะ

[---]“ไม่ต้องหรอก ศัตรูฉันไม่มี” แล้วก็เร่งคันเร่งออกจากที่จอดไป

[---]เป็นอะไรที่เธอปวดกระบาลสุดแสน คนอย่างนี้จะไม่มีศัตรูเลยเหร้อออ อันที่จริงไม่น่ารอดมาถึงตอนนี้ได้เลยด้วยซ้ำ

[---]“อย่างห่วงไปเลยค่ะ” อยู่ดีๆ คุณบีก็พูดขึ้น

[---]“....” อ่าว นางตามมาด้วยเหรอนี่ นึกว่าไปรอที่รถแล้ว

[---]“ผู้หญิงคนนั้นเวลาฆ่างูจะฆ่าที่หัว ไม่มีหลงเหลือแม้แต่พิษให้ย้อนกลับมาทำร้ายหรอกค่ะ พวกเราโชคดีแล้วที่ได้หล่อนเป็นพวก ถ้าหล่อนไม่เลือกเรา ป่านนี้....” คุณบีหยุดเพียงแค่นั้น

[---]เหอะๆ จะเล่าก็ไม่เล่าอีกแล้ว แต่ถึงไม่พูดก็พอจะรู้ ป่านนี้พวกเธอคงล้มระเนระนาดไปกันแล้ว ดูจากในที่ประชุ่ม เร่งจะให้แผนการสำเร็จได้ดังใจหล่อน ช่างกดดันโดยแท้ นี่ขนาดเป็นพวกเดียวกัน ยังหวาดหวั่นได้ขนาดนี้ ถ้าตรงข้าม ยิ่งแล้วใหญ่ เฮ้อ ไม่อยากคิด

[---]“ฉันควรให้คนไปเจรจากับเสี่ยใหญ่ หรือรอเวลาให้ทางนั้นเริ่มก่อนดี” ชญานิล นั่งคิด คิดไปไกลถึงคำพูดที่ต้องเจรจาต่อลอง หรือถ้าทางเสี่ยใหญ่ไม่คิดจะลงมือ เธอจะทำอย่างไรต่อไปดี

[---]“รอดูค่ะ หากไปเจรจาตอนนี้ เท่ากับเป็นการจับมือกับทางนั้นกลายๆ เป็นไปได้ว่าครั้งหน้าเราอาจกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับบางเรื่อง” คุณบีบอก ซึ่งก็เป็นอย่างที่เธอคิด ถ้าวันนี้เธอไปร่วมมือกับวายร้าย วันหน้าถ้าวายร้ายมาขอความร่วมมือ เธอจะปฏิเสธลำบาก

[---]“ถ้าเสี่ยไม่ทำอะไร....” เธอถามอีกครั้ง

[---]“ถึงตอนนั้น ค่อยทำอย่างที่คุณนิลคิดไว้ได้เลยค่ะ” หล่อนจอดรถตรงไฟแดงพอดิบพอดี นี่ถ้าเร็วอีกหน่อยคงไม่ต้องมาจอดรอคันแรกแบบนี้หรอก

[---]“ช้าจัง” เธอบ่นอย่างรำคาญ เพราะเป้าหมายต่อไปคือเข้าไปที่หนึ่งในบริษัทซึ่งห่างจากบ้านเธอไม่ไกล ว่าจะเข้าไปดูโกดังสินค้า พร้อมกับเช็คอะไรเกี่ยวกับคุณดารินสักหน่อย

[---]“แต่ป ลอ ดภั....หมอบลงงงงง!!!!” คนติดตามหรือมือขวาเธอตะโกนซะลั่นรถ พร้อมกับเอี้ยวตัวมาบังเธอเอาไว้เท่าที่หล่อนจะสามารถทำได้

[---]ปัก ปัก ปัก ปัก! เสียงกระจกหน้าร้าวเป็นรู ทว่าไม่มีกระสุนเล็ดลอดออกมา เกิดการชุลมุนวุ่นวายตรงสี่แยกไฟแดงใหญ่ เพียงชั่วครู่ ไม่มีคนสังเกตเลยว่ารถของเธอมีรอยกระสุน บางทีคนอาจคิดไปว่าเป็นสติกเกอร์ติดเอาไว้ทำเท่ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น มันน่ากลัวกว่านั้น

[---]สาม....สามรอยบนกระจกหน้า ตรงที่เธอนั่งพอดีเป๊ะ จะว่าไปเธอไม่น่าเลือกที่นั่งด้านหน้าตอนขากลับเลย เพียงเพราะอยากจะคุยและปรึกษากับคุณบีได้ถนัด

[---]“เป็นอะไรมั้ย....” มือขวาแสนดีรีบถามก่อนที่เธอจะได้พยามสำรวจตัวเองเสียอีก

[---]“ไม่ๆ” เธอบอกเบาๆ พร้อมกับที่หล่อนรีบกดปุ่มรายงานไปยังรถคันข้างเคียงที่ประกบตามมา เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่ามีภัยคุกคาม

[---]“บ้าน ต้องไปที่บ้าน” คุณบีพึมพำอยู่คนเดียว

[---]ทันทีที่ไฟเขียวเปิดตัว คุณบีกระทืบเท้าใส่คันเร่ง ขับเร็วยิ่งกว่าสนามแข่งรถ เธอแอบเห็นหล่อนรีบยิงสปีดรถด้วยไนตรัส นั่นไม่มีทางเป็นไปได้ คุณบีเองนั่นแหละที่คัดค้านการติดมันไว้ที่รถ ด้วยกลัวว่ามันจะระเบิด


................


[---]ว๊ากกกกก นี่เร็วไปมั้ยยะ เข้าโค้งระวังด้วย โอยๆ จะเร็วอะไรมากมาย ฉันจะตายก็เพราะความเร็วเกินกว่าปกตินี่ล่ะ

[---]บอกตามตรงเลย เธอไม่ได้อึ้งหรือตื่นตกใจกับกระสุนเมื่อครู่ แต่ที่ตกใจสุดๆ เห็นจะเป็นคุณบีมากกว่า ทำอะไรได้เกินความคาดหมายไปเยอะ

[---]“อย่าพึ่งลุกขึ้นมา หมอบไว้!!!!” เหมือนจะเป็นคำสั่ง ซึ่งเธอก็ทำตามแต่โดยดี ลุกขึ้นมา พวกนั้นยิงมา ฉันก็ตายสิยะ ตอนนี้แค่จะเหลือบมองความเป็นไปสักหน่อยเท่านั้นเอง

[---]“รถคุณหนูถูกรอบทำร้าย” คุณบีแจ้งไปยังบ้าน หรือป้อมปราการสุดไฮโซของเธอนั่นเอง อาวุธและจำนวนคนที่นั่น คงไม่มีแม้แต่ไรฝุ่นเข้าไปโจมตีเธอได้แม้ยามตื่น

[---]แล้วนี่ก็ใกล้บ้านเธอละ พวกนั้นจะริอาจตามมาหรือไม่ ก็ให้มันรู้ไป ได้ตายกันไปข้างแน่ รอบข้างทางเข้าคงมีคนวางกำลังเอาไว้ แล้วตอนนี้เธอก็คงจะเงยหน้าขึ้นมาได้บ้างล่ะนะ

[---]“คงเป็นการขู่เฉยๆ” ชญานิลพูด เป็นแบบนี้แทบทุกวัน ไม่น้องชายเธอ พ่อเธอ ญาติๆ หรือกลุ่มพันธมิตร ต่างโดนรอบทำร้าย โชคร้ายมากหน่อยก็ตาย สร้างความเดือนแค้นให้กับผู้รับช่วงต่อ ตกตามกันเป็นรุ่นๆ ไป ชีวิตนี้จะหาความสงบสุขได้มั้ยนี่

[---]ผ่านมาแค่ห้านาทีของการอดทนรอท่ามกลางความวุ่นวาย รถคันไม่ใหญ่มากนักก็แล่นเข้ามาในตัวตึกของบ้านหลังมหึมาได้สำเร็จ พร้อมกับรถที่ขนาบข้างอีกสองคัน พวกนั้นรีบวิ่งลงมาทางที่เธอนั่ง เอาร่างกายเป็นโล่กันให้ คุณบีก็เช่นกัน หล่อนสั่งห้ามเธอลงรถจนกว่าจะมีคนวิ่งมาป้องกัน

[---]“เข้ามาในบ้านได้แล้ว แยกย้ายกันไปเถอะ สั่งคนสืบด้วยว่าฝีมือใคร” เธอสั่งการออกไปอย่างเมินเฉยต่อสภาพที่เกิด มันเป็นเรื่องปกติเสียแล้วที่ความตายจะอยู่ตรงหน้าแค่เอื้อม

[---]“รับทราบค่ะ....” คุณบีรับคำสั่งเธอ พลางสอดส่ายสายตาหล่อนมองหาความผิดปกติที่เธอจะได้รับ

[---]“ไม่เป็นอะไรน่า....ถ้าขับเร็วกว่านี้ก็คงดี” ชญานิลกอดอกไขว้ขาลงตรงโซฟาหนังเสือโคร่ง นึกโมโห เพราะเธอทันสังเกตเห็นว่ารถที่ติดอยู่อีกฟากของไฟแดง หันกระบอกปืนเล็งมาทางเธอก่อนที่คุณบีจะตะโกนว่าหมอบ

[---]พวกนั้นคงรู้ว่ารถเธอช้าจนติดแทบทุกไฟแดง และนี่คงเป็นการขู่ธรรมดาไม่งั้น วิธีที่ใช้น่าจะเป็นการระเบิดรถมากกว่า แต่จะระเบิดได้คงต้องหาทางฝ่ามาถึงตัวรถ ซึ่งทำได้ยากมากกว่า คนมากมายเฝ้าไว้ซะขนาดนั้น

[---]อันที่จริง ไม่ต้องให้คนสืบก็น่าจะพอเดาออกว่าเป็นใคร แต่ให้สืบไว้เพื่อจะได้รู้ว่าเป็นศัตรูตัวจริงแน่แท้ ไม่ใช่พวกที่ใช้สถานการณ์หวังประโยชน์ อีกอย่างที่เธอยังกลัว คือทางเสี่ยใหญ่ รายนั้นก็ใช่เล่น ชอบเหยียบย่ำซ้ำเติมตอนเห็นคนล้ม หวังว่าครั้งนี้เสี่ยคงไม่โง่พอที่จะเหยียบคานทานอำนาจของฝ่ายศัตรูลง เพราะหากพวกเธอล้มแล้ว รายต่อไปคงไม่พ้นเสี่ย ชญานิลขมวดคิ้วลงช้าๆ

[---]“ขอโทษค่ะ” คุณบีก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างสำนึกผิด แล้วหันหลังกลับจะไปดำเนินการสืบหาตัวการต่อไป แต่ว่า....

[---]“เฮ้ยย.... หมอ ตามหมอมา” เธอรีบบอกกับแม่บ้านตัวติดอาวุธที่ยืนอยู่ไม่ไกล

[---]ยัยคุณบี อยู่ดีๆ ก็ล้มลงกับพื้น เมื่อกี้ยังยืนนิ่งอยู่แท้ๆ เธอรีบตรงไปยังคุณบี ถอดสูทดำที่หล่อนสวมอยู่ มันชุ่มเลือดพอสมควร สงสัยจะโดนจังๆ เข้าไปหนึ่งเม็ด

[---]กระสุนสี่นัดเท่าที่เธอได้ยิน แต่รอยรถมีแค่สาม นั่นแปลว่ามันทะลุกระจกมาหนึ่ง นี่คงไม่ใช่การขู่ธรรมดา แต่หวังเผื่อฆ่าได้สำเร็จ กระสุนที่ยิงทะลุกระจกกันกระสุนได้ ต้องเตรียมการมาอย่างดี คงกะฆ่ากันจริงๆ

[---]ชญานิลสำรวจไปตามรอยเลือดก็พบเข้ากับจุดที่กระสุนทะลุ แล่นผ่าเข้ากลางหลัง น่าจะเป็นช่วงที่หล่อนก้มลงมาบังเธอ ยัยคุณบีหนอ ไม่น่าเลย ถ้าไม่บังเธอก็ตายไปสบายนานละ ชญานิลคิดปลอบใจทั้งตัวเองที่เฉียดความตายเพียงนิดเดียว แล้วก็แค้นที่คุณบีต้องมารับกรรมแทน

[---]“ห้ามตาย” เธอพูดพร้อมกับมองหน้าของคุณบีที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ หล่อนพยามฝืนคืนสติ

[---]“....ไม่หร อ ก....” คุณบีพูดตะกุกตะกัดกับเลือดที่ทะลักออกมาจากปาก จนเธอต้องพยักหน้ารับเป็นเชิงว่าไม่ต้องพูด แล้วหมอทำไมมาช้า เรียกไปตั้งแต่นาทีที่แล้วละ

[---]“ปอด” เสียงบางคนพูดขึ้นท่ามกลางสภาพมึนตื้อ เธอจะเสียคนติดตามคนสำคัญนี้ไม่ได้เด็ดขาด ม่ายยยยย

[---]“คุณหนูหลบหน่อยครับ” อ่อ เสียงคุณหมอนี่เอง เธอคงไปขวางทางคุณหมอเข้า ชญานิลรีบถอยห่างออกจากคุณบีซึ่งในตอนนี้หลับตาลงไปอีกครั้ง

[---]“เครื่องมือ....” เป็นเสียงหมอสั่งกับคนถือกล่องอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด

[---]ชญานิลไม่ได้ใส่ใจฟังสักเท่าไหร่ เธอมองดูการทำงานของพวกนั้นอยู่ห่างๆ ตอนนี้คุณบีถูกยกขึ้นบนเตียงอย่างเบามือ สภาพหล่อนอ่อนปวกเปียกเหมือนกับถุงพลาสติกใส่น้ำ ยังดีหน่อยที่น้ำนั้นอุ่น ร่างกายหล่อนยังคงอุ่น ลมหายใจยังมี

[---]และหมอประจำบ้านก็หยิบเครื่องมือสักอย่างออกมา หนึ่งในนั้นมีมีดซึ่งกำลังกรีดลงไปที่จุดหนึ่งบนร่างกายของคุณบี มีสายบางอย่างปักลงไปยังจุดนั้น เลือดข้นๆ ค่อยๆ ไหลลงแก้วใส

[---]เธอยืนนิ่งจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยท่าทางสงบ รับรู้ถึงความเป็นไป ไม่ต่างจากอีกหลายคนที่เธอเคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นญาติ คนรู้จัก หรือพันธมิตรทางการเงิน พวกนั้นบางคนได้รับบาดเจ็บมากกว่าคุณบี เธอก็เคยมองมาแล้ว

[---]แต่คราวนี้ภายใต้ความสงบนิ่งนั้น กลับรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆ มันมีบางอย่างผสมเข้ามากับความรู้สึกนี้ ไม่นานน้ำตาแห่งความไหวหวั่นก็ล่วงหล่นสู่พื้นกระเบื้องฉาบความเย็นยะเยือก

[---]เธอรีบปัดมันออก มองเฉไปทางอื่น และสั่งกับหมอว่า อย่าให้คุณบีตาย ไม่ว่ายังไงก็ตามต้องรอดให้ได้ ส่วนหมอเองนั้นก็พยักหน้าหงึกหงัก เป็นเชิงว่าแค่นี้ไม่มีปัญหา


................


[---]ชญานิลรีบเดินออกมาจากที่ตรงนั้น มุ่งตรงเข้าห้องนอนซึ่งเป็นที่ๆ สงบที่สุด ที่ๆ เธอจะสามารถแสดงอารมณ์ได้ทุกอิริยาบถ สามารถร้องไห้ได้โดยไม่ต้องทนเห็นแววตาสงสารจากพวกแม่บ้าน ลูกน้อง หรือคุณหมอซึ่งกำลังทำหน้าที่อยู่ในห้องนั่งเล่นใจกลางบ้าน

[---]พวกนั้นทั้งสงสาร ทั้งหวาดหวั่น ผู้นำคนรองมาร้องไห้ฟูมฟาย แบบนี้ใครจะกล้าเดินตาม ใจจริงเธออยากวิ่งหนี แต่ไม่รู้จะหนีไปไหน ทางออกคือความตาย ในเมื่อเกิดมาในตระกูลนี้ ก็ต้องตายไปแบบนี้

[---]ตัวอย่างใกล้ตัวคงไม่ใช่ใครที่ไหน แม่เธอเอง....แม่ล้มลงไปกองลงกับพื้น ห้องเดียวกับที่คุณบีล้มลง ไม่ใช่เพราะกระสุน แต่เป็นเพราะร่องรอยจากบาดแผลของกระสุน ทำร้ายอวัยวะภายในจนสาหัสและไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงยื้อชีวิตแต่ละวินาทีให้ยาวนานที่สุด พ่อเธอไม่ยอมกลับบ้านเลยนับตั้งแต่วันที่รู้ว่าแม่เสีย ไม่แม้แต่จะเข้ามาเหยียบ เป็นเวลาสามปีเต็ม ภารยาซึ่งนั่งรถไปด้วยกัน กลับต้องมาตายเพราะเขาวิ่งเข้าไปรับแทนไม่ทัน

[---]ถึงจะทันแต่ลูกน้องก็ดึงตัวเอาไว้ ส่วนเธอก็พึ่งมารู้เอาทีหลังว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ตอนอายุได้สิบขวบกว่า นั่นไม่ใช่ฝีมือศัตรูหรอก แต่เป็นคนกลางจากไหนสักแห่งสร้างสถานการณ์เลวร้าย เพื่อหวังประโยชน์จากสองตระกูลที่ไม่กินเส้นกัน

[---]‘กรี๊ดดดดดดดดด’ เสียงหวีดร้องเพียงลำพังเล็ดลอดออกจากผ้าห่มผืนหนา ชญานิลกัดมันแน่นพร้อมกับถีบขาดิ้นรนไปมาอย่างบ้าคลั่ง มือทั้งสองกอบโกยกำแน่นอยู่กับผ้าห่ม กระชากมันแต่ไม่ขาดเพราะมันออกแบบมาดีเกินไป เธอปล่อยโฮเป็นเวลานานผ่านพ้นจนผลอยหลับไปพร้อมกับความอิดโรยของหัวใจที่อ่อนล้า ภาวนาอยู่ลึกๆ ว่าอย่าให้คนใกล้ตัวต้องมาเป็นอะไรไปเวลานี้เลย....





................................