กระจกวิเศษ ตอนที่7

เพียงตีสี่กว่าของเช้าวันใหม่ก็ทำให้ดารินสะดุ้งสุดตัว ลุกขึ้นมานั่งงัวเงียควานหาน้ำแร่ข้างโต๊ะหวังดับกระหาย แต่เมื่อมือเธอเอื้อมไปยังที่ประจำมันกลับเป็นความว่างเปล่า

กลิ่นสถานที่ไม่คุ้นเคยโชยเข้าจมูก ทำให้ดวงตาต้องเบิกกว้าง รีบปรับรับแสง แล้วเพ่งมองไปรอบกาย ห้องแคบๆ มีห้องน้ำน้อยๆ นี่มันบ้านคนใช้ของยัยนีรนุชนี่นา แสดงว่าเมื่อวานเธอไม่ได้ฝันไป

น้ำตาแทบร่วง ที่ต้องเจอกับความจริงอันโหดร้าย อีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้เธอต้องออกไปนั้งประชุมกับกลุ่มคนงาน รับงานตามที่ป้าสายได้บอกเอาไว้

หวังให้เธอได้เจออะไรที่พอทำได้บ้าง แม้จะรู้ว่าไม่มีอะไรที่เธอทำได้เลยสักอย่าง ให้ไปวิเคราะห์หุ้นระดับพันล้านยังดีซะกว่า

ห้องน้ำยามเช้าช่างดูวังเวง ไม่เหมือนกับอ่างอาบน้ำบ้านเธอ ที่ว่ายน้ำท่าผีเสื้อห้ารอบได้สบายๆ แต่ตอนนี้มันคือที่พึ่งที่สุดท้ายให้เธอปล่อยทุกข์เบาๆ จากนั้นก็จัดการกับร่างกายด้วยการอาบน้ำฝักบัว

เธอใช้เวลาอยู่นานทีเดียวพยามหลบหลีกเชื้อราที่ขึ้นตามร่องยาแนว ไม่มีคนทำความสะอาดเลยหรือไร

เอ่อ! ลืมไป เธอก็คนงาน ใครมันจะมาทำให้ถ้าไม่ใช่เธอ แล้วจะเอามันออกได้อย่างไรล่ะ ด้วยแปรงขัดที่อยู่มุมห้องนั่นน่ะเหรอ ขอเธอทำใจอีกสักวันสองวันเหอะ

ตีห้ายี่สิบสี่นาที ดารินเดินออกมาจากห้องพัก ก็สังเกตเห็นคนจำนวนหนึ่งวิ่งวุ่นจัดการเรื่องอาหารอยู่ก่อนหน้าแล้ว คงเป็นฝ่ายแม่ครัว ต้องตื่นเช้ากว่าคนทั่วไป และคงได้พักเร็วกว่าคนทั่วไปด้วย

โรงอาหารคือที่นัดหมายของคนงาน อันที่จริงไม่ค่อยมีใครมานักหรอก เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองแล้ว หากมีอะไรผลัดเปลี่ยน หัวหน้าแม่บ้านอย่างป้าสายจะเป็นคนบอกกับพวกเธอเอง

ดารินเจอกับป้าสายอีกครั้งในอีกสิบกว่านาทีต่อมา ก็รู้ได้ว่างานของเธอนั้นก็คือ ถูพื้นบริเวณ ห้องโถงเล็กด้านหลัง บริเวณนี้ไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าใด อีกทั้งคนงานยังทำไม่ทัน จึงต้องจัดสรรงานให้ทำในส่วนที่สำคัญก่อน ก็นับว่าไม่น่าเดือดร้อนเท่าไหร่ เพราะมันคงไม่สำคัญอะไร แค่กำจัดฝุ่นให้พ้นพื้น เท่านี้เองน่าดาริน

“ลำไย จัดการให้เสร็จก่อนเที่ยงนะ แล้วช่วงบ่ายก็เช็ดเครื่องเรือนที่ตั้งประดับในห้องนั้นด้วย” หัวหน้าแม่บ้านบอกกับเธอ

“ได้ค่ะ” เธอตอบแบบดูมั่นใจเป็นที่สุด หากแต่แววตานั้นกลับดูประหม่า ฉันจะทำได้มั้ยนี่

“ใครว่าง พาลำไยไปที่ห้องโถงด้านหลังที” ป้าสายถามคนที่นั่งกินข้าวอยู่บริเวณนั้น

“ฉันพาไปเองป้า วันนี้งานฉันไม่เยอะ” คนที่ตอบรับไม่ใช่ใครอื่น ทิพย์คนสนิทของคุณหนูนั่นเอง

เป็นผลทำให้ลำไยเก็บอาหารถอนหายใจแทบไม่ทัน มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ เธอต้องเคราะห์ร้ายเห็นๆ เมื่อวานก็ไม่น่าบ่นให้นางได้ยินเลย ดูสิ ตามจิกเธอไม่เลิก หนอยๆ คอยดูเถอะนะนังทิพย์ ฉันคงได้เอาคืนในสักวันแน่

ดารินนั่งลงที่โต๊ะถัดจากแก้วซึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน อาหารมื้อนี้ก็ไม่ต่างจากเมื่อวานเท่าไหร่นัก มีเพิ่มเข้ามาคือแกงอะไรสักอย่างที่เธอยอมกินเพราะคำคะยั้นคะยอของแก้ว

มันอร่อยใช้ได้เลยล่ะ หากเธอไม่รู้ส่วนประกอบอันโอชะนี้ซะก่อน หนึ่งในชิ้นเนื้อที่เธอเคี้ยวเข้าไปก็คือขากบโอ๊บๆ

เธอเกลียดกลัวหนักหนา ผลก็คือเธอตาแดงรื้นด้วยน้ำตา แทบอ้วกด้วยอาการผะอืดผะอม กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แกล้งบอกแก้วไปว่าเธอแพ้อากาศ

มื้อเช้าจึงผ่านพ้นไปด้วยไข่ต้มหนึ่งฟองกับข้าวเปล่าสองทัพพี คงไม่มีอะไรลำบากไปมากกว่านี้แล้วล่ะ เธอเดินตามทิพย์ไปอย่างเงียบๆ ฟังหล่อนพูดเล่าเรื่องนั้นนี้ พยามข่มเธอต่างๆ นาๆ

นี่คงเป็นการรับน้องใหม่ที่เธอไม่ปลื้มเอาเสียเลย นังนี่ชอบยกคุณหนูมาอ้าง เธอก็ไม่เข้าใจหรอกว่าการสนิทกับคุณหนูของบ้านจะมีผลต่อหน้าที่การงานยังไง ในเมื่อนังทิพย์ก็ยังคงต้องถูพื้นบ้านไม่ต่างจากเธอ

“ห้องคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิง หรูกว่าพื้นที่ๆ เธอได้ถูตั้งเยอะ” นี่คือหนึ่งในประโยคที่นางยกมาเอ่ย มันไม่ได้ทำให้ดารินรู้สึกเศร้าใจได้หรอก เพราะบ้านฉันเลิศกว่านี้ค่ะ อยากพานางไปดูเสียจริง ดูซิ ว่าปากร้ายๆ จะยอมปิดมั้ย

“เอาล่ะ นี่ห้องเก็บอุปกรณ์ มาหยิบที่นี่ไปใช้ แล้วห้องที่เธอต้องทำอยู่ติดๆ กันเลย....ระวังด้วยล่ะ ของในห้องมันแพง ทำตกแตกมาเดี๋ยวจะไม่มีปัญญาใช้คืน” นังทิพย์ว่า พลางพิจารณาดูมือไม้ใหญ่หนาเทอะทะของเธอ หล่อนคิดด้วยว่า เธอเป็นพวกคนชั้นต่ำ ด้อยค่ากว่าคนงานที่นี่เสียด้วยซ้ำ อร๊ายยยย รับไม่ได้ ฉันไม่ต้องการได้ยินสิ่งที่ยัยนี่คิด นางวิจารณ์ในร่างใหม่ของฉัน

กระจกวิเศษ ทำไมต้องให้รับรู้อะไรที่ไม่อยากรู้ด้วย น่าเศร้าเหลือเกินกับสภาพต้องจำทน และหากคิดกลับกันแล้ว มีคนแบบเธออยู่ไม่น้อยที่ต้องเจอกับความเป็นไปแบบนี้ คนพวกนั้นเลือกเกิดไม่ได้ เลือกกินไม่ได้ และเลือกที่จะมีชีวิตดีๆ แบบเธอไม่ได้

วันหนึ่งเธอเคยดูถูกคนพวกนั้นไม่ต่างจากวันนี้ที่เธอโดนเหยียด ไหนจะเรื่องอาหารอีกเล่า เธอคิดถึงสิ่งที่กินทิ้งกินขว้าง เหลือแหล่เผื่อแผ่ให้ถังขยะ ใครจะรู้บ้างว่าเวลานี้ ดารินอยากได้มันคืนมายิ่งกว่าทุกครา

อยากร้องไห้เป็นที่สุด แต่ดูเหมือนว่าจะยิ่งทำให้คนด่ากระทบเธอสะใจเข้าไปใหญ่ เธอจึงหันหนีเข้าไปเลือกไม้ถูพื้น ซึ่งเป็นโชคดีที่เธอเคยเดินผ่านแม่บ้านตอนกำลังจัดการถูพื้น

ตอนนั้นเธอได้บ่นว่ามันเป็นการเสียเวลาและเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่สวยงาม ดารินจึงสั่งเครื่องถูนำเข้าเหมือนในห้างสรรพสินคันใหญ่ๆ มาจัดการแทนแม่บ้าน แต่ก็ให้พวกนั้นเป็นคนขับเครื่องยนต์นั่นแหละ แล้วบ้านยัยนีรนุชไม่มีเลยหรือไงกันไอ่เครื่องแบบนั้น เธอยังพอใช้งานเป็นอยู่หรอก

“เอาแค่นั้นจะทำได้เหรอ น้ำยาถูพื้นทำไมไม่เอาไปด้วย รีบๆ เข้า บ่ายต้องไปเช็ดเครื่องเรือน” ดารินแปลกใจว่าทำไมยัยนี่ไม่ไปทำหน้าที่ของตน มายืนคุมเธอเหมือนกับว่าเป็นคนสั่งงานเสียเอง

“เร็วๆ เข้าสิ” หล่อนเร่งเธออีกครั้ง ส่วนเธอน่ะเหรอ ไม่รู้ว่าจะหยิบขวดไหนน่ะสิ สีชมพู สีฟ้า สีเหลือง เธอจึงค่อยๆ อ่านฉลากข้างขวดอย่างละเอียด ไม่ใส่ใจคำเร่ง ทั้งยังไม่ต้องการเสวนากับนางเท่าใดนัก

“แกอ่านออกด้วยเหรอ ถ้าอ่านออกก็รีบๆ เข้า” มาอีกระลอกคลื่นการดูถูก

เธอจะอ่านไม่ออกได้อย่างไร ในเมื่อเธอพูดได้ถึงสี่ภาษา หากสำเนียงตอนนี้จะให้นะ เธอคงด่ามันเป็นภาษาจีน ไม่ก็ว่ามันด้วยภาษาฝรั่งเศส และปิดท้ายด้วยอังกฤษแบบผู้ดีๆ แต่นางคงไม่เข้าใจ อย่ากระนั้นเลย จัดภาษาที่นางพอจะฟังได้ไปก่อน

“ไม่ค่อยหรอกค่ะ แล้วเธอไม่ไปทำหน้าที่เธอเหรอ มายืนคุมฉันทำไม” เธอตัดสินใจถามดีกว่าเถียง

“ป้าสายฝากฉันให้นำทางเธอ ยิ่งไม่ค่อยรู้เรื่องด้วยนิ ปล่อยมาทำงานคนเดียว ข้าวของเสียหายกันพอดี” นังไม่ได้ตอบคำถามว่าทำไมไม่ไปทำหน้าที่ของตัวเอง หากแต่ยังคงหาเรื่องเธอต่อ

ดารินถอนหายใจแรงๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ และเหมือนการกระทำนั้นจะทำให้คนที่ยืนคุมไม่พอใจ ที่เห็นเธอชักสีหน้า และยังคงยืนระเลียดเลือกขวดน้ำยาถูพื้น

“อันนี้ไม่ใช่”

คราวนี้ยัยทิพย์ไม่ยืนเปล่าหยิบขวดที่เธอไม่ได้เลือกขึ้นมายัดเข้าในมือ ซึ่งทำให้ขวดก่อนหน้าที่กำลังยืนอ่านร่วงลงกับพื้น เหมือนเป็นความโชคร้ายที่พลาสติกหุ้มน้ำยาแตกจนน้ำยาเหนียวๆ กลิ่นหอมๆ ฟุ้งกระจุยกระจายไปทั่ว

“อุ้ยตายละ อย่าลืมเก็บกวาดตรงนี้ด้วยนะ มือเท้าห่ามจริง คนอะไร” หล่อนพูดขึ้นอย่างไร้ความเป็นกันเองอีกต่อไปแล้ว ดารินก็เหลืออดเช่นกัน เธอยืนตัวเกร็งอยากตบนังนี่เสียจริง

“อ๊ะๆ เห็นๆ กันอยู่ว่ามันหล่นมาจากมือเธอ จะมาโทษฉันไม่ได้นะ” ช่างเป็นคำที่ตอแหลที่สุด หล่อนยัดขวดใหม่มาในมือฉัน จงใจชัดๆ

“ทิพย์ๆ คุณหนูให้มาตาม จะถามเกี่ยวกับอะไรสักอย่างนี่ล่ะ” เสียงแก้วมาช่วยชีวิตนังทิพย์ได้หวุดหวิด

ดารินเผลอจินตนาการไปว่าใช้ขวดนี่ฟาดหล่อนให้สลบ ลากเอาศพไปฝังไว้ท้ายสวน เอาดินกลบเหมือนหนังสักเรื่องที่เคยดู อีกทั้งร่างกายนี่ก็เอื้ออำนวยกับเธอที่สุด มันคงแข็งแรงพอที่จะลากนังนี่ได้

“เหรอ คนมันสำคัญก็แบบนี้ ฉันไปก่อนนะลำไย เก็บกวาดด้วยล่ะ” หล่อนทิ้งท้ายแล้วเดินจากไปแบบผู้ชนะ เหลือความเละบนพื้นให้เธอต้องจัดการเพียงลำพัง แต่คงไม่มั้งคนดีแบบเธอก็มีตัวช่วยนี่นา

“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวแก้วช่วย แก้วก็อ่านไม่ค่อยออกเหมือนกัน มาอยู่ที่นี่ป้าสายสอนให้น่ะ” แก้วเพื่อนยากหยิบไม้ถูข้างๆ มาซับน้ำ ออกทีละนิด หล่อนดูสงสารเธอ และเธอก็รับรู้ได้จากความคิดของแก้วว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ แก้วยืนดูอยู่นานพอสมควร

“ขอบคุณนะ ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เลย” ความหมายที่เธอสื่อ แก้วคงคิดว่าเธออ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ หากแต่ที่เธอต้องการสื่อสารนั้นคือ ฉันทำงานบ้านไม่เป็นต่างหาก

แล้วผู้สอนงานที่ดี และเกือบจะทำให้งานบ้านทั้งหมดก็คือเพื่อนแสนดีคนนี้....แก้ว

ดารินรู้สึกขอบคุณ หากได้ชีวิตเธอกลับคืนมาจริงๆ เธอจะไม่ลืมความเป็นเพื่อนนี่เด็ดขาด แม้ว่าวินาทีแรกที่ได้เห็นเธอแทบไม่อยากสุงสิงกับใครที่นี่เลยก็ตาม

“แก้วอยู่ที่นี่มานานรึยัง” เธอชวนคุยหลังจากงานช่วงเช้าเสร็จสิ้น เหลือภารกิจตอนบ่ายที่มีแค่เช็ดเครื่องประดับที่ไม่จับฝุ่นมากมายนักในห้องโถงนั่น ซึ่งเธอทำได้คนเดียวสบายมาก

“เกือบๆ ห้าปีน่ะ ที่บ้านฉันต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทางตอนที่นาถูกพวกนายทุนกวาดต้อน พ่อแม่ฉันรู้จักกับป้าสายเลยฝากฉันมาอยู่ด้วย” แก้วเล่าประวัติอย่างย่อให้เธอฟัง

“แล้วพ่อกับแม่เธอล่ะ”

“พวกท่านเสียไปแล้วเมื่อสองปีก่อนเพราะอุบัติเหตุรถโดยสารพลิกคว่ำ พี่ชายฉันก็ทำสวนอยู่ที่นี่ด้วย” แก้วเล่าได้อย่างหน้าตาเฉย แต่ดารินรู้ว่าลึกๆ แล้วหล่อนร้องไห้อยู่ตลอดเวลา แม้จะวินาทีนี้ก็ตาม

“....” ดารินไม่รู้จะพูดปลอบใจหรืออะไรยังไง เพราะบางทีเธอก็เคยร่วมหุ้นกับนายทุน แม้ว่าจะไม่ใช่เธอเสียทีเดียวที่เป็นคนไล่ต้อนที่ หากแต่บางธุรกิจที่เธอร่วมหุ้นก็มีบางส่วนที่ทำร้ายคนอย่างแก้ว

“ไม่เป็นไรลำไย ทุกคนมีเรื่องต้องเสียใจทั้งนั้น”

กลับกลายเป็นแก้วที่มาปลอบใจเธอ ตัวเธอเองนั้นจะมีเรื่องไหนต้องเสียใจเท่ากับการอกหักอีกเล่า ทั้งชีวิตมีครบทุกอย่าง หากเธอต้องเสียพ่อแม่ หรือถูกไล่ที่อยู่อาศัยอย่างแก้วบ้าง เรื่องอกหักก็คงเป็นเรื่องเล็กยิ่งกว่าไรฝุ่นเลยล่ะ

........................

ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นปัญหาชีวิตเธอมีแค่นี้เองเหรอ เธอร้องไห้ฟูมฟายกับความรักที่ไม่มีวันได้ครอบครอง วันนี้มันกลับไม่น่าสงสารเลยสักนิด ชีวิตเธอมีความสุขกับทุกอย่างที่มีได้ แต่เธอกลับเลือกยึดติดกับใครสักคนแทน

ดารินก้มหน้าก้มตาปัดกวาดฝุ่นที่แทบไม่มีให้หมดไปจากเครื่องเรือนในตู้กระจก เธอทำงานโดยไม่ปริปากบ่น และหากสังเกตดีๆ เธอแอบเห็นรอยยิ้มตัวเองจางๆ อยู่บนเงาสะท้อนของตู้ไม้นั่นด้วย

“ลำไย วันนี้ตั้งใจด้วยนะ” เสียงป้าสายดังมาแต่ไกล และด้วยความก้องกังวานของห้องโถงทำให้เธอสะดุ้งจนเกือบปล่อยรูปปั้นเซรามิกที่กำลังเช็ดอยู่ตกแตก เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ

“ได้ค่ะ” เธอตอบกลับป้าที่ยืนอยู่ข้างหลัง

“จะมีแขกมาจากต่างประเทศ เห็นว่าจะเจรจาธุรกิจกัน จะใช้ห้องโถงนี่ต้อนรับ....เย็นพรุ่งนี้เตรียมตัวมาช่วยทำอาหารกับเสิร์ฟด้วยนะลำไย”

“ได้ค่ะป้าสาย” เธอตอบรับเป็นปกติ แอบสังเกตว่าหัวหน้าแม่บ้านคนนี้พอใจเป็นอย่างมากที่เธอรับคำง่ายๆ อีกทั้งยังไม่เกี่ยงงานที่ป้าสั่ง ในสายตาท่านเธอคงเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย แต่ใครจะรู้เล่าว่าหากเธอปฏิเสธว่าไม่ เธอจะไม่มีที่ไปต่างหาก....เฮ้อ

........................