หนี ตอนที่3



เช้าวันรุ่งขึ้น.... ขออย่าให้มันเป็นวันจันทร์เลยนะ นั่นเป็นคำอ้อนวอนเรียกร้องภายใต้จิตใจลึกๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นวันจันทร์

[---]เสียงเรียกเข้าของมือถือเป็นรอบที่สิบฉุดเธอลุกขึ้นจากที่นอนอุ่นสบาย ด้วยความขี้เกียจสุดแสนทำให้ชญานิลค่อยๆ คืบคลานออกจากโพลงผ้าห่ม เมื่อออกมาจนสำเร็จก็กลิ้งตัวอย่างเหนื่อยหน่าย

[---]วันนี้อยากพักอีกสักวัน ถ้าไม่กลัวว่าครอบครัวอันเป็นที่รักจะขาดกุญซือคนสำคัญไปละก็นะ ฉันลุกก็ได้ค่ะ เมื่อวานพึ่งจะได้พักผ่อนเพียงวันเดียวในรอบสามสี่เดือนที่ผ่านมานี่

[---]ข่าวการแต่งงานของสองตระกูลนั่นช่างน่ากลัว และมันส่งผลถึงความมั่นคงของครอบครัวและพันธมิตรทางธุรกิจอันสำคัญทั้งหมด ซึ่งจะทำให้สั่นคลอนไปทุกอย่าง

[---]หากความรักหวานชื่นนั่น มันไม่เกี่ยวอะไรกับเบื้องหลังบางอย่าง เธอก็พร้อมจะอวยพร แต่ถ้าไม่แล้ว ก็คงจะเป็นการสาปส่งจนสุดเสียงนั่นแหละ


................


[---]“วันนี้ขอคันสีดำ” เมื่อจัดการภารกิจประจำวันเสร็จ ทันทีที่ก้าวออกจากห้องนอนสีชมพูมุ้งมิ้งน่ารัก ห้องซึ่งไม่เคยให้ใครได้เข้าไป ยกเว้นแม่บ้านเพียงไม่กี่คน ชญานิลก็ทำสีหน้าเรียบนิ่งราวกับความวุ้งวิ้งน่ารักของห้องนอนนั้นไม่ได้ติดตัวเธอมาด้วย

[---]“บอกว่าจะเอาคันสีดำ ไม่เข้าใจที่พูดหรือไง” เสียงเธอตะคอกคนถือกุญแจ พลางเปรยสายตาโหดร้ายไปยังผู้รับคำสั่ง นี่อย่าให้ต้องพูดอีกครั้งนะยะ ฉันล่ะเบื่อพวกไม่เข้าใจคำสั่ง

[---]“คันสีดำคุณชานัทขับไปเมื่อเช้าครับ” คนดูแลรถก้มหัวตัวสั่นเพราะไม่สามารถนำรถคันที่ถูกใจมาให้ผู้ที่เปรียบเสมือนหนึ่งในราชาเจ้าของบ้าน รองจากพ่อของเธอ

[---]“อะไรนะ น่าเบื่อจริง สงสัยต้องซื้อคันใหม่” ชญานิลรับกุญแจคันสีเงินจากผู้ดูแลรถ เปิดประตูออกและตรงเข้าไปนั่งประจำที่ พร้อมกับเสียงกรี๊ดเบาๆ ในใจ คันดำนั้นมันมีแผ่นเพลงที่ฉันชอบฟังอยู่นะยะ ไอ้เจ้าชานัท คงจะรีบตื่นแล้วแย่งไปใช้อีกแน่ๆ กรี๊ดดด....

[---]“เดี๋ยวครับ คุณท่านให้คุณบีไปกับคุณหนูด้วย” มีบางคนเรียกเพื่อหยุดรถก่อนที่เธอจะสตาร์ท

[---]“งั้นก็เร็วๆ เดี๋ยวจะไม่ทัน” เธอปลดล็อคประตูรถ ทว่าคนที่ถูกเรียกให้ไปด้วยไม่ยอมขึ้นมานั่งข้างคนขับ และรีรอไม่ยอมไปนั่งท้ายรถ

[---]“อะไร เร็วๆ สิ ฉันไม่มีเวลานะ” ชญานิลหงุดหงิดกับอาการเก้ๆ กังๆ ของคนผู้ติดตามประจำตัวที่พ่อเลือกมาให้คอยรายงานพฤติกรรมเธออยู่ห่างๆ ใช่ว่าเธอจะไม่รู้หรอกนะ

[---]“ขอกุญแจค่ะ ฉันจะขับเอง” คนติดตามไม่เพียงยืนเฉยแต่ยังเปิดประตูด้านคนขับออก เอื้อมมือไปคว้ากุญแจออกแบบไม่สนใจอาการที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจของเธอ

[---]นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยถ้าจะมาทะเลาะกับคนติดตามในตอนนี้ เพราะคราวที่แล้ว เป็นเธอเองที่เหยียบคันเร่งอย่างใจลอย พาเอาทั้งตัวเองและหล่อนไปนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ อีกอย่างวันนี้เธอก็รีบเสียด้วย จะมาเสียเวลากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ไร้เหตุ

[---]ดังนั้นชญานิลจึงเดินออกจากรถมาอย่างเสียไม่ได้ แล้วอ้อมไปนั่งกอดอกด้านหลังรถแทน รอสารถีคนดีบรรจงเปิดประตูและขับรถออกไปช้าๆ นี่ไม่คิดจะเผื่อเวลาให้เธอได้นั่งสบายๆ ก่อนเข้าประชุมเลยรึไง หล่อนคงกะว่าไปถึงจะให้เธอเข้าที่ประชุมเลย ก็นั่นแหละน้าาา เธอชอบเดินเข้าสายสักหน่อย ดูเป็นที่เรียกร้องความสนใจดี อย่างน้อยก็บ่งบอกได้ว่าเธอสำคัญพอที่จะต้องรอจนกว่าจะมา

[---]“เรื่องนี้เรื่องใหญ่ คุณชญานิลช่วยให้ความสำคัญเป็นพิเศษด้วยนะคะ ถ้าพลาดไม่เพียงแต่เราจะล้ม แต่พวกที่คอยตามหลังเราจะเหยียบซ้ำ” คุณบีเอ่ยอย่างลอยๆ คิดว่าหล่อนน่าจะโดนพ่อเธอสั่งให้มาเตือน รายนั้นไม่คิดจะติดต่อเธอด้วยตัวเองหน่อยรึ อะไรๆ ก็ใช้ผ่านยัยนี่ แถมยังคิดว่าตัวเองสำคัญเหมือนเป็นผู้ปกครองเธออีกต่างหาก ทั้งๆ ที่อายุอานามก็มากกว่าไม่เยอะ น่าเจ็บใจนัก

[---]จะว่าไปแล้วคุณบี ก็รองลงมาจากคุณเอ ผู้ซึ่งติดตามพ่อเธอมาอย่างยาวนาน และที่สำคัญคุณบีก็เป็นลูกของคุณเอ คนที่แต่งงานกับลูกน้องมือขวาของพ่อเธอ

[---]ไม่รู้ว่าคุณบีจะต้องเนี๊ยบทุกอย่างเหมือนคุณเอรึป่าวนี่สิ ไม่อย่างนั้นตลอดชีวิตเธอคงต้องเจอะเจอหล่อนไปอีกยาวนาน ยังๆ ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ คุณซี ชายผู้ซึ่งตามติดน้องชายของเธอชานัท ก็เป็นลูกของคุณเอเช่นกัน

[---]จะว่าไปแล้วพวกนี้ช่างทำตัวได้ไม่ต่างกันสักคน ส่วนชื่อจริงของพวกเขาน่ะรึ ไม่อาจรู้เพราะมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนเธอตั้งฉายาให้ว่า คุณ เอ บี ซี เลยไงล่ะ อีกอย่าง คุณบีก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไรกับชื่อที่เธอเรียกสักเท่าไหร่นัก ทำให้คนอื่นๆ ในบ้านเรียกติดปากและใช้นามเหล่านี้ไปโดยปริยาย

[---]“เราต้องแวะที่หนึ่งก่อนค่ะ” ห๊าๆ ยัยนี่จะไปแวะไหน มันไม่ใช่ธุระอะไรเลยนะ

[---]“ที่ไหนอีก จะทันมั้ยเนี่ย” เธอบ่น จะแวะที่ไหนไม่บอกกันล่วงหน้าบ้างเลย มาบอกเอาตอนเดินทาง

[---]“รอในรถนะคะ เดี๋ยวฉันลงไปสักครู่” ว่าแล้วคุณบีก็ติดเครื่องรถเอาไว้ให้เธอได้เย็นฉ่ำกับเครื่องปรับอากาศภายในรถ ส่วนตัวนางนั้นเดินลิ่วๆ ไปยัง....

[---]....นั่นมัน.... ห้องเสื้อชุดเจ้าสาวนี่ แล้วจะไปเพื่ออันใด หล่อนจะแต่งงานรึ คงไม่ใช่ แต่คิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับงานแต่งของสองตระกูลนั่นที่จะเริ่มต้นในเดือนหน้า

[---]สิบกว่านาทีผ่านไป เป็นการนั่งรอที่อยากรู้มากที่สุด ทำไมไม่บอกกันเลยว่าจะไปไหน นี่ก็เป็นอีกอย่างเวลาพ่อสั่ง บางครั้งมันก็ไม่ผ่านเธอซะทีเดียวหรอก

[---]คุณบีจะบอกเธอตรงๆ ก็ไม่ได้ นางก็เล่นตัวซะเหลือเกิน บางทีต้องจัดการให้เสร็จถึงมาบอกเอาทีหลัง มันน่านัก ไอ้ครั้นจะไปง้างปาก จับมัดบังคับให้พูด เดี๋ยวทั้งพ่อและคุณเอก็จะมาเล่นงานเธอได้

[---]ผ่านไปอีกหลายนาที คุณบีเดินกลับออกมาโดยปกติสุข หล่อนไม่คิดจะยิ้มแย้มบ้างหรือยังไงกัน

[---]ก็คงไม่ต่างอะไรกับเธอหรอกมั้ง ที่ใครหลายคนรู้อาจคิดว่ามันไม่ใช่ตัวเธอ แต่ใช่แล้ว นั่นแหละตัวเธอ บางทีเธอก็หัวเราะคนเดียวในห้องนอน เล่นหรือทำอะไรที่คนภายนอกไม่คิดว่าจะทำ เช่นตีลังกาบนที่นอน วิ่งไล่จับแมวเหมียว.... ก็แล้วใครจะรู้เล่า

[---]“มาได้สักที พ่อให้ไปทำอะไร” ชญานิลถามคนขับที่พึ่งนั่งประจำที่ได้ไม่นาน

[---]“กำหนดวันแต่งที่แน่นอนค่ะ” แล้วหล่อนก็ยื่นการ์ดเชิญที่ซึ่งระบุวันที่และพิธีการต่างๆ ไว้บนตัวบัตรอย่างละเอียด สีชมพูทองวิ้งๆ อร๊ายย ช่างน่าอิจฉา เธอเองก็อยากทำการ์ดสวยๆ แบบนี้บ้างสักใบ

[---]“หึหึ เลื่อนมาตลอด ไม่มีใครรู้วันจริงๆ” เธอพูดกับตัวเอง แต่ยัยคนติดตามทำไมต้องสอดด้วยน้อ

[---]“ค่ะ สามแสนกับค่าเปิดปากเจ้าของร้าน” คุณบีเงียบไป

[---]“....” ไรของมันว้า จับมากดน้ำให้พูดก็รู้เรื่องละ เงินสามแสนนะยะ ทำไมต้องจ่ายด้วย แล้วเอาเงินใคร เงินพ่อล่ะสิ

[---]“หักจากบัญชีคุณหนูแล้วค่ะ” หล่อนเอ่ยเชื่องช้า เป็นช่วงเวลายาวนานมากมายสำหรับเธอ ยัยบ้า เอาเงินฉันคืนม๊า บังอาจเอาเช็คเงินที่บังคับให้เธอเซนต์ไว้ไปจ่าย กรี๊ดๆ น่าทุบกะโหลกแล้วเอาไปโยนให้ฉลามในทะเลเสียจริง แต่ด้วยความหน้าตายของหล่อนแล้ว เธอยอมเงียบก็ได้ว้า

[---]ถ้าให้เธอไปถามเองเกรงว่าคนของบ้านใหญ่ตระกูลนั้นจะไม่ให้เข้าได้ถึงตัวผู้จัดการร้าน ก็จำต้องให้ยัยคุณบีนี่แหละดำเนินการ ด้วยว่ายังไม่มีใครรู้ว่าหล่อนเป็นใครมาจากไหน และหล่อนก็เป็นผู้ติดตามที่อยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด

[---]“ดีมาก” เป็นคำชมที่เธอฝืนใจพูดอีกนั่นแหละ ไม่นึกว่าหล่อนจะยิ้ม คิดว่านั่นเป็นยิ้มนะ เพียงนิดหนึ่งบนใบหน้าแล้วก็จางหายไป

[---]วันที่ กำหนดการต่างๆ ยังไม่มีใครล่วงรู้ นั่นก็หมายความว่าการ์ดเชิญใบนี้ยังไม่ตกถึงมือใคร จนกว่าวันงานจะเริ่ม ช่างระมัดระวังตัวดีจัง ศัตรูแบบนี้น่ากลัวนัก

[---]พวกนั้นคงไม่ปล่อยให้ใครไปทำลายพิธีอันสำคัญยิ่ง เพราะทันทีที่สองคนนั่นเข้าพิธี ก็หมายความว่าการรวมอำนาจของทั้งคู่จะทำให้รากฐานความมั่นคงของเธอสั่นคลอน ทั้งผู้ที่อยู่เบื้องหลังและเบื้องหน้าทุกคน อาจค่อยๆ ถูกกำจัดไปทีละนิด ไหนจะเบื้องหลังความมืดมิดที่น่ากลัวของอีกฝ่ายนั่น แต่ก็นะ มันคงไม่ต่างจากเธอสักเท่าไหร่ ทันทีที่กำจัดพวกนั้นทิ้งได้ เธอก็ไม่ลังเล

[---]ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นมันเกิดขึ้นตอนไหน เมื่อไหร่ ทว่าความแตกแยกนั้นได้มาถึงเมื่อนานมาแล้ว และคิดว่าคงจะเป็นเช่นนี้ไปอีกแสนนาน จนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มลง มันจะต้องไม่ใช่ฝ่ายเธอแน่ๆ

[---]ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้น้องชายเธอถูกไล่ยิงเพียงเพราะญาติฝ่ายพ่อเธอไปขัดผลประโยชน์เพียงหยิบมือ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาไล่ยิงน้องเธอ อาจเพราะชานัทชอบไม่สนใจว่าความปลอดภัยเป็นอย่างไร เอาแต่วิ่งไล่ตามผู้หญิงคนเดียว ซึ่งเธอเองก็ยังไม่เห็นว่าทางนั้นจะรักน้องเธอสักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าคงจะเกรงอิทธิพลพวกเธอมากกว่า

[---]เข้าเฝือกนานนับเดือน ไม่ใช่เพราะกระสุน แต่เป็นผลจากการที่ชานัทเมาเละ จนไปสอยเอาต้นไม้ข้างทาง แล้วพึ่งจะมารู้ว่ามีรอยกระสุนถากเอาตรงที่นั่งคนขับก็ตอนส่งรถไปซ่อมนั่นแหละ จะว่าไปถ้าวันนั้นชานัทไม่เมา ป่านนี้เธอคงได้ตามนั่งล้างแค้นอีกเป็นสิบปีก็ไม่หาย

[---]คิดแล้วก็น่าแค้น ต้นปีที่ผ่านมากล่องของขวัญปีใหม่นานับประการที่ถูกบรรณาการมายังบ้านเธอ มากจนแม่บ้านไม่ทันได้สังเกตว่าหนึ่งในนั้นเป็นระเบิดควันธรรมดาที่เด็กๆ เอามาเล่น เพียงแต่มันถูกส่งมาจากฝ่ายศัตรูคนสำคัญ พร้อมกับเรียบเรียงตัวหนังสือมาซะสวยงาม ‘หมดเวลาแล้ว....ตูม’

[---]เป็นคนทั่วไปคงคิดว่าของเล่นตลกๆ หาใช่กับคนอย่างพวกเธอไม่ เพราะนี่มันหมายถึงการขู่ที่ร้ายแรง แม้ว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ จากของที่พวกนั้นส่งมา จำได้ว่าพ่อเธอถึงกับเรียกประชุมด่วนในวันเฉลิมฉลองที่หลายๆ คนเรียกมันว่าวันหยุด

[---]นับจนวันนี้ เธอเองก็พึ่งได้พักไปเมื่อวานนี้เอง เป็นวันเดียวหลังจากที่ระเบิดเด็กเล่นได้ตกลงที่บ้านเธอ ทุกคนคอยเฝ้าระวัง ทุกการเคลื่อนไหว หากพลาดแม้เพียงนิด อาจหมายถึงชีวิตกับความเป็นอยู่ทั้งหมด จะมีก็คนนึง....ชานัท น้องชายเธอเอง ออกบ้านโดยไม่มีคนติดตาม สักสองหรือสามครั้งนี่แหละ แต่ก็ไม่เห็นจะมีใครมาทำร้าย

[---]ส่วนเธอ ณ ตอนนี้ รถกันกระสุน คนติดตามหนึ่งคนที่ถูกฝึกมาอย่างดี แล้วก็รถที่ตามมาห่างๆ อีกสองคัน เป็นเพียงรถธรรมดาซึ่งไม่มีใครสังเกตว่าขับตามรถเธอมาเรื่อยๆ ขนาดเธอเองยังไม่ค่อยสังเกตเลย พวกลูกน้องของพ่อทำงานกันอย่างมืออาชีพ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ก็คงจะไม่มีใครบุกมาฆ่าเธอได้หรอก

[---]“เร็วๆ หน่อยสิ เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก” ชญานิลบ่นเมื่อเวลาล่วงเลยมาอีกยี่สิบกว่านาที

[---]“ทางแยกข้างหน้าก็ถึงแล้วค่ะ” คุณบียังคงขับรถอย่างใจเย็น ติดมันทุกไฟแดง จอดมันทุกทางแยก ทำเอาเธอต้องหลับตาไม่อยากรับรู้เข็มนาทีที่ล่วงเลย

[---]“....” ย่ะหล่อนจะทำเอาฉันสาย ถึงเธอจะชอบการเข้าที่ประชุมช้า ทว่าครั้งนี้พ่อถึงกับสั่งมาเองว่าต้องให้ตรงเวลา เพราะคนที่เข้าร่วมด้วยไม่ใช่เด็กๆ ทั่วไปอย่างทุกครา หากไปช้าทุกคนคงว่าเธอได้ ไม่ใช่ยัยคุณบีนี่หรอก ฮึ่มม


................


[---]สามนาที กับตึกชั้นที่ยี่สิบ ชั้นที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด ทั้งจากกระสุน การเก็บเสียง และสัญญาณเล็ดลอดทุกทาง ทว่ามันก็ไม่อาจหยุดเวลาเอาไว้ให้เธอได้

[---]กึ๊กๆ ลิฟท์สำหรับผู้บริหารหยุดลงตรงชั้นนี้พอดิบพอดี เธอแอบส่งสายตายจิกเล็กๆ ไปยังผู้ติดตามที่ยังคงทำหน้าเมินเฉย ทำให้เธอต้องกระชับฝีเท้าให้ว่องไว เพื่อตรงไปยังห้องประชุม อยากวิ่งก็วิ่งไม่ได้ กลัวเสียภาพลักษณ์ ส่วนคุณบี หล่อนไม่สะทกสะท้าน ยังเดินเอื่อยเฉื่อยตามหลังเธอมาเรื่อยๆ ก็แน่ล่ะ หล่อนไม่ใช่คนรับหน้านี่คะ วันหลังต้องหาทางแกล้งซะบ้าง หมั่นไส้จริงเชียวกับอาการเฉยเมยนั่น

[---]....ผ่าง.... ประตูบานไม่ใหญ่มากถูกเปิดออก เหล่าบรรดาผู้ร่วมชะตากรรมจากผลกระทบของการรวมสองตระกูลใหญ่ต่างนั่งประจำเก้าอี้ของตน บางคนถึงกับหอบหิ้วเอาเก้าอี้มาเอง เพราะที่นี่ไม่มีเพชรกับทองฝังไว้รองรับก้นของพวกเขา

[---]ชญานิลเดินนิ่งๆ เข้าไปนั่งที่ประจำที่ฝั่งขวาข้างหัวโต๊ะ โดยที่คุณบียืนรออยู่นอกห้อง เธอยังคงเป็นที่จับตามองอีกเช่นเคย ยกเว้นคนที่นั่งไม่ห่างจากเธอเท่าไหร่ พ่อนั่นเอง ไม่ได้เจอะเจอกันเป็นเดือน บางวันเธอก็ไม่ได้กลับบ้าน ต้องไปค้างต่างจังหวัดตามที่ต่างๆ เช่นเดียวกับพ่อและคนอื่นๆ จะมีก็แต่ชานัทนั่นแหละ เขาสามารถหาเวลาปลีกตัวจากงานได้เสมอ

[---]“เปิดการประชุมลับ” จากที่นั่งนิ่งๆ มาสักครู่ เมื่อเข็มยาวชี้บอกเวลาตรงเลขสิบสอง บุคคลที่นั่งเป็นประธานก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ แต่น่าเกรงขามจนทุกคนต้องเงียบและหันมาฟัง มันคงจะเป็นการประชุมคล้ายกับบริษัททั่วไป แค่แปลกตรงที่มีผู้คุ้มกันรอนอกห้องเท่านั้น

[---]“เริ่มจากปัญหาก่อน” ชาญหรือพ่อ ช่างพูดได้สงบจริงๆ โดยเฉพาะรอยสักมังกรทองที่พาดอยู่กลางหลังนั่นก็เคลื่อนไหวได้เยือกเย็นราวกับมันหลับอยู่ เป็นบุคลิกที่ชญานิลได้รับการตกทอดมาเฉกเช่นเดียวกับชานัท เพียงแต่เธอเลือกไม่สักให้ดูน่ากลัว แล้วอีกอย่าง การเอาเข็มกับหมึกสีจิ้มที่ผิวหนังอันบอบบางของเธอก็เจ็บไม่ใช่น้อย เรื่องอะไรใครจะยอมสัก ฝันไปเถอะ

[---]“พวกมันตัดทางการขนส่งสินค้า จะเดือนนึงแล้ว ผมรับสภาพขาดทุนแบบนี้ต่อไปไม่ได้นาน” ชายเคราดกในสูทดำเปรยออกมาเป็นคนแรก ชญานิลก็ไม่รู้ว่าสินค้านั้นคืออะไร เธอไม่สนด้วย แต่ทางขนส่งที่ว่าตระกูลเธอคุมอยู่ และมันส่งผลต่อการส่งเม็ดเงินป้อนเข้าคลังสมบัติของเธอ ไหนยังจะเป็นการเหยียบหนวดเสือกลายๆ เสียด้วย

[---]“เอเจนรายใหญ่หลายราย หันไปสั่งของจากฝั่งมันมากขึ้น เพราะฝ่ายเราหลบหลีกไม่ได้” ผู้หญิงตาตี่ ยื่นแผ่นเอกสารส่งให้คุณชาญที่หัวโต๊ะ หล่อนน่าจะหมายถึงบางสิ่งที่หนีไม่พ้นการถูกจับได้ เธอคาดเดาว่าศัตรูคงส่งหนอนบ่อนไส้มาทำลายระบบที่พวกเธอวางไว้อย่างดีเป็นแน่

[---]“กำไรฉันลดลง ฉันไม่ชอบเลย” ผู้หญิงท่าทางฉลาดแสนหยิ่งเชิดหน้าขึ้นด้วยอาการเฉยเมย นั่นทำเอาทุกคนเงียบแล้วหยุดมองไปทางเธอ รวมถึงคุณชาญที่เปลี่ยนจากอาการนิ่งๆ มองไปทางผู้พูดแฝงด้วยสายตาบางอย่างที่ไม่ปกติ

[---]“....” เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง เป็นอันรู้กันว่าปัญหาที่แต่ละคนเจอคงไม่พ้นการงัดข้อของศัตรูคู่กาย ซึ่งมีมาตั้งแต่รุ่นปู่ ลุกลามมายังรุ่นเธอ การต่อสู้ฟาดฟันระหว่างสองตระกูลใหญ่ นั่นมันน้ำเน่าสิ้นดี จนเธอโตขึ้นมา ถึงได้รู้ว่าอิทธิพลมาเฟียมันมีจริง

[---]แต่ก่อนเธอก็ไม่ชอบนักหรอก พยามทุกวิถีทางปรับเปลี่ยนให้การดำเนินงานของครอบครัวเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ทุกคนยอมรับ จนมาวันนี้ มันก็ถูกต้องขึ้นมาเยอะ เพียงแต่อำนาจนั้นกลับลดลงและสั่นคลอนดังเช่นที่เป็นอยู่

[---]ชญานิลอยากทิ้งทุกอย่างแล้วหลบออกมาจากจุดที่ยืนนี้ซะ ถ้าหากคนพวกนี้ไม่นึกถึงศักดิ์ศรี เงินทอง และผลกำไรสีเทาแล้วล่ะก็ เธอก็คงจะหยุดแล้วหันเดินทางสีขาวสว่าง ไม่ดูน่ากลัวเช่นนี้อีก ความน่ารักของเธอก็ไม่ต้องมาซ่อนเร้นไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งสนิท กับสูทสีดำหม่นหมองนี่

[---]แอร๊ยยยย.... คิดแล้วอยากจับพวกก่อกวนนั้นมาหักแขน หักขา ควักลูกตา แล้วโยนให้ฝูงสุนัขกิน

[---]“มาถึงสาเหตุ....ทุกคนคงรู้กันอยู่” พ่อเธอเอ่ยขึ้นหลังจากเกิดความเงียบมาเนิ่นนาน

[---]นั่นก็ทำให้มีเสียงคนบ่นขึ้นมารายเว้นราย จนเป็นอันรู้กันว่าเป็นเพราะฝั่งศัตรูคู่แค้น และพันธมิตรธุรกิจฝั่งนั้นกำลังมือขึ้น โดยเฉพาะงานแต่งงานที่กำลังจะถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ไปในตัว

[---]จะว่าไปแล้วล้มงานนี้คงยากถึงยากที่สุด เพราะอะไรน่ะรึ เพราะความสามารถในการคุมอำนาจของฝั่งเธอตอนนี้แทบจะไม่หลงเหลือมากนัก

[---]ชญานิลนั่งมองหลักฐานและเอกสารประกอบการประชุมที่ผู้เข้าร่วมยื่นมาให้ เธอไม่คิดหรอกว่าการล้มช้างจะทำได้ง่ายๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเอาเสียเลย อีกอย่างทางนั้นก็ใช่ว่าจะมีศัตรูทางเธอฝ่ายเดียวเสียที่ไหนล่ะ

[---]กล่าวกันว่าศัตรูของศัตรูก็คือมิตร พันธมิตรของเธอแม้จะมืดมนจนไม่น่าคบหาสมาคมด้วยนั้น ทว่ายามนี้กลับเป็นแสงสว่างทางรอดที่พอจะมีอยู่ของฝ่ายเธอ คิดว่าทางนั้นต้องหาทางทำอะไรสักอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นฝ่ายเธอค่อยลงมือก็ไม่สาย คล้ายๆ กับการยืมมือคนอื่นนั่นแหละ

[---]เพราะเธอเองก็ไม่อยากให้ใครคนใดคนหนึ่งในสายเครือญาติต้องติดร่างแหความผิดไปด้วย เอาเป็นว่ารอดูสถานการณ์ต่ออีกหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร มันคงไม่ย่ำแย่ไปมากกว่านี้หรอก

[---]“ทางแก้....” คุณชาญพูดเท่านั้น ก็มีแต่คนแย่งกันเสนอ ไม่ว่าจะเป็นให้มือปืนไปเก็บถึงตัวบอสใหญ่ ให้ระเบิดคลังสินค้าฝ่ายนั้น ให้ล้มพิธีแต่งงานนั่น มากมายที่หลายคนเสนอยิ่งทำให้เธอคิดหนัก

[---]ถ้าระเบิดเด็กเล่นนั่นไม่ถูกส่งมา เธอคิดว่าแผนการของพวกนี้ก็ดีไม่น้อย ทว่าระเบิดเด็กเล่นนั้นบ่งบอกได้อย่างดีว่า สิ่งที่พวกเค้าเสนอมากลับทำได้ยากยิ่งนัก ฝ่ายนั้นคงป้องกันอย่างดี ไม่น่าจะเข้าถึงคนสำคัญได้

[---]“ฉันเสนอให้รอดู อย่ารีบร้อนทำอะไรตอนนี้จะดีกว่า อีกไม่กี่วันเท่านั้น” ชญานิลเอ่ย ฟ้าคงเข้าข้างทางด้านเธอบ้างล่ะว้า คงไม่มีใครดวงตกไปตลอดได้

[---]“จะดีเหรอ” เป็นผู้หญิงคนเดิมที่ทำให้เสียงผู้ร่วมประชุมเงียบลงทันตา หล่อนยังคงวางมาดหยิ่งผยองไว้เช่นเคย ก็แปลกที่คนอื่นดูกลัวเกรง ไม่มีใครคิดหมั่นไส้บ้างรึยังไงนะ

[---]“ต่อจากนั้น ทางฉันจะลงมือเอง ขอให้รอดูก็พอ.... ตอนนี้อย่าพึ่งเคลื่อนไหวจะดีกว่า” เธอกำชับให้ทุกคนรับทราบถึงการเก็บตัวเงียบสักพัก

[---]“อย่างนั้นก็ได้ ฉันจะรอ” เพียงแค่นั้นทุกคนก็เริ่มพูดคุยเงียบๆ สงสัยถึงความหวังเพียงเล็กน้อยที่ต้องมาฝากไว้กับเธอ ทว่าตัวเธอเองนั้นก็ไม่เคยคาดการณ์อะไรพลาด ซ้ำยังเป็นถึงลูกสาวคนโตของคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ณ ตอนนี้

[---]“ตกลงกันตามนั้น ให้รอดู อย่าทำอะไรในตอนนี้....” พ่อเธอตัดบททุกคนด้วยเสียงที่เข้มแข็ง

[---]บางทีพ่อก็คงคิดไม่ต่างจากเธอ ยืมมือคนอื่นจัดการเสียเลย จะดีกว่าต้องมานั่งเป็นเรื่องเป็นราวเสียเอง

[---]เป็นการจบการประชุมที่ไม่ยาวนานสักเท่าไหร่นัก เหล่าพันธมิตรต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศบางคนแฝงตัวไปกับพนักงานด้านล่าง ดูราวกับคนธรรมดา ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังนั่งประชุมบนเก้าอี้ประดับพลอยอยู่แท้ๆ

[---]อย่างน้อยการประชุมเมื่อครู่ก็ตกลงกันได้ ไม่น่ามีใครทำอะไรเป็นจุดสนใจในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นการยืมมือคนอื่นก็คงเสียเวลาเปล่า ขอให้เป็นเช่นนั้นก็แล้วกัน




................................