กระจกวิเศษ ตอนที่11

เป็นเวลาเกือบเดือนที่เธอได้แฝงกายเข้ามาอยู่ที่นี่ในคราบของลำไย ไม่แน่ใจว่าที่ต้องมาอาศัยที่นี่มีเหตุผลอะไรแอบแฝง มากกว่าการทำงานบ้าน หรือช่วยคนที่แย่งของๆ เธอไปหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ เธอได้เรียนรู้ว่าคนอื่นก็คิดเป็นและรู้สึกเป็น สิ่งไหนที่เธอไม่ชอบ ก็ไม่ควรเอาสิ่งนั้นไปปฏิบัติกับคนอื่น การเอาใจเขามาใส่ใจเรา มันจะทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลยล่ะ

“นี่จ๊ะ” แก้วเซรามิกขอบสีทองที่ภายในบรรจุด้วยกาแฟคั่วบดกลิ่นหอม ใส่น้ำตาลมาสองก้อนยื่นมาให้ เธอกำลังนั่งก้มหน้าก้มตามองตัวหนังสือในกระดาษอยู่

ดารินเพียงแค่พยักหน้าหงึกๆ แบบว่ารับรู้ว่ามันได้วางลงแล้ว สิ่งที่เธอสนตอนนี้คือมีการจัดวางตำแหน่งแปลกๆ ในบริษัท ไม่เข้าใจว่าทำไมยัยนุชไม่สงสัยอะไรบ้างเลย

“พักบ้างก็ได้นะ” เสียงใสๆ บอกขึ้นอีกครั้ง หากเธอยังไม่ใส่ใจเท่าใดนัก แม้ว่ามันเป็นแค่การช่วย ก็จะพยามทำละกัน

ยัยนี่ก็ไม่ได้ร้ายกาจมากมาย นางทำดีกับคนที่ช่วยเหลือนาง และคนนั้นก็คือลำไย หากกลับกันเป็นดาริน นางคงไม่ยอมให้เข้ามาเหยียบพื้นที่สักตารางนิ้วในบ้าน ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ชอบเธอขนาดนั้น

เธออ่านอีกสามบรรทัดก็รู้สึกว่ามีคนจ้องมองมาทางเธอ  ดารินรู้สึกแปลกใจ เพราะเมื่ออ่านความคิดยัยนี่ มันดูภูมิใจ ชื่นชม และดีใจที่มีเธอเข้ามาช่วยได้หลายเรื่อง

นางให้เงินเดือนเธอเพิ่มมากโขเลยล่ะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด นั่นไง ยิ้มอีกต่างหาก เธอไม่ได้หันไปมองหรอก เพียงแค่เห็นแวบเล็กๆ จากหางตาก็พอเดาได้

ยัยนุชดูท่าจะประสาทไปแล้ว นั่งยิ้มอยู่คนเดียว ทำแบบนี้เธอก็ไม่รู้จะเงยหน้าขึ้นดีมั้ยเนี่ย มันประหม่านะยะ หล่อนชมฉันซะขนาดนั้น รู้หรอกย่ะว่าฉันฉลาด แต่ไม่ต้องจ้องมากได้มั้ย

ดารินแกล้งเอื้อมมือไปหยิบขนมชิ้นที่เล็กที่สุด เพราะเธอไม่ได้ต้องการกินมันเท่าใดนักหรอก เธอแค่เอามาเคี้ยว แล้วก็แกล้งกระแอมเล็กๆ เหมือนว่ามันติดคอ ซึ่งมันได้ผลเมื่อยัยคุณนุชเริ่มรู้ตัวว่าหล่อนมองเธอนานไปหน่อย

“คุณนุชคะ ทำไมยังต้องโยกย้ายตำแหน่งในส่วนนี้ด้วย” เธอเบี่ยงประเด็นให้นางเลิกนึกชื่นชมเสียที นานไป ฉันจะลอยเอาเสียก่อน โฮะๆ ก็ฉันเก่งนี่นา

“อ้อ พี่กวินเค้าขอเข้ามาจัดการน่ะ” หล่อนพูดแล้วทำหน้ายิ้มๆ เมื่อต้องเอ่ยถึงคนรัก

แต่มันทำให้ดารินเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ดูมีความสุขมากนะนังนุช เธอวางเอกสารทั้งหมดลง อยู่ดีๆ ก็ไม่อยากช่วยขึ้นมาดื้อๆ น่ารำคาญความสุขที่นางเปล่งประกายออกมาแบบออกนอกหน้า กินน้ำใต้ศอกฉันแล้วเริงร่าขนาดนั้นเลยเหรอนังนุช

“จะไปไหนเหรอ ลำไย” คุณหนูนุชเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าเธอลุกขึ้นยืนไม่พูดไม่จาตรงไปที่ทางออก ก็แหงล่ะ ฉันไม่อยากหายใจเอาอากาศร่วมห้องกับเธอตอนนี้ย่ะ อึดอัด

........................

ดารินไม่สนความมีมารยาทในตอนนี้ เธอเปิดห้องแล้วเดินเอื่อยเฉื่อยเรื่อยๆ มาหยุดที่ที่ไหนสักที่ในบ้าน มันกว้างเกินกว่าเธอจะจำ รู้แต่ว่ามีสวนหย่อมเล็กๆ ประดับประดาด้วยดอกไม้สีอ่อนๆ กลิ่นจางๆ ของมันทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นมานิดนึง

ทอดตัวลงเก้าอี้ไม้เล็กๆ ที่วางแถวนั้น แหงนมองดูท้องฟ้าที่ไม่มีแม้แต่นกสักตัวบินไปมา มีเพียงความมืดมัวของเมฆฝน ซึ่งไม่ต่างจากภายในใจตอนนี้สักเท่าใดนัก ขุ่นมัว มืดมน และเสียใจ กับอะไรที่ยังฝังใจ

มีสักกี่คนที่ทำใจได้เร็วนะ อย่าเหมารวมเธออยู่ในนั้นเลย เธอทำใจได้ช้าเหลือเกิน อาการอกหักที่ตอกย้ำซ้ำๆ มาหลายครั้ง มันทำให้หดหู่ ผิดหวัง ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก

และก็ไม่อยากอยู่ใกล้นังตัวร้ายที่แย่งของๆ เธอไป ไอ่กระจกบ้านั่นเล่นตลกอะไรกับเธออยู่กันแน่ มันไม่ได้ให้คำตอบ แต่มันทำให้เธอเศร้า ยิ่งอยู่นี่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งเศร้า

สิ่งที่แลกเปลี่ยนไป ไม่คุ้มกันเลยกับสุขภาพจิตของดาริน หากเวลานี้เธอไม่ตอบตกลง บางทีอาจนอนแช่อ่างน้ำร้อนที่เกาะชิโกกุ ไม่ก็เดินช็อปปิ้งกระเป๋าแบรนด์เนมอยู่ที่ปารีส ไม่ต้องมาทรมานแบบนี้ เพราะว่ายังไงแล้ว วันหนึ่งเธอก็จะทำใจได้เองในที่สุด

“ลำไย มาทำอะไรตรงนี้ ตามหาตั้งนาน” ลูกศิษย์จำเป็นของเธอนั่นเอง เขาเดินมานั่งข้างๆ ในมือมีขนมอยู่สองสามถุง ดูเหมือนว่าจะเอามาฝากเธอเสียด้วยสิ เขายื่นมาใส่ในมือเธอ ดารินไม่ทราบว่ามันคืออะไร แต่ก็รับมันมาเพราะไม่อยากให้เสียน้ำใจ หยิบมันขึ้นมาลองกัดดูหน่อย เอ่อ! รสชาติใช้ได้เลยแฮะ อร่อยเหมือนกันนะนี่

“อร่อยใช่มั้ยล่ะ เจ้านี้ขายดี คนยืนซื้อเต็มเลย เอาอีกมั้ย” เขายื่นอีกถุงมาให้เธอ

“ไม่เป็นไร แค่นี้ก็พอแล้ว” เธอตอบ เพราะเห็นว่าเขาคงซื้อมาฝากคนอื่นด้วย

“กานเอามาให้แก้วกับลำไย แต่แก้วบอกไม่กิน กลัวอ้วน” เขาเล่า และก็เดินตามหาเธอตั้งนาน จนมาเห็นว่านั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว

“แล้วมานั่งชมนกชมไม้ทำไมแถวนี้ มีอะไรอยากระบายบอกได้นะ” หน้าเธอมันฟ้องขนาดนั้นเลยเหร้ออออ แต่ก็นะอาการเบื่อไม่เข้าใครออกใคร นึกอยากเบื่อก็เบื่อมาซะอย่างนั้น

“ฉันแค่ปวดหัวนิดหน่อยน่ะ สวนนี่สวยดีนะ” ดารินเปลี่ยนเรื่อง ชี้มือไปทางพุ่มดอกไม้แถวนั้นแทน

“กานทำเอง เก่งมั้ยล่ะ” เขาเอ่ยแบบภูมิใจน้อยๆ แล้วลุกขึ้นไปหักก้านดอกไม้มายื่นให้เธอ ดารินรับมันไว้แล้วยิ้มๆ มันเป็นดอกไม้จากชายหนุ่มหน้าตาบ้านๆ ที่ต้องการจะปลอบใจเธอ ในเรื่องที่เขาเองไม่รู้

“แบบนี้เขาเรียกดอกไม้ริมทางรึเปล่า เด็ดออกมาเหมือนไม่มีค่าเลย” เธอเอ่ยออกไปลอยๆ นึกเปรียบกับตัวเองที่ถูกทอดทิ้งอยู่เรื่อยมา

“ดอกไม้ก็คือดอกไม้ จะริมทาง ข้างทาง มันก็คือดอกไม้ กานว่าดอกไม้มันคงคิดไปเองมากกว่า” เขาพูด

“งั้นเหรอ” เธอหันไปมองหน้าเขา

“อืม มันคือดอกไม้ อยู่ที่ไหนก็สวยงามได้ อย่าคิดมากไปเลยลำไย อ่ะนี่ เอาไปอีกถุง” เขายื่นขนมไว้ในมือให้เธอ

“ขอบคุณนะ”

“เธอมีคุณค่าในตัวเองนะ และฉันเป็นหนึ่งในคนที่เห็นมัน” เขาเอ่ยเป็นภาษาที่เธอสอนเมื่อไม่กี่วันก่อนด้วยสำเนียงเกือบผ่าน มันดูออกตลกนิดๆ ทำให้ลำไยยิ้มออกมา

“หัวเราะได้ กานไม่ว่า” แล้วเขาก็หัวเราะ ตามมาด้วยเธอที่เห็นว่าเป็นอะไรที่กานพยามเลียนแบบเสียงเจ้าของภาษาได้น่าขำมาก

การที่มีเพื่อนคุยยามเศร้านี่มันก็เป็นอะไรที่ดีมาก เมื่อก่อนเธอเศร้า ดารินมักหาทางออกอยู่เพียงลำพัง น้อยคนจะมานั่งรับฟังความทุกข์ เพราะเวลาเป็นเงินเป็นทอง หนึ่งนาทีที่ฟังเธอบ่นนั่นอาจหมายถึงหนึ่งล้านบาทที่สูญเสียไป ดารินจึงไม่ค่อยมีเพื่อนที่สนิทมากเท่าไหร่นัก จะมีก็แต่เพื่อนประจบที่เรียกใช้งานได้ทุกยามตามต้องการ

“ลองขอคุณนุชดูสิ” เขาเสนอให้เธอลองปฏิเสธการช่วยงานของยัยนุช เพราะเธอบ่นเปรยๆ ว่าไม่ค่อยอยากทำ ยิ่งทำก็ยิ่งไม่มีความสุข

“ได้ก็ดีสิกาน ฉันปวดหัวมากเลยล่ะ” เธอปวดใจต่างหากล่ะ หากเลือกได้ไม่มีใครอยากทำงานกับคนที่แย่งแฟนตัวเองไปนักหรอก ดารินไม่แน่ใจถ้าบอกออกไปว่าไม่อยากทำ ยัยนั่นอาจไล่เธอออกบ้าน แค่เธอเดินออกห้องมาแบบไร้มารยาทนี่ นางคงโกรธเอาไม่มากก็น้อยแล้วล่ะ

“ให้กานลอง....” เขาพยามจะเสนอตัวเองเพื่อไปพูดให้

“ไม่เป็นไร แค่ฟังฉันบ่นก็พอละ” เธอรีบขัด เรื่องนี้มันเธอต้องพูดเองสิ จะให้คนอื่นออกหน้าแทนได้อย่างไรล่ะ ดีไม่ดีกานอาจโดนไล่ออกแทนเธอก็เป็นได้ ซึ่งเธอไม่ต้องการแบบนั้นแน่นอน

........................

ดารินระบายนั่นนี่อีกสักพัก ก่อนจะขอตัวแยกย้ายกันไป ด้วยเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาแก่ๆ เตรียมที่จะสาดน้ำลงมาบนผิวโลก หากเธอยังนั่งอยู่ตรงนั้น ต้องเปียกไปทั้งตัวแน่

เธอพาตัวเองเข้ามาสู่ตัวบ้านได้ในที่สุด เพราะหาทางเข้าอยู่นาน บางประตูที่เชื่อมๆ กันอยู่มันก็ดันล็อคซะงั้น สงสัยว่าจะสร้างขึ้นมาทำไมในเมื่อปิดตายอยู่แบบนั้น เสียเวลาเดินอ้อม รู้อย่างนี้เดินไปนั่งที่มันใกล้ๆ ก็ดี

ดารินวนไปทางห้องซักผ้า หมายจะแวะไปทักแก้วสักหน่อย ขอบคุณที่แก้วปฏิเสธขนม ทำให้เธอได้มันมาถึงสองถุง แต่ระหว่างทางนั้นเธอก็ต้องพบกับใครบางที่เหมือนจะมองหาเธออยู่

“ลำไย” เธอจำเป็นต้องหยุดตามคำสั่งที่เรียกเสียด้วยสิ หากแสดงอาการไม่พอใจไปมากกว่านี้อาจไม่มีที่ซุกหัวนอน

“คะ คุณนุช” รับคำไปแบบปกติ อย่างน้อยตอนนี้เธอก็อารมณ์ดีขึ้นมาเยอะ ยัยคุณนุชเหมือนจะทำหน้าเจื่อนๆ เมื่อกี้หล่อนคงเห็นเธอนั่งกินขนมอยู่หลังสวนนั่น แต่ไม่กล้าเข้าไปทัก เพราะเห็นว่าเธอกำลังคุยกับกานดูมีความสุขกัน และก็เหมือนจะเกรงใจที่ดึงตัวเธอเอาไว้นาน

“เอ่อ....” ยัยนุชกำลังหาคำพูดฟังดูดี แต่นางต้องการจะขอโทษอ้อมๆ และพยามจะเรียกใช้เธอให้เป็นเวลามากกว่านี้

“ลำไยแค่ออกมาสูดอากาศค่ะ พอดีว่ารู้สึกปวดหัว เลยออกมาเดินเล่นนิดหน่อย เอาไว้วันหลังลำไยจะช่วยคุณนุชอีกนะคะ” เธอตอบ เพื่อไม่ให้อะไรๆ มันมากมาย ยัยนี่ยังจะใช้เธออยู่ดีไม่ว่าเธอจะขอปฏิเสธหรือไม่ ช่างไม่เกรงใจกันบ้างเลย ถึงฉันจะเก่งแต่ฉันก็อยู่ในร่างลำไยนะยะ มาทำงานบ้านค่ะ ไม่ได้มาทำงานแบบหล่อน ไปหาคนอื่นช่วยไป๊ เธอคิด

“ลำไยเป็นอะไรมากมั้ย ไปหาหมอกันมั้ย” ทำเป็นมาห่วงเธอ ยัยนุชเอ๋ย หล่อนควรห่วงตัวเองบ้างนะ เพราะข้อมูลบางอย่างที่รู้ เธอจะเอามาใช้ทำลายบริษัทของนางในวันข้างหน้า ซึ่งก็อีกไม่กี่เดือนนี้เอง ฮ่าๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ ลำไยขอตัวไปนอนพักก่อนนะคะ” เธอเห็นหล่อนดูอึ้งๆ กับการตอบคำถามของเธอ แล้วก็พยักหน้าหงึกๆ สงสัยว่าใครเป็นนายจ้างกันแน่ สิ่งที่เธอวางมาดกับหล่อน มันไม่เหมือนกับคนงานในบ้านเลยสักนิด

บางทีก็เหมือนคนที่ร่วมงานกันมากกว่า เธอไม่ค่อยจะเกรงใจยัยคุณนุชนี่เท่าไหร่ ดารินก็พยามจะปรับตัวอยู่เหมือนกัน แต่ความเกลียดชังจะให้มันลดลงในเวลาอันสั้นแค่นี้ คงทำได้ยาก เผลอๆ อาจเกลียดมากกว่าเดิม หากต้องเห็นสีหน้ามีความสุขของนางบ่อยๆ

........................

หลังจากขอตัวออกมาได้เธอก็ไม่คิดจะแวะทักแก้วในห้องซักรีดอีก แต่เบนเส้นทางไปยังห้องพักแทน อยากกลับไปนอนทิ้งตัวลงที่นอน ให้หายหงุดหงิด เบื่อสภาพคนใช้นี่เหลือเกิน

ห้องรูหนูนี่ถึงมันจะดูคับแคบ แต่มันก็กว้างที่สุดในบ้านหลังนี้แล้วล่ะ ดารินเหมือนได้หลบจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่ตัวเธอ เธอสามารถหลีกหนีความเป็นไปของทั้งหมดได้

สองมือเปิดตู้เสื้อผ้า เอื้อมเข้าไปหยิบกระจกที่ห่อเอาไว้อย่างดี พยามพูดคุย ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี เริ่มท้อกับคำสัญญาของมัน จะจริงแท้แค่ไหนกันเชียว มันจะคืนชีวิตสวยงามให้เธอมั้ย อยากเอามันไปลนไฟซะเหลือเกิน แต่ทำไม่ได้ จึงจำเป็นต้องวางไว้ที่เก่าด้วยอาการเซ็งจิต

ดารินกดเปิดทีวีสีจอเล็กๆ ที่พึ่งได้มาติดตั้งที่ห้องไม่กี่วัน มันเป็นสิ่งบันเทิงอย่างเดียวที่เธอมีอยู่ แม้ว่าจะออกจะไร้สาระกับละครรักๆ เลิกๆ บางเรื่อง มันก็สนุกไปอีกแบบล่ะนะ

เธอพยามปรับเสาอากาศให้รับคลื่น มันไม่ชัดเอาเสียเลย อยากทุบเอาไปขายเป็นซากเสียจริง คิดถึงทีวีจอยักษ์ที่บ้านเหลือเกิน ไม่ต้องจูน ไม่ต้องปรับ สั่งงานด้วยเสียงมันก็เปิดให้แล้ว

ระหว่างที่ยืนหมุนอยู่นั้น เธอก็จูนไปได้สำเร็จกับหนึ่งคลื่นจากช่องไหนก็ไม่รู้ ที่รู้ๆ มันกำลังออกข่าวเกี่ยวกับเธอ และช่องนี้ก็ชัดแจ๋วแหวว แทบไม่ต้องปรับอะไรอีก เธอชักสงสัยแล้วสิว่ามันเป็นฝีมือเจ้ากระจกหรือเปล่า บางทีมันอันเล่นตลกให้เธอติดตามข่าวตัวเองอยู่ก็เป็นได้

ในเนื้อหาข่าวนั้นก็บรรยายไปว่า ไฮโซนางหนึ่งอกหักรักคุด หนีหน้าหายตาไปจากสังคมชั่วคราว เหมือนคราวก่อนๆ ที่นางอกร้าวก็ซมซานย้ายถิ่นไปพักสูดอากาศที่ต่างประเทศ ก่อนจะกลับมาแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กระจกคงจัดฉากว่าเธอไปหนีไปพักร้อนคนเดียวอีกเหมือนเคย ใครไหนเลยจะรู้เล่า ดารินตัวจริงอยู่ตรงนี้ว้อยยย ฉันเป็นคนใช้บ้านยัยนีรนุช และต้องอยู่แบบนี้ไปอีกเป็นเดือนๆ บอกให้ใครรู้คงตลกสิ้นดี เธอคิด แล้วก็หันไปดูข่าวล่ามาแรงหัวข้อต่อไป

คู่รักฟักทองแห่งปี มีหน้ากวินลอยไปมาคู่กับยัยนุช คนที่เธอพึ่งพูดคุยอยู่เมื่อกี้นี้เอง สองคนดูรัก รักมาก รักเว่อ รักจนไม่อาจมีอะไรมาแทรกแซง เธอรำคาญกับการที่คนบรรยายอวยคู่นี้เหลือเกิน แถมยังเอาข่าวรักคุดของเธอมาขึ้นนำข่าวสองสวีทนี่อีก หนอยๆ อย่าให้รู้นะว่าใครจัดหัวข้อข่าว แม่จะตามไปราวี

เปิดประเด็นหัวข่าวที่สองได้ครึ่งเรื่องเธอก็ปิดมันลง มานอนขดตัวอยู่บนเตียงแทน พยามนับหนึ่งให้ถึงล้าน ไม่แน่ว่าถึงล้านแล้วเธออาจรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง....

เก้าพันเก้าร้อย เก้าสิบเก้า.... แล้วความง่วงก็มาพาเธอไป

........................