กระจกวิเศษ ตอนที่10

เช้าวันนี้ดารินไม่มีความสุขมากนักมันเป็นวันที่ทุกคนต่างจดจ้องมาที่เธอเพียงคนเดียว โดยเฉพาะนังทิพย์ที่เขม่นเธอมากกว่าปกติ เธอคิดว่าหากหล่อนเกลียดเธอมากกว่านี้อีกสักหน่อยลูกตานั่นคงถลนออกเบ้ามาแน่ ขนาดเธอตักอาหารเข้าปากยังคิดแช่งเลยว่าขอให้อาหารเป็นพิษ

ไมไหวๆ ถ้าเจออย่างนี้ทุกวันมีหวังเป็นโรคประสาท หล่อนคงหาเรื่องกับทุกคนจนคนเฉยชาไปกันหมด มีแต่เธอที่ทำอย่างไรก็ไม่คุ้นกันพฤติกรรมนี้ และตั้งแต่เมื่อวานมาเธอเองก็ไม่พยามอ่านใจใครให้มากนัก เพราะมันจะพบกับความเสียใจ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง เธอไม่สน แค่วันๆ เธอทำในส่วนของเธอให้ดี ไม่ไปเบียดเบียนคนผู้อื่นก็พอ

เฮ้อ คนไม่รวยมันลำบากอย่างนี้นี่เอง ชีวิตต้องขึ้นอยู่กับคำว่าเงินค่าจ้าง ความเหนื่อยล้า ไม่สามารถบ่นกับใครได้ และสิ่งที่ยิ่งซ้ำเติมก็คือการที่มีเพื่อนร่วมงานไม่น่าคบหา เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมป้าสายไม่ไล่ตัวปัญหาออก ยัยคุณหญิงคุณชายของบ้านไม่สนใจใส่ใจรายละเอียดเหล่านี้เลยรึ

แต่จะว่าไปแล้วเธอเองก็ไม่ค่อยยุ่งเรื่องในบ้านตัวเองสักเท่าไหร่ ปล่อยหน้าที่นี้ให้เป็นของคนอื่น ไม่ได้ละ! ถ้ากลับไปเมื่อไหร่ ไม่ว่าที่บริษัทหรือที่บ้าน ทุกที่ต้องไม่มีคนแบบนังทิพย์อยู่ มันสร้างความรำคาญแก่คนอื่นเหลือเกิน

มีอย่างหนึ่งล่ะนะที่ดารินภูมิใจเป็นพิเศษ เธอรู้สึกว่าตัวเองปรับตัวได้เร็วยิ่งกว่ากิ้งก่า เพราะอาหารมื้อนี้เธอยอมกินผัดผักใส่หมูสับ เอ่อ เรียกว่าวิญญาณหมูสับจะดีกว่า แม้มันจะไม่รู้สึกถึงหมูสับเท่าไหร่ เธอก็เคี้ยวมันลงคือโดยไม่เกิดอาการผื่นขึ้นอย่างที่ได้วิตกจริตไว้แต่แรก

ไม่นานนักขณะที่อาหารหมดไปได้ครึ่งจานก็สังเกตเห็นว่าเพื่อนแก้วเดินเข้ามาในห้องอาหารพร้อมกับผู้ชายอีกคนที่หน้าตาบ้านๆ มีแบบพิมพ์เดียวกับแก้วไม่ผิดเพี้ยน

แก้วเลือกที่นั่งข้างเธอเหมือนทุกครั้ง เริ่มแนะนำคนที่เดินมาพร้อมกัน ไม่ต้องบอกดารินก็รู้ว่ามันคือพี่ชายนั่นเอง เขาดูท่าทางเป็นคนขยัน มีสีหน้าซื่อๆ ไม่เหมือนผู้ชายในสังคมที่เธอเจอ มันฉลาดหลักแหลม หล่อ รวย บ้านสูงศักดิ์แต่ขาดความจริงใจ

“ลำไย นี่พี่ชายฉันกาน” แก้วนั่งลงข้างๆ แนะนำพี่ชายคนเดียวของหล่อน ซึ่งเขาดูอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเธอ

“เรียกกานก็ได้” เขาหันมายิ้มแย้ม

“ฉันลำไยค่ะ” เธอแนะนำตัวไปเฉยๆ ก็ไม่เห็นว่ามันจะสลักสำคัญมากนัก แค่รู้จักคนงานในนี้เพิ่ม

“เอ่อ ลำไยรู้ภาษา....ใช่มั้ย” แก้วถามแบบกระท่อนกระแท่น เหมือนไม่อยากให้เธอลำบากใจ

“รู้จ๊ะ ทำไมเหรอ” เง้อ จะมาไม้ไหนอีกล่ะนี่ เธอรีบอ่านใจแก้ว พบว่านางจะขอร้องบางเรื่องนั่นเอง

“ถ้าลำไยว่าง ช่วยสอนพี่ฉันหน่อยได้มั้ย”

หล่อนพูดแบบกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเธออย่างนั้นเหรอ เธอก็มองไปทางพี่ชายแก้วที่มีสีหน้าอายๆ เขาให้น้องสาวที่ค่อนข้างจะรู้จักกับเธอมาขอร้อง

“กานออกไปเรียนเพิ่มเติม อยากก้าวหน้า แต่มันยากมากเลย” เขาเอ่ยยิ้มๆ ใจก็นึกกังวลว่าหากเธอปฏิเสธก็คงต้องใช้เงินจำนวนมากออกไปหาที่เรียนเพิ่มเติม

“ได้สิ” ดารินรับปาก เห็นแววตาความมุ่งมั่นของเขาที่อยากพัฒนาตัวเองให้พ้นจากสภาพความเป็นอยู่ปัจจุบัน

ก่อนเธอเคยนึกรังเกียจคนสวนตัวดำๆ มีแต่เหงื่อแต่ไคล ทำสวนอยู่หน้าบ้านของเธอ เป็นภาพที่ทำให้สวนหน้าบ้านเธอไม่น่าดูชม

เวลานั้นเธอมักจะขังตัวอยู่ในห้องก่อนออกมาเดินเล่น แต่ว่าเวลานี้เธอกลับรู้สึกสงสารพวกเขาเหลือเกิน ใครบ้างอยากเกิดมาขาดแคลน บางคนไม่ได้มีโอกาสมาตั้งแต่เกิด

เธอเองเสียอีกที่มีโอกาส และมากพอจะหยิบยื่นให้คนอื่น แล้วทำไมเธอถึงไม่เคยทำเล่า บัดนี้ช่างน่าเสียดายเวลาที่ผ่านมาซะเหลือเกิน มัวแต่ไปวิ่งตามความรักที่ไม่สมหวัง เธอน่าจะหันมาดูคนรอบตัวเธอเสียมากกว่า

ดารินรับปากช่วยกาน โดยบอกว่าจะหาเวลาว่างมาสอนให้เขา เท่านี้เธอก็เห็นว่าเขารู้สึกมีความหวังมากขึ้นกว่าเดิม เธอคิดว่าคนแบบนี้ก็น่าชื่นชม และน่าสนับสนุนไม่น้อย

........................

“ลำไย” ล้างจานยังไม่ทันได้คว่ำ เสียงหัวหน้าแม่บ้านก็เรียกอีกครา จะให้เธอทำงานอะไรแล้วแต่บัญชาเลยค่ะ อย่างน้อยตอนนี้เธอก็รู้วิธีถูพื้น ล้างจาน เช็ดเครื่องเรือน และอาจมีซักผ้าบ้างเล็กน้อย คงไม่มีอะไรจะยากไปกว่านี้แล้วล่ะ

“คะป้าสาย” แต่ป้าสายทำหน้าแบบนี้เธอก็อ่านไม่ออกน่ะสิ อย่ากระนั้นเลย ขอตรวจจิตป้าหน่อย .... ไม่มีอะไร ว่างเปล่า สงสัยว่าแกจะเริ่มหลงลืมบ้างตามกาลเวลา

“ตั้งแต่วันนี้ไปทำที่ห้องคุณนุชอย่างเดียวก็พอนะ” ป้าใช้สมองประมวลผลสักครู่ก่อนจะพูดกับเธอ เธอพอเข้าใจว่าบ้านใหญ่ขนาดนี้มีหลายอย่างให้จัดการ ใครเป็นหัวหน้าแม่บ้านก็คงเบลอบ้างล่ะน่า

“ค่ะ” เฮ้ย! แต่เดี๋ยวสิเมื่อกี้ป้าว่าอะไรนะ เธอดันตอบค่ะไปซะงั้น

ตั้ง แต่ วัน นี้ ไป ทำ ความ สะอาด ที่ ห้อง ยัย คุณ หนู ....ตั้งสติเรียงคำช้าๆ จนเข้าใจความหมาย ป้าเดี๋ยว! ดารินหันกลับมาอีกทีป้าสายก็หายวับไปกับตา แม้ว่าแกจะคิดอะไรช้าไปบ้าง แต่การเคลื่อนไหวนี่เธอยังแทบตามไม่ทัน

โอว! นังคุณนุช หล่อนจะเกิดประทับจิตประทับใจอะไรในตัวเธอกันอีกล่ะเนี่ย ช่วยเลือกชุด ทำผมให้ก็มากพอแล้วมั้ง ให้ไปทำความสะอาดห้องนางอีก เธออาจพลั้งมือทำน้ำถูพื้นหกใส่นางได้ แบบที่ทำกาแฟหกใส่ครั้งนั้นไง

........................

ชักไม่ชอบใจในโชคชะตาที่ตอกย้ำให้เธอมาเจอกับยัยนุช บุคคลอันตรายหมายเลขหนึ่งที่เธออยากหลีกเลี่ยง หล่อนมีความสามารถพิเศษช่วงชิงสิ่งสำคัญของเธอได้ ไม่รู้ว่าอยู่ใกล้นางเธอจะต้องเสียอะไรไปบ้าง คิดแล้วอยากลาออก หนีไปต่างประเทศพักร้อนให้หายเซ็ง

แต่คนที่เซ็งกว่าเธอตอนนี้ ก็คงจะไม่พ้นทิพย์คนสนิท หล่อนคงหมดความสำคัญไปเยอะกับภาระหน้าที่ที่สำคัญน้อยลง ฮ่าๆ มันก็แค่การถูพื้นล่ะว้า ถูที่ไหนมันก็ไม่ได้ยกระดับให้มีคุณค่ามากมายไปกว่าคำว่า ถูพื้น ไม่เข้าใจเล้ยยยยว่าจะทำเบ่งใส่คนอื่นไปเพื่อ

ตลอดทางเดินดารินบ่นพึมพำกับตัวเอง ถึงความไม่พอใจต่างๆ นาๆ เอางานนี้ให้นังทิพย์ เธอคิดว่าหล่อนคงภูมิใจมากกว่าเธอด้วยซ้ำ ห้องยัยนี่มันน่าเช็ดซะที่ไหน เบื่อจริง

ประตูที่สี่ เธอวางของลงที่พื้นยกมือเคาะประตู แอบคิดว่าประตูคือหน้ายัยนุช เผลอเคาะแรงไปหน่อย เจ็บมือเลย ลูกบิดสีทองวิ้งๆ ถูกเธอหมุนให้เปิดออกแล้วเดินยกข้าวของเข้าไปในให้ห้อง

เมื่อเท้าก้าวเข้ามาเหยียบได้พอดิบพอดี สิ่งแรกที่ทำก็คือการมองไปรอบๆ ว่ามีบุคคลใดอยู่กับเธออีกหรือไม่ แม้ใจจะภาวนาว่าให้นางออกไปให้พ้นๆ แต่กลับไม่เป็นดังคิด เมื่อนางกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังอ่านเอกสารอะไรสักอย่างด้วยอาหารครุ่นคิด เฮ้อ! เธอคงต้องทำหน้าที่คนใช้ที่ดีถูพื้นอย่างเงียบๆ เจียมตัวอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของห้อง

สามสิบกว่านาทีผ่านไปกับอาการเกร็งตลอดเวลาที่ทำงาน ถ้าเสียงดังขึ้นมานังคุณหนูนี่จะบ่นเธอรึเปล่า ถ้านางบ่น เธอคงแค้นเป็นเท่าตัวที่ไม่สามารถตอบโต้อะไรกลับคืนได้เลย และเธอก็กะว่าจะแกล้งทำน้ำยาหกเสียหน่อย นังคุณหนูนี่ดันอยู่ซะได้ เลยให้ต้องรีบทำๆ ให้มันเสร็จๆ ไป อันดับต่อไปก็คือล้างห้องน้ำสินะ

ดีที่แก้วบอกว่าขวดน้ำยาอยู่ใต้อ่างล้างมืออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องยกขึ้นไปอีก เธอหยิบมันราดๆ แบบลวกๆ สาดน้ำไปหน่อย เอาไม้ที่อยู่ข้างๆ ขัดโดยไร้ความประณีต จากนั้นก็ราดน้ำลงท่อ ง่ายนิดเดียว ฮ่าๆ จะคิดว่าสะอาดหรือไม่สะอาดก็แล้วแต่นางละกัน อยากจะทำแค่นี้ มีอะไรอ๊ะเปล่า....

ก๊อกน้ำถูกเปิดเพื่อล้างมือ เป็นอันจบสิ้นภารกิจของวันนี้ ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษ ใช้เวลาน้อยกว่าห้องโถงพอสมควร แต่ทรมานใจมากกว่าหลายเท่านัก ดารินเช็ดมือเข้ากับชายเสื้อ มองดูตัวเองในเงาสะท้อนของบานกระจกอันใหญ่ อร๊าย น้ำตาจะไหล เธอบิดหน้าไปทางอื่นแล้วเดินออกห้องน้ำทันที

ดารินหยิบอุปกรณ์มากองรวมกันที่ประตูทางออกเตรียมจะเอามันทั้งหมดไปเก็บ จากนั้นเธอก็คิดว่าจะไปขังตัวอยู่ในห้อง รอเวลาอาหาร ไม่ก็เดินไปถามป้าสายว่ามีอะไรให้ทำอีกมั้ย ถ้าหากไม่มีก็กลับเข้าไปนั่งจุกตัวบนเตียง นับวันเวลาให้มันผ่านพ้น

ก็ไม่รู้หรอกว่าคำตอบที่เจ้ากระจกจะให้เธอมันมีจริงหรือไม่ เธอจะรู้อะไรได้มากกว่านี้อีกรึเปล่า และสิ่งที่เธอรู้เมื่อวานจากความคิดกวินก็ทำเอาแทบทรุด อยากรู้มากกว่านี้ อยากเข้าใจว่าทำไมเขาถึงทิ้งเธอ ทำไมไม่มีใครรักเธอบ้างเลยหรือ แต่ก็แอบกลัวหากรับความจริงมากกว่านี้เธออาจเสียใจก็ได้ บางทีโชคชะตาอาจลิขิตให้เธอต้องลำพัง

........................

“ลำไย เดี๋ยวก่อน” เอาอีกแล้วเสียงเรียกจากนรก ไม่อยากรู้เลยว่าวันนี้นังคุณหนูจะขอให้เธอช่วยอะไรอีก เลือกชุด แต่งหน้า หรือทำผมล่ะหล่อน คิดเองไม่เป็นเลยรึไง เดี๋ยววันนี้แม่จะหลอกให้สวยสะดุดเลยคอยดู

“คะ คุณนุช” แม้ว่าเสียงของเธอจะฟังดูไพเราะเหมือนขานรับคำสั่งของเจ้านาย หากแต่หล่อนไม่ทันเห็นแววตาชั่วร้ายของเธอเลยสักนิด ก็ดีแล้วล่ะ มัวแต่ก้มอ่านอะไรอยู่ได้

“มาทางนี้หน่อยสิ” เธอเดินเข้าไปอยู่ข้างๆ

ดารินเห็นหล่อนเขียนอะไรยุกยิกลงกระดาษ บางทีอาจฝากอะไรไปบอกป้าสายก็ได้มั้ง เรื่องแค่นี้นางโทรเข้ามือถือป้าสายเลยไม่ได้รึยังไง ใครเค้าเขียนจดหมายส่งให้กันในบ้าน มันออกจะโบราณไปหน่อยนะยะ

หล่อนส่งให้เธอ ดารินกวาดสายตาขึ้นลงตามตัวอักษรเหล่านั้น มันถูกขีดเขียดหวัดๆ ด้วยลายมือที่ไม่สวยมากนัก เพราะเธอเขียนได้สวยกว่านี้เยอะ ใช่แล้ว! เธออ่านมันได้และเข้าใจในความหมายของข้อความนั้นทุกประโยคทุกตัวอักษร แต่สิ่งที่เธอไม่เข้าใจคือยัยคุณนุชนี่ หล่อนพูดก็ได้ไม่จำเป็นต้องส่งมันเป็นข้อความแบบนี้เลย

เธอรีบมองหน้าหล่อนค้นหาความในใจอย่างเร่งด่วน อยากรู้จังว่านางจะเขียนไปเพื่ออะไร แค่นี้มันใช้คำพูดง่ายกว่ามั้ย เปลืองกระดาษค่ะ ก็ในเมื่อใจความง่ายๆในกระดาษแค่นี้มันบอกตามตัวเลย

‘ฉันจะให้เธอมาช่วยงานฉันเพิ่ม และจะเพิ่มเงินให้ด้วยนะลำไย’

โอวไม่นะ หล่อนต้องการรู้ด้วยน่ะเหรอว่าเธออ่านออกเขียนได้ด้วยหรือเปล่า ด้วยภาษาต่างถิ่นสองสามภาษาที่เธอถนัด ดันทำสีหน้าว่ารู้เรื่องเสียแล้วเสียด้วยสิ คราวนี้จะรีบปฏิเสธอย่างไรกันล่ะ ดารินมองเฉไปทางอื่น หลบสายตาเจ้าของห้อง แล้วเอ่ยไปว่า

“มันคืออะไรเหรอคะ” เธอทำหน้าสงสัยสิ่งที่ยัยนั่นส่งมาให้อ่าน ให้ตายสิ ปั้นหน้าว่าฉันฉลาด ยังง่ายกว่าต้องแกล้งโง่เลย เธอฉลาดเป็นทุนเดิม หากจะแกล้งโง่นั้นยากละล่ะทีนี้

“ฉันไม่เชื่อหรอกนะลำไย เธออ่านมันออก ฉันรู้” นังนี่ก็ไม่เชื่อกันสักหน่อยรึไง ฉันอุตส่าห์แกล้งโง่แล้วนะ หล่อนดันมารู้อีก แถมคิดด้วยว่าเธอไม่อยากจะช่วยงานหล่อน อันนี้คิดถูกนะคะ ฉันไม่อยากช่วยงานยัยนี่

เอาเศษเงินมาจ้างฉันอย่างนั้นเหรอยัยนุช ฉันไม่ได้ดูถูกนะ แต่แค่นี้มันไม่พอหรอกจ๊ะ ฉันหาได้มากกว่านี้เยอะ

รอออกไปจากนี่ก่อนเถอะ ฉันไม่ฮือฮากับจำนวนที่หล่อนเสนอหรอก ผิดหวังล่ะสิ ดูหน้าก็รู้ หึหึ! ช่างสะใจเสียจริง

“ลำไยช่วยฉันหน่อยนะ แค่ช่วงนี้ก็ได้ อยากหยุดเมื่อไหร่ก็ได้ งานบ้านก็ไม่ต้องทำแล้วก็ได้นะลำไย” แม่คุณหนูนุชอ้อนเธออย่างนั้นเหรอ ทำไมไม่ไปจ้างคนอื่นล่ะคะ สงสัยนางไม่อยากเสียเวลาตามหาคน

เฮอะ! ทำหน้าเข้า ฉันไม่ช่วยนางหรอกย่ะ แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้นางว่างานบ้านไม่ต้องทำอย่างนั้นเหรอ มันเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดสำหรับเธอเลยล่ะ เงินมันยังไม่ดึงดูดใจเท่างานบ้านไม่ต้องทำ แหมๆ ชักลังเลแล้วสิคะนังนุช

“ช่วยฉันนะลำไย” นางยังทำเสียงเหมือนอ้อนๆ

โตแล้วนะยัยนี่ แล้วฉันก็เป็นคนใช้ไม่ใช่ใครที่ไหน หล่อนไม่จำเป็นต้องมาใช้เสียงหว่านล้อม แต่จะว่าไปถ้านางไม่เคยแย่งของๆ เธอ ก็ยอมรับว่ามุขขอร้องของนางใช้ได้ผลดีทีเดียวล่ะ ต้องจำไปใช้บ้างละคราวนี้ เผื่อว่าวันหลังทำอะไรอาจง่ายกว่าเดิม เพราะดารินคนก่อนเอาแต่สั่งๆ อย่างเดียว

คราวนี้หล่อนไม่พูดเปล่า ดึงเธอนั่งลงตรงเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ทึกทักเอาเองว่าเธอตอบว่าได้ค่ะ แบบนี้มันบังคับกันชัดๆ ยัยนีรนุช ไม่นานก็ดันเอกสารที่วางอยู่แถวนั้นมาให้ แล้วเอ่ยด้วยสำเนียงหวานดูน่าฟัง

“แปลให้ฉันทีนะ ตรงไหนไม่ได้ก็วงไว้” หล่อนวางเอกสารภาษาต่างถิ่น มันไม่ใช่ภาษาที่สองแต่เป็นภาษาที่สามของหนึ่งในนักธุรกิจพวกนั้น ก็เข้าใจนะว่าไปติดต่อกับรายใหญ่ๆ เค้าก็ใช้ภาษาของเค้าเองน่ะสิ ใครจะยอมใช้ภาษากลางในเมื่อพวกนั้นเป็นมหาอำนาจทางธุรกิจ

“เริ่มเลยจ๊ะลำไย เดี๋ยวฉันไปขอป้าสายหาอะไรมาให้ดื่ม” โอ้โห นางบังคับแบบผู้ดีมากเลยเนี่ย เอางานมากองหน้าเธอแล้วก็ลุกขึ้นหนี เฮอะ! อย่างนี้มันก็ต้องแปลให้เละเลยล่ะค่ะ ไหนเอามาดูสิ

....ง่ายๆ แค่นี้นังนุชหล่อนไม่รู้เหรอไรว่ามันสื่อสารว่าอะไร สงสัยพึ่งไปเริ่มเรียนมา แล้วจะให้เธอเขียนหรือแปลอะไรอีกล่ะเนี่ย อ่านแล้วยังต้องมานั่งเขียนลงอีกมันลำบากเหลือหลายนะหล่อน

เธอตัดสินใจเขียนไว้ที่แต่ละย่อหน้าเป็นตัวเลขหนึ่งสองสามไล่ลงจนย่อหน้าสุดท้าย แล้วก็นั่งกอดอก รอยัยคุณหนูนั่นเดินกลับมา นานจังนะ อยากรู้จะเอาอะไรมาให้ดื่ม กาแฟ ชา หรือขนม เอามาซื้อใจเธออย่างนั้นเหร้อออ กลับไปกินไข่ต้มกับผัดผักยังดีกว่าย่ะ

สิบห้านาทีผ่านไป ดารินยังนั่งมองไปที่กองงานของนาง ไม่อยากหันไปแถวโต๊ะหัวเตียงที่มีรูปแฟนหล่อนถ่ายคู่กันอยู่ เธอทำแตกนั่นก็ไม่ได้ตั้งใจเท่าไหร่ น่าเสียดายที่ไม่ได้ตั้งใจปามันให้แรง

........................

“มาแล้วๆ ลำไย” สักพักประตูห้องก็เปิดออกพร้อมเสียงของนาง แล้วยัยนั่นทำไมต้องยกถาดขนมมาเองด้วยล่ะ น่ากลัวนะนี่ แค่เอาใจคนใช้ไม่ต้องลงทุนขนาดนี้ก็ได้มั้งคะ หรือหล่อนรู้ว่าเธอคือดาริน เลยจงใจใส่ยาเบื่อลงในแก้วกาแฟกับถาดขนมที่ยกมาให้ คงไม่ล่ะมั้งเธอคิด

เจ้าของห้องจัดแจงวางมันลงบนโต๊ะ บอกกับเธอว่าหยิบกินได้เลย แล้วก็เดินอ้อมมายืนมองกระดาษเมื่อสักครู่ที่จงใจยัดเยียดให้เธอช่วยแปล นางทำหน้างงๆ ที่ไม่เห็นว่าลำไยจะเขียนอะไรลงไปสักนิด

“ลำไย อะไรเหรอ” ในที่สุดก็ถามถึงตัวเลขย่อหน้าแต่ละบรรทัดที่เธอเขียนเอาไว้

“ฉันไม่เขียนได้มั้ยคุณนุช” เธอบอก เรื่องอะไรต้องมานั่งเขียนให้นางอีก เปลืองเวลาย่ะ

“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะลำไย ช่วยฉันหน่อยนะ” นางเริ่มจะผิดหวังอีกครั้ง แล้วก็ทำหน้างอๆ แบบคุณหนูไม่ได้ดั่งใจ

“ขอมือถือคุณนุชหน่อยค่ะ” เธอบอกออกไป เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอะไรมากมาย ช่วยๆ ให้มันจบๆ ไป

“อะ เอาไปทำไมเหรอ” แต่ก็ยอมส่งมาให้เธอทั้งที่ยังงงๆ

แล้วนางก็มองเธอแบบอึ้งเข้าไปใหญ่ที่เห็นเธอกดมันไปมา จนไปหยุดที่โปรแกรมอัดเสียง มือถือราคาขนาดนี้มักจะมีติดมาด้วยกับตัวเครื่องด้วยอย่างแน่นอน ดารินกดเปิดมันขึ้น ทำท่าทางชี้นิ้วสั่งให้ยัยคุณหนูนั่งลงข้างๆ

“นี่ย่อหน้าที่หนึ่งนะคะ เค้าเขียนมาว่าเค้าต้องการให้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างตรงส่วนด้านหลัง แล้วให้ตกแต่งเพิ่มเติม....” เธอเริ่มบรรยายในทันที ก็เห็นว่านังคุณนุช หยิบปากกาขึ้นมาจดตาม ไม่ปริปากบ่นอะไรทั้งนั้น

สิ่งที่เธออ่านให้ยัยนั่นฟัง ไม่ใช่แค่อ่านไปตามที่ย่อหน้าพวกนั้นมันเขียนไว้อย่างเดียว หากแต่เธอเพิ่มเติมด้วยการอธิบายสรุปย่อๆ ถึงความหมายในข้อความนั้นด้วย บางทีก็มีออกความเห็นบ้างเป็นบางอย่าง จนเธอลืมไปว่าตัวเองนั้นเป็นแค่คนใช้ ก็ดารินซะอย่าง บอกแล้วว่าให้แกล้งโง่น่ะมันยาก

“ส่วนนี้ฉันว่าคุณนุชลองไปคุยกับคนลงทุนก่อนดีกว่า ว่าเค้าต้องการให้เพิ่มตรงไหน.... แล้วย่อหน้าท้ายสุดนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นแค่คำแสดงความยินดีกับกิจการที่กำลังไปได้สวย” เธอปิดการบรรยายสั้นๆ ฉบับลำไยลง หันไปถามว่าคุณไม่เข้าใจอะไรในส่วนไหนรึเปล่า พร้อมกับกดปิดเครื่องอัดเสียง

สิ่งที่เธอได้กลับมาคือการส่ายหน้าแบบเอ๋อๆ ของยัยคุณหนู เธอบอกไปหมดขนาดนี้ หล่อนเข้าใจหมดทุกอย่างเลยล่ะ ในเวลาอันแสนสั้นเสียด้วยสิ แต่ยัยนั่นกำลังสงสัยว่าเธอรู้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร เธอทำงานอะไรมาก่อน ทำไมถึงรู้มากมายขนาดนี้ หล่อนสงสัยถึงขนาดว่าเธออาจไม่ได้เป็นแค่คนงานในบ้านของเจ้านายเก่า หากแต่สภาพของลำไยมันช่างขัดเหลือเกิน

“ขอบคุณนะลำไย ช่วยได้มากเลย ว่าแต่เธอเป็นใครปลอมตัวมารึเปล่าเนี่ย” ยัยคุณหนูพูดขึ้นมาลอยๆ พยามทำให้มันดูตลกๆ มันเป็นแค่อาการอึ้งที่หลุดปากพูดออกมา ทว่าดารินแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ แสร้งทำเป็นหยิบขนมกิน และยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบช้าๆ

เอาอีกแล้ว! นังนีรนุชสังเกตท่าทางการดื่มกาแฟของเธออย่างนั้นหรอกหรือ มันเหมือนผู้ดีกำลังจิบกาแฟล่ะสิ แน่นอนถึงฉันจะเป็นลำไย แต่ฉันก็ไม่ลืมกำพืดตัวเองนะยะ ใครจะมาซดซวบๆ ให้หล่อนเห็น ต้องรอตอนไม่มีคนก่อนย่ะ ฮิๆ

คุณหนูลูกผู้ดีขอให้เธอแปลอีกไม่มากก่อนจะปล่อยตัวเธอให้ไปพักได้ตามสบาย หล่อนบอกเธอว่าเข้ามาช่วยในวันที่หล่อนทำงานอยู่ที่บ้าน ส่วนเรื่องงานบ้านนั้น ยังขอร้องให้เธอทำอาทิตย์ละครั้งก็พอ หรือไม่ต้องทำมากก็ได้ เพราะห้องนี้มีแค่นางคนเดียว ไม่ได้สกปรกอะไรมากมาย ซึ่งเธอเห็นว่ามันก็ดีแล้วเพราะหากเธอไม่ทำงานบ้านเลยจะเกิดคำถามมากมายของคนอื่นๆ

ขี้เกียจมานั่งตอบว่าทำไมอยู่ดีๆ ก็มีอภิสิทธิ์เหนือใคร โดยเฉพาะนังทิพย์ ยัยนี่ต้องคอยราวีเธอตลอดแน่ เมื่อเช้ายังแทบใช้ลูกตาเผาเธอไหม้คาโต๊ะอาหาร

ยัยคุณหนูนี่จะหยุดอยู่บ้านอาทิตย์ละสองสามวันเท่านั้น และการช่วยนางแต่ละทีก็ไม่กินเวลานาน ขอแค่เธอก็พยามข่มใจไม่เกลียดหล่อนขึ้นมากะทันหันก็พอ เธอใช้วิธีนับหนึ่งถึงสิบในใจ บางทีเธอก็แกล้งทำเป็นเคี้ยวขนม อันที่จริงเธอกำลังกัดฟันกรอดๆ อยู่ต่างหากล่ะ

........................