คนแบบฉันมันไม่ดีตรงไหน อะไรๆ ก็มีครบไปหมดทุกอย่าง ทั้งหน้าตา ชาติตระกูล ฐานะ ความคิด การงาน ฉันมีครบทุกอย่างเลย แล้วทำไมฉันยังผิดหวัง เมื่อไหร่สิ่งที่ฉันตามหาจะมาถึง ฉันต้องผิดหวังอีกกี่ครั้งถึงจะเจอคำว่ารักแท้ ดารินเฝ้าคิดมาครึ่งค่อนคืนกับความหมายที่แท้จริง
นี่เป็นครั้งที่สี่ในเวลาสามปีของการอกหักซ้ำซ้อน เพราะรักใครสักคนอย่างจริงจัง บรรยากาศรอบข้างช่างเป็นใจแก่การร้องไห้เสียจริง ฝนพรำๆ ในวันที่หนาวสุดๆ เธอขดตัวอยู่ในผ้าห่มลายตารางหมากรุก พึ่งไปซื้อมาไม่นานจากอิตาลีกับสุดที่รักคนล่าสุด คนที่บอกเมื่ออาหารเย็นวันก่อนว่าเราเข้ากันไม่ได้ เธอดีเกินไปสำหรับเขา เขายอมปล่อยมือเพื่อให้เธอได้เจอสิ่งที่ดีกว่า
‘แล้วอะไรล่ะคือสิ่งที่ดีสำหรับฉัน’
เธอถามตัวเองอีกครั้ง กับตลอดเวลาที่คบกันมา มันราบลื่น ไม่มีที่ติ เป็นคู่รักหวานแหววแห่งปี กับนาทีทองที่ใครต่อใครหลายคนหวังว่าทั้งคู่จะเข้าสู่ประตูวิวาห์กันในไม่ช้า
หากหน้าตาในสังคมไม่มีความหมายแล้ว เช้าวันที่อากาศเย็นจัดเช่นนี้เธอคงตัดสินใจขับรถออกไปทำงานตั้งแต่เมื่อสองชั่วโมงก่อนแล้วล่ะ แต่ว่าตอนนี้เธอกลับเลือกใช้วินาทีนี้นอนร้องไห้กับความผิดหวัง เจอะเจอมาบ่อยจนชิน หรือบางทีเธอควรจะหายหน้าหายตาไปจากสังคมนี่สักพัก
“บอกคุณพ่อคุณแม่ที ว่าฉันไม่เป็นไร อยากขอลางานยาวๆ สักสามเดือน” สายแรกที่เธอโทรเข้าก็คือเลขาหน้าห้อง ผู้ถามทันทีว่าเธอสบายดีมั้ย เป็นคำถามที่ไม่อยากตอบสักเท่าไหร่ ไหนจะต้องมานั่งหลบหลีกนักข่าวสำนักจอแจขุดคุ้ยหาความคืบหน้าความเป็นไปในชีวิตรัก
แง แง แง แง ความเป็นไปของชีวิตคนอกหักนั่นคือการร้องไห้สินะ แล้วเวลาก็จะช่วยเยียวยาหัวใจดวงน้อยๆ วันคืนจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น จงปล่อยวางกับสิ่งรอบตัว พยามหาสิ่งอื่นทำเพื่อไม่ให้คิดมาก บอกกับตัวเองว่าเขาไม่ใช่ของเรา แล้วใช้ชีวิตของเราให้เป็นปกติ มีความสุขต่อไป….
‘บ้าบอคอแตก’
ฉันพึ่งอกหักมาเมื่อวานนี้นะยะ จะให้เริ่มต้นแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร เธอปิดมือถือแล้วโยนมันไปข้างเตียงนอน บ่นกับความไร้สาระในการปฏิบัติตัวหลังอกหักที่ใครต่อหลายคนแนะนำ พวกเขาก็แนะนำไม่ผิดหรอก เพียงแต่วิธีใครวิธีมันเท่านั้นเอง
ดารินพึมพำกับตัวเองอยู่อีกหลายชั่วโมง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าผ้าห่มที่ห่อหุ้มร่างกายเธอให้อบอุ่นอยู่นั้นเป็นอนุสรน่าจดจำระหว่างเธอกับแฟนหนุ่มรูปหล่อพ่อรวยคนล่าสุด เธอถีบมันออกให้พ้นจากเตียงนอนแล้วก็งอตัวอยู่ใต้ความหนาวเย็นของอากาศยามสาย ก่อนที่ท้องจะเรียกร้องให้เธอหาอาหารมาบรรจุให้เต็ม
ไม่อยากกินก็ต้องกินล่ะว้า คนที่มันไม่รักเรา บังคับไปก็ไม่ได้อะไร .... แง ไปหาอะไรกินก่อนละกันเดี๋ยวค่อยมานั่งร้องไห้คร่ำครวญต่อ เธอพาร่างอันเบาหวิวลุกออกจากที่นอน เหยียบย่ำลงบนผ้าห่มผืนนั้นอยู่สามสี่ครั้ง สะดุดล้มลงก่อนจะก้าวออกมาจากกองผ้า นั่นยิ่งเปลี่ยนอารมณ์เสียใจ ให้กลายเป็นหงุดหงิดขึ้นมาแทน
‘ไอ่บ้า’ แม้แต่ผ้าห่มยังทำให้เธอเจ็บตัวได้
มาถึงห้องน้ำจนได้ ระยะทางแสนไกลเสียจริง ใครกันออกแบบห้องนอนให้ใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ ปวดทุกข์หนักเบาแต่ละทีนี่แทบอยากจะใส่ผ้าอ้อมแทนเพราะขี้เกียจเดิน แต่วันนี้ไม่ได้ออกไปไหน ขอล้างแค่หน้าก็พอ คงไม่มีใครสังเกตนักหรอก
ดารินจัดแจงชโลมใบหน้าบอบบางด้วยน้ำแร่ บีบครีมจากหลอดที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ลงฝ่ามือ หันไปมองกระจกพับบานเล็ก ซึ่งวางอยู่ตรงอ่างล้างหน้าใกล้ตัว และก่อนที่จะได้แปะครีมลงบนหน้าก็พึ่งนึกได้ว่านั่นเป็นของที่เธอซื้อมาจากคนหาบเร่ข้างร้านอาหารสุดหรูในวันที่เธอถูกหักอก ท่าทางแปลกๆ กับความน่าสงสารที่หล่อนสื่อออกมาให้เธอเห็นใจหยิบแบงก์หลายใบยื่นให้ ด้วยอาการไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
‘ฉันซื้อไอ่กระจกบ้านี้มาทำไมนะ’
อกหักครั้งที่สี่ทำให้ถึงกับบ้าบอได้ขนาดนี้เลยเหรอ ของเก่าๆ แบบนี้มาอยู่ในห้องนอนฉันได้ยังไงกัน เธอจ้องมองสภาพอันเก่าเก็บ ไม้บางๆ เกือบผุเกาะอยู่รอบตัวกระจก กับบานพับจะหักไม่หักอยู่รอมร่อ ฉันซื้อมันมาแพงขนาดนี้เลยหรือ เธอส่ายหน้าช้าๆ อย่างหมดอาลัย
ไม่นานหลังจากภารกิจในห้องน้ำเสร็จสิ้น สิ่งต่อมาคือการเดินแปดสิบสามก้าวพอดิบพอดีเพื่อมายังโต๊ะอาหารชั้นล่างของบ้าน บางทีมันก็เกินมาสักสามสี่ก้าวถ้าเธอเผลอลืมนับ และแทบจะทันทีเมื่อดารินทิ้งตัวลงบนเก้าอี้มุมโต๊ะ ก็พบกับแม่บ้านสองคน ยกอาหารเช้ามาวางให้ถึงที่ จานหนึ่งเป็นแฮมแผ่นบางๆ ไข่ดาวที่ไข่แดงไม่สุก อีกจากเป็นโจ๊กร้อนๆ ปิดท้ายด้วยน้ำส้ม กับกาแฟ เธอไม่รู้หรอกว่าจานที่กินไม่หมดพวกแม่บ้านจะเอาไปทำอะไรต่อ แต่ขอให้มีอาหารแบบที่เธอต้องการวางครบๆ ให้เลือกสรรก็พอ
“ช่วยเอาน้ำส้มมาอีกแก้ว” ดื่มเป็นครั้งที่สองจนหมด แล้วก็ลุกขึ้นโดยไม่แตะต้องสิ่งอื่นเลย ก็มันไม่หิวนี่จะให้กินเข้าไปทำไมเยอะ ขอแค่น้ำส้มอร่อยๆ สองแก้วก็พอ
เธอพาตัวเองมาแปะอยู่บนโซฟาห้องรับแขก แล้วก็หงุดหงิดกับการที่แม่บ้านเดินมาถามว่า มีนักข่าวมาขอสัมภาษณ์คุณหนูค่ะ เธอปฏิเสธไปแทบจะทันที ด้วยอาการโบกมือเชิงว่าไม่ต้องการตอบคำถามใดๆ ในตอนนี้ เพียงชั่วข้ามคืน ข่าวกระจายวงออกไปกว้างได้ขนาดนี้ ชักสงสัยแล้วสิว่าจะมีคนเอาเครื่องมือติดตามฝังไว้ใต้ผิวเธอหรือเปล่า
ทีวีจอยักษ์ถูกเปิดออกเพื่อดูสิ่งบันเทิงยามเบื่อหน่าย จะมีอะไรน่าดูไปกว่าการที่ข่าวออกในทันทีว่าชายหนุ่มรูปงามซึ่งเมื่อวานยังนั่งดินเนอร์ใต้เสียงเทียนกับเธอ ควงสาวไฮโซคนใหม่ออกงานเมื่อเช้าของวันนี้ จะมีอะไรนอกจากข่าวนี้อีกไหมดารินคิด
เธอรีบเปลี่ยนช่องไปดูปลาดาวใต้ท้องทะเลกว้างใหญ่ และก็ต้องพบกับความสลดใจเมื่อพวกมันแทบจะสูญพันธุ์เนื่องจากสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ขนาดปลาดาวยังแทบเอาตัวไม่รอด....เง้อออ
ดารินนั่งมองทีวีอยู่สักพัก ปิดมันแล้วเดินอีกร้อยกว่าก้าวขึ้นไปบนห้องนอน แอบร้องไห้อยู่ตรงมุมประตูอยู่เนิ่นนาน แล้วจึงรีบค้นหาเสื้อผ้าที่ไม่โดดเด่นมากนักพร้อมกับแว่นกันแดดขนาดใหญ่เพื่อซ่อนตัวจากสังคม
เพียงสิบนาทีเศษเธอก็มาถึงยังห้างใหญ่ใกล้บ้านที่เปิดได้ไม่นาน วนเวียนอย่างไร้จุดหมายไปทั่วบริเวณห้าง แล้วก็นั่งพักอย่างเหน็ดเหนื่อย ณ ร้านกาแฟสีเขียว อยู่ไม่ไกลจากร้านเครื่องสำอางมียี่ห้อ เธอแอบสังเกตคนที่เดินเข้าออก พยามเลือกสีสันมาประดับบนใบหน้า
‘ตายๆ แม่นั่นซื้อเข้าไปได้ไงเฉดสีนั้น เพื่อนหล่อนทำไมไม่บอกยะ’
ช่างน่าสงสารเสียจริง เพื่อนสนิทของหล่อนช่วยเลือกสีที่ไม่เข้ากันซะเอาเลย แล้วยังจะยิ้มน่าระรื่นว่ามันสวยอีก เธออยากเดินเข้าไปบอกเหลือเกิน ทว่าตอนนี้จำเป็นต้องละสายตาจากภาพเบื้องหน้ามามองบุคคลที่กำลังเดินเข้าร้านกาแฟมาพร้อมกับเพื่อนซี้สองสามคน พวกนางดูสวยไฮโซสมฐานะกันดี และสิ่งที่โดดเด่นขึ้นมานั้นก็คือผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงกลางของสองนางเฉิดฉาย
‘นังชั่ว’ เป็นความคิดแรกที่ปรากฏอยู่ในหัวสมอง เหมือนว่าหล่อนจะรู้ถึงสิ่งที่เธอกำลังตำหนิ สายตาของทั้งคู่ก็ได้ประสานกันเป็นเส้นตรง และเหนือสิ่งอื่นใด แววตานั้นเธอรู้สึกถึงคำว่าเยาะเย้ยได้เต็มๆ มีเพียงมุมปากที่เหยียดยิ้มพราวเสน่ห์ กับใบหน้าเชิดขึ้น พร้อมกับท่าทางย่างกรายจงใจมาเลือกนั่งโต๊ะด้านหลังถัดจากเธอ
“นี่ๆ สร้อยเส้นนี้ พี่กวินซื้อให้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว” ยัยที่ดูโดดเด่นในสายตาเธอพูดขึ้นเมื่อทิ้งก้นลงเบาะได้ไม่นาน
“ไหนเธอดูหน่อย” เพื่อนนางรีบเสริมขึ้นทันควัน
“ต๊าย เค้าท่าจะรักเธอมากเลย หลายล้านนะคะ” อีกนางจงใจประชดให้เสียงพุ่งตรงมายังเธอ
“เล็กน้อยน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอกจ๊ะ....นี่พี่เค้ายังจะชวนฉันไปเที่ยวสุดสัปดาห์นี้อีกนะ”
“ไปที่ไหนกันจ๊ะ”
“ไกลจากของเก่าที่เค้าทิ้งไปนั่นล่ะ เห็นว่าของชิ้นนั้นมีแต่คนทิ้งนะเธอ” แล้วยัยนั่นก็หัวเราะพร้อมกับเพื่อนชั่วได้เจ็บแสบที่สุดที่เคยได้ยินมา มันน่านัก เธอน่าจะพาเพื่อนๆ มาด้วย เผื่อเอาไว้ประสานเสียงบ้าง
ไม่มีเสียงอะไรที่ขวางหูขวางดารินไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว พึ่งจะเลิกกับเธอได้ไม่นาน สุดที่รักของเธอมีคนใหม่ก่อนจะเลิกกับเธอเสียอีก ฟังอย่างนี้แล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องอายอีกต่อไปแล้วล่ะ
ดารินยกโทรศัพท์ขึ้นมากดไปเรื่อย โทรออกไปยังเบอร์ที่ไม่มีใครโทรติด และก็ไม่มีคนรับ เธอรู้ว่าแม้จะพูดกับสายลม แต่ก็ขอพูดบ้างเถอะ จากนั้นก็รอสักยี่สิบวินาทีก่อน
“ค่ะ ใช่แล้ว” เธอพูดอยู่คนเดียว
“ไม่หรอกค่ะ กวินบอกรินว่าอยากลองคบอะไรแปลกๆ ดูบ้าง” เว้นจังหวะสักพักก็ร่ายยาวต่อ
“เห็นข่าวเมื่อครู่แล้วค่ะ เดี๋ยวก็เลิกแล้วมั้งคะ เค้าไม่จริงจังเท่าไหร่กับเด็กที่เลือกรองเท้าสียังไม่เข้ากับชุดเลย ไม่รู้ว่าบรัชออนแก้มขวาก็คงปัดไม่เท่าแก้มซ้าย....” เธอเหลือบไปเห็นเพื่อนนางอมยิ้มเล็กๆ ....หึหึ ช่างเลือกคบเพื่อนจริงหนอ แสนดีกันทุกคนเลย เป็นเธอคงไล่ไปให้พ้นเท้า
“ริน ไม่เป็นไรค่ะ คนดีอย่างรินเดี๋ยวก็เจอที่ดีกว่านี้ .... บริจาคให้คนอื่นเค้าไปเถิดค่ะ ใช้จนเบื่อแล้ว” แล้วเธอก็กดวางสายหลอกๆ พร้อมกับจิบกาแฟที่เหลืออยู่เต็มแก้วใบน้อยๆ อ่า.... ขมจริง ไม่รู้คนชงใส่ความขมขื่นไว้ด้วยรึเปล่า มันไม่อร่อยดังเคย
“นุชจ๊ะ ไม่ต้องไปสนปากหอยปากปูหรอกจ๊ะ ....พวกนั้นไม่รู้หรอกว่าพี่กวินของเธอร่วมลงทุนห้างนี้ด้วยกัน”
“อุ้ย เหมือนทองแผ่นเดียวกันในไม่ช้าใช่มั้ยเธอ”
“แหม พวกเธอนี่รู้เร็วกันจังเลย ฉันแต่งเมื่อไหร่จะชวนเธอสองคนก่อนเลยล่ะ” สามสหายก็ยกแก้วกาแฟขึ้นชน ราวกับว่ามันเป็นแชมเปญเอาไว้เปิดฉลองในความสำเร็จอะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่ดารินได้ยิน มันทำให้เธอแทบช็อค อดีตคนรักเก่าเมื่อสี่สิบแปดชั่วโมงที่แล้วร่วมลงทุนกับยัยนี่ได้ยังไง ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเธอชวนแล้วเขากลับไม่ยอมแม้แต่จะร่วมหุ้น
“พวกเธอว่าอะไรนะ” เสียงดังขึ้นทันที คราวนี้เป็นเธอที่ทนไม่ไหวเสียเองกับการกระแนะกระแหนข้ามโต๊ะ เลยต้องหันมาคุยกันจังๆ แม้จะเสียเปรียบไปหน่อยก็เถอะ ฝ่ายนั้นมีถึงสาม แต่เธอหัวเดียวกระเทียมลีบ
“เรื่องคนใน คนนอกเกี่ยวอะไรด้วยล่ะคะ” เพื่อนรักของยัยชั่วบอกขึ้นมาอย่างไม่กลัวเกรง
“ไม่เป็นไรเธอ ถ้าคนนอกอยากรู้ ฉันจะบอกให้ก็ได้ .... ที่ๆ คุณกำลังยืนอยู่นี่ เป็นห้างที่ฉันกับพี่กวินร่วมทุนกันคนละครึ่ง ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเราเหมาะกันแค่ไหน ใช่มั้ยล่ะ” คำตอบเพียงเท่านี้ก็ทำให้มือดารินเกร็งเส้นเลือดแทบปูดออกมาระเบิดใส่หน้ายัยสามคนนี่เสียให้ได้ แต่ว่าตอนนี้เธอถือแก้วกาแฟอยู่นี่นา
“อย่านะ! อย่ามาทำพฤติกรรมต่ำต้อยแถวนี้” แล้วเสียงเพื่อนซี้ของคนที่แย่งชายหนุ่มของเธอไปก็ห้ามในสิ่งที่เธอกำลังคิดจะทำ ใช่แล้ว การสาดกาแฟแสนแพงใส่พวกนางเสียหน่อย แต่ก็ชะงักไปชั่วครู่เมื่อคิดได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะลงเอยไม่สวย เธอต้องตอบคำถามมากมายกับนักข่าว ไม่แน่อาจต้องไปขึ้นโรงพัก เพราะยัยแสบพวกนี้แจ้งความ
ช่างมันปะไร! อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด แล้วเธอก็อยากให้มันเกิดด้วย โดยเฉพาะตอนนี้....
‘แฉะ’….น่าเสียดายเป็นที่สุดที่เธอไม่สั่งมาสามแก้ว หรือเอากะละมังมาใส่กาแฟพวกนี้แทนจะดีที่สุด อีกอย่างมันก็แพงไปที่จะเอามาสาดคนแบบนี้
ยัยคนที่ชอบแย่งของๆ คนอื่นเจอเข้าไปจังๆ กระเด็นถึงเพื่อนทั้งสองอย่างหลีกไม่พ้น เธอแอบเห็นปากของสามนางอยากจะกรี๊ดให้ลั่น ทว่าต้องควบคุมอารมณ์เอาไว้ เพื่อภาพพจน์อันสวยงาม ส่วนเธอเหรอ ไม่ต้องการภาพพจน์อะไรนั่นอีกแล้ว ตอนนี้ขอสะใจ ฮ่าๆ....
“แจ้งความก็เชิญ เธอรู้อยู่แล้วว่าโรงพักอยู่ไหน จะรอแล้วกัน” พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วรีบเดินออกนอกร้านมาก่อนฝูงชนที่อยากรู้อยากเห็นจะเข้ามาถามไถ่ หรือเก็บภาพอันสุดแสนสะใจเอาไปลงข่าวในวันรุ่งขึ้น พวกหล่อนเชิญรับหน้ากันไปเองนะยะ ส่วนฉันขอเอาตัวรอดจากการเป็นข่าวไม่ลงลอยแบบนี้ มันน่าขายหน้าที่สุด
วันนี้เป็นวันที่เธอเสียใจ แต่ก็มีอะไรที่พอใจได้เช่นกัน ผู้ชายคนนั้นเลือกคนแบบนี้แทนที่จะเป็นเธอซึ่งเพียบพร้อม และเผลอๆ อาจจะรวยกว่าเยอะ แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยชอบออกงานให้ดูมีหน้ามีตาเท่าก็ตาม อย่างน้อยที่สุดก็ได้รู้ว่าเธอจะได้ทำใจได้ง่ายขึ้นมาอีกนิด
........................
ดารินเดินไปตามทางที่ลูกศรชี้ให้ออก พลางคิดไปว่าแม่นี่สร้างห้างได้วกวนสิ้นดี ทางออกก็แสนไกล เธอจะไม่มีวันกลับมาเหยียบอีกเด็ดขาด คิดแล้วก็รีบเร่งฝีเท้าก่อนที่จะมีใครทันสังเกตว่าผู้หญิงตาบวมที่สาดกาแฟใส่ผู้ถือหุ้นของห้างนี้คือใคร
ระหว่างทางอันแสนไกลนั้นทำให้เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในช่วงท้องของเธอ ไม่นะ....มันจะมายามนี้ได้เยี่ยงไร ฉันทนไม่ไหวแล้ว.... เส้นทางเดินเปลี่ยนไปฉับพลัน เธอเปลี่ยนใจเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย และเดินตรงเข้าทางเดินแคบๆ เพื่อเข้าไปยังห้องที่หลายคนนึกถึงเวลาเจอทุกข์หนัก
‘ฮ่าๆ ฉันได้สะใจอีกอย่างหนึ่งแล้วสิ นี่ห้างของนังชั่ว ฉันก็ขอปลดปล่อยทุกข์ไว้ในห้างนี้ก็แล้วกันนะจ๊ะ’
เธอคิดดังๆ เพราะรู้สึกว่าตัดสินใจไม่ผิดที่ดื่มน้ำส้มเปล่าๆ เข้าไปสองแก้ว ทำให้ตอนนี้เธอได้มานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในห้องน้ำหญิง ห้องเล็กๆ เพียงผู้เดียว หนึ่ง สอง และแถมไปอีกเป็นสามนะคะ แม้ว่าจะเล็กไปหน่อยก็ตาม มันก็สุขใจอยู่ลึกๆ
หมดสิ้นความทุกข์เสียที ดารินมองหากระดาษที่ควรจะติดอยู่ข้างฝาผนังทันที แต่แล้วก็พบว่าห้องที่เธอเลือกเข้านั้น กระดาษชำระหมด แย่แล้วสิ! ห้างของยัยชั่ว มันจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้เลยเหรอ ไม่มีแม้กระทั่งการเติมกระดาษในรอบวัน แล้วความทุกข์เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง....
เดี๋ยวก่อน! เธอยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว กระดาษทิชชู่ที่พกเอาไว้ซับน้ำตาเผื่อเสียใจกะทันหันยังคงอยู่ในกระเป๋าถือใบเก๋นี้ ดารินรีบล้วงมือเข้าไปควานหยิบมันออกมา แต่สิ่งที่พบนอกเหนือจากทิชชู่ช่วยชีวิตนั่นก็คือ....
‘กระจกงี่เง่านั่นอีกแล้ว มันมาอยู่ในกระเป๋าฉันได้ยังไง’
........................