ดอกเบี้ย ตอนที่15



[---]อรวีเดินวนไปมาในห้องนอนอย่างร้อนใจ เธอรีบโทรหากมลชนกทันทีเมื่อถึงเวลาเลิกงาน เพื่อนเธอจะพาเลขาหน้าสวยไปไหนบ้าง



[---]ก็แล้วเธอทำไมต้องอยากรู้มากมายด้วยล่ะเนี่ย สองคนนั้นจะไปไหนแล้วมันเรื่องอะไรของเธอที่ต้องถาม



[---]เอ่อใช่ เธอต้องการรู้ความคืบหน้าเรื่องของไอรดานั่นเอง นี่แหละเหตุผล น่าจะฟังขึ้นที่สุด กดโทรอีกสายดีมั๊ย ก็ตอนนี้เธอโทรเข้าจะเป็นสิบสายแล้วนี่นา เพื่อนตัวแสบก็ไม่รับโทรศัพท์เสียที



[---]‘กรุณาฝากข้อความ หลังจากได้ยินเสียง....’



[---]หลายรอบแล้ว เธอคงต้องหยุดทำใจได้แล้ว กมลชนกคงไม่อยากรับสายจริงๆ เพื่อนรักคนนี้ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน จะกินจะนอน กระทั่งเข้าห้องน้ำ โทรศัพท์มือถือก็อยู่ใกล้ตัวเสมอ



[---]เฮ้อ...แล้วเราจะมานั่งทำใจเรื่องอะไรล่ะนี่ จะช้าหรือเร็วก็คงได้เจอ เอาไว้ค่อยไปถามไถ่เอาตอนนั้นก็ได้เนอะอรวี น่าห่วง....แต่ก็ไม่รู้ห่วงเรื่องอะไร ฉันคงกังวลไปเรื่อย



........................

[---]“คุณนกกลับก่อนเลยได้นะคะ แค่นี้ไอก็เกรงใจมากแล้ว” เพื่อนเจ้านายคนนี้มาส่งเธอแล้วก็นั่งเป็นเพื่อนอยู่นาน



[---]“ไม่เอาน่าไอ อย่าคิดอย่างนั้นสิ เกรงจงเกรงใจอะไรกัน” บอกพลันรู้สึกสงสารไอรดามากที่ต้องฝืนยิ้มทั้งๆ ที่บ่อน้ำตาจะแตกอยู่แล้ว



[---]“เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะบอกอรให้ว่าเธอลางานด่วน ไม่ต้องกังวลนะ” แล้วกมลชนกก็เดินออกจากห้องผู้ป่วยที่หลับสนิทอยู่บนเตียง มีไอรดาเดินตามออกมาส่ง



[---]“ขอบคุณ คุณนกมากนะคะ” ผู้หญิงคนนี้ช่างแสนดี ความประทับใจที่มีมันตื้นตันจนไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรได้อีก



[---]“ให้นกช่วยอะไรก็บอกนะ” เธอกอดปลอบใจไอรดา เมื่อเห็นว่าหล่อนอาจต้องการกำลังใจบ้าง



[---]“....” แทนความรู้สึกมากมายที่อัดอั้นมานาน ไอรดาร้องไห้อย่างเศร้าสลด โดยมีกมลชนกที่ปลอบใจอยู่ข้างๆ นานจนเธอคืนความมีสติกลับมาได้ กล่าวขอบคุณและเดินเข้าไปเฝ้าคนป่วยในห้องอีกครั้ง



........................

[---]“กว่าจะโทรกลับ” อรวีกรอกเสียงไปตามสาย พยายามทำเหมือนกำลังถามไถ่สบายอารมณ์



[---]“เค้าลืมมือถือไว้ในรถน่ะตัวเอง รีบไปหน่อย”



[---]“อ่าวเหรอ แล้วเป็นยังไงบ้าง” เธอพูดราวกับเป็นคำถามปกติ ที่มักจะถามเวลาเพื่อนสาวสืบเสาะบางอย่างได้



[---]“ก็โอเคนะ ไปดูหนัง ไปกินข้าว ไม่มีอะไรมาก แล้วก็ไปส่งตามที่ไอเค้าขอ” กมลชนกตอบไม่หมด เธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพื่อนจะแสดงออกอย่างไรต่อ เพราะโทนเสียงนั้นเจ้าหล่อนอยากรู้ซะเหลือเกิน



[---]“เหรอๆ เอ่อแล้วยังไงอ่ะ”



[---]“อยากรู้อะไรล่ะ”



[---]“ก็เรื่องที่ไปดูหนังอ่ะ ดูเรื่องอะไร กินข้าว กินอะไร แล้วก็ไปส่งยัยนั่นที่ไหน” ว่าแล้วเชียว คำถามนี่นอกประเด็นเหลือเกิน มันควรจะถามว่าจับพิรุธยัยนี่ได้รึยัง โอ้ ดันพูดในสิ่งที่อยากรู้จริงๆ ออกไปซะได้อรวี



[---]“เรื่องยาวเลยล่ะตัวเอง รวมถึงหลายๆ เรื่องด้วย ว่าแต่จะมีเวลานั่งฟังมั๊ยล่ะ”



[---]“เล่ามาเลย เค้าถึงคอนโดแล้ว ไม่ได้ไปไหน มีเวลาเยอะแยะ”



[---]แล้วเพื่อนซี้ก็เริ่มเล่าตั้งแต่เดินออกบริษัทไป เธอพูดถึงแขนที่ปวดของไอรดา ทำเอาอรวีตอบไม่ตรงคำถามเลยทีเดียว



[---]เธอเล่าถึงหนังที่ไอรดาเลือกดูในโรง คาดเดาไปถึงอาหารโปรดของไอรดา จนกระทั่งมาถึงเหตุการณ์ที่เธอคาดไม่ถึง อรวีไม่ได้ขัดจังหวะ นั่นทำให้เธอได้รู้ว่าเธอไม่ได้รู้จักไอรดาแม้แต่นิดเดียว หากแต่เธอตัดสินหล่อนไปเมื่อแรกเห็นแล้วนี่สิ



........................

[---]“อยู่กับไอให้นานกว่านี้ได้มั๊ย” เสียงกระซิบที่ไม่รู้ว่าจะถึงผู้ฟังไหม ส่งไปให้มารดาซึ่งหลับอยู่บนเตียง



[---]“....” คนป่วยไม่ได้ตอบเธออย่างที่ควรจะเป็น เวลาที่หมอบอกกับเธอมันเป็นช่วงสั้นๆ ที่คนเป็นมะเร็งจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ หากแต่เธอทำใจไม่ได้สักที มันบีบคั้นจนเหมือนเหลือเพียงนาทีเดียวสำหรับเธอ ความพยามทุกวิถีทางที่จะรักษาชีวิตของแม่เธอเอาไว้จนเธอได้มาเจอคุณมนตรี เจ้าบุญทุ่มยอมจ่ายทุกอย่างให้ตามคำร้องขอ ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เธอจำเป็นต้องใช้เงินก็ได้รับน้ำใจจากเขาอยู่เสมอ



[---]เป็นโอกาสอันดีในช่วงที่เธอไม่เหลือแม้แต่เงินเก็บ มีเพียงเงินเดือนน้อยนิดจากบริษัทเก่า บวกกับหนี้สินรุมเร้า รวมไปถึงค่ารักษาพยาบาลต้องเร่งหาให้ทันในครั้งต่อไป เธอไม่ได้เอ่ยปากบอกมารดาว่าหาเงินจำนวนมากเหล่านั้นมาได้อย่างไร บอกแต่เพียงว่าได้เลื่อนขั้นจนสามารถกู้เงินกับทางธนาคารเพิ่มได้ และได้เงินส่วนแบ่งจากการทำกำไรที่บริษัทใหม่



[---]‘หนี้ไม่เหลือไม่เยอะหรอกแม่ ไอได้เลื่อนขั้น ช่วงนี้งานกำลังรุ่ง’ เธอยักคิ้วอย่างได้ใจ



[---]‘อวดจริงนะเรา’ หล่อนลูบหัวลูกสาวเล่น ภูมิใจกับความสำเร็จ



[---]‘ลูกแม่น่ะ ทั้งสวยทั้งเก่งขนาดนี้’ เธอว่าพลางกอดแม่แน่น แม้ความสำเร็จนั้นมันจะจอมปลอมสักแค่ไหน หากมันก็ทำให้แม่ดีใจได้ก็พอ



[---]วันนั้นเองเป็นวันแรกที่ได้เจอกับคุณมนตรี คนที่เข้ามาช่วยให้เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตเธอง่ายดายขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ หากแต่เขาขอบางสิ่งที่เธอยังไม่สามารถทำใจให้ตอบแทนบุญคุณนั้นได้ เธอรู้ดีว่าเขาสงสารกับเห็นใจในความกตัญญู เขาจึงยังไม่เร่งเร้า มาจนวันนี้ทุกครั้งที่ไอรดาต้องการเงินเพื่อมาใช้จ่ายยื้อชีวิตมารดา เธอจะโทรไปขอกับคุณมนตรี เขาไม่ได้ให้เธอมาในทีเดียว แต่จะให้เมื่อเธอขอ และเธอก็ไม่เคยขอมากไปกว่าค่ารักษาในแต่ละครั้งเลย



........................

[---]“....” คนป่วยที่เหมือนจะรู้สึกตัว เอื้อมมือมาลูบหัวให้เธอยิ้ม แม้จะกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้จนไม่สามารถเอ่ยคำใดออกไปได้ ไอรดากอดมือนั่นไว้แน่น เธอต้องไม่ร้องไห้ต่อหน้าแม่ จะต้องไม่แสดงความเสียใจให้คนป่วยต้องมาเศร้าโศกไปกับเธอ



[---]ไอรดาย้อนนึกถึงวันเก่าที่สองคนแม่ลูกอยู่ด้วยกัน มันเป็นช่วงเวลาที่มีค่าสำหรับเธอเสมอ ทุกวินาทีของโลกใบนี้มันผ่านไปเร็วกว่าที่คิด เวลาเหล่านั้นมันอาจไม่มีค่าสำหรับใครต่อหลายคน แต่ใครเลยจะรู้ตัว ว่าขณะที่มันกำลังหมุนผ่านนั้น มันได้พรากเอาทุกสิ่งที่รักจากไปอย่างช้าๆ



[---]‘ไอจะร้องไห้ทำไมลูก คนเราจะอยู่ได้นานเท่าไหร่กัน ถึงเวลาแม่ก็ต้องไป’ มารดาพูดเป็นปกติ



[---]‘แต่แม่....’ เธอยังสะอื้นหนักเข้าไปอีกเมื่อนึกถึงวันที่ต้องจากกัน



[---]‘แม่เห็นความตายมาก็มาก มันเรื่องปกติ คิดซะว่าแม่ไปรอไอที่อีกฝั่งละกัน อีกหลายสิบปีไอก็ค่อยตามไปไง ใช่ว่าเราจะไม่เจอกันอีกสักหน่อย’ เธอปลอบใจลูกสาว



[---]‘แม่จะรอไอใช่ไหม’



[---]‘แม่ไม่สัญญาหรอกนะ วัฏจักรของคนเรามันไม่เหมือนกัน ถ้าเชื่อเรื่องชาติหน้า บางทีในอนาคตลูกแต่งงานไป มีลูกมีหลาน นั่นอาจเป็นแม่ก็ได้นะที่มาเกิด แต่แม่คงจะดื้อหน่อยนะ’ เธอว่าแล้วหัวเราะให้ลูกสาวผ่อนคลาย



[---]‘ไอจะทำยังไงถ้าไม่มีแม่’



[---]‘ลูกต้องเข้มแข็งไว้สิ ใช้ชีวิตให้มีความสุข อย่าจมกับความเศร้ามากนักไอ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเอง แม่ก็อยู่มาน๊านนาน เห็นความตายมาก็เยอะ ไปมาก็หลายที่ เบื่อละ อยากไปที่ที่ไม่เคยบ้าง’ แม่พูดเหมือนกับอยากจะไปจริงๆ



[---]‘โธ่ แม่น่ะ’



[---]‘นี่หยุดร้องได้แล้ว พึ่งทาอายไลเนอร์ไปใช่ไหม เลอะหมดแล้ว เสียดายของ’ เธอเขกกระบานลูกสาวที่หัวเราะเจื่อนๆ กับมุขที่เธอปล่อย



........................

[---]“ไอจะพยามนะแม่” เธอพูดกับแม่ที่หลับตาอยู่บนเตียง



[---]เป็นอีกครั้งที่ต้องขอเงินจากคุณมนตรี เขาจะเริ่มรำคาญบ้างไหมนะ หากแต่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ที่เธอจะร้องขอ จะให้เธออ้อนวอนอย่างหน้าอายต่อไปก็ได้ ถ้ามันจะทำให้แม่หายสนิทจากโรคร้าย



[---]ณ ตอนนี้เธอต้องการให้แม่อยู่อย่างสบายที่สุด นั่นหมายถึงเม็ดเงินจำนวนไม่น้อยที่หาไม่ได้จากเงินเก็บที่ไม่มีเหลือแล้ว กู้เงินก็ไม่สามารถทำได้เพราะเกินวงเงินมาพอสมควร ทุกวันนี้ถ้าหากไม่เปลี่ยนงานเธอคงใช้เงินเดือนเกือบทั้งหมดไปกับการจ่ายหนี้สินที่ยังค้างคามาจนถึงปัจจุบัน



[---]“สวัสดีค่ะท่าน”



[---]“ทานแล้วค่ะ ไอมีเรื่องรบกวนท่านค่ะ”



[---]“ได้ค่ะ ไอรจะรีบไปหาเลยนะคะ” เธอวางสายแล้วเดินกลับเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียงอีกครั้ง



........................



[---]อรวีนั่งฟังเรื่องราวที่เพื่อนสาวเล่าทั้งหมดอย่างตั้งใจ ถ้านี่เป็นเรื่องจริงแล้วเธอจะทำอะไรได้ ในเมื่อไอรดาเลือกหนทางนี้เป็นทางออก จากการสืบเสาะและการปะติดปะต่อก็พอจะทำให้รู้ได้ว่าในช่วงเวลานั้นที่เลขาสาวมาเจอกับพ่อ ได้รับความช่วยเหลือจากเขา ซึ่งหล่อนก็ยินยอมให้สิ่งที่เขาต้องการเพื่อแลกเปลี่ยน เธอเองก็ย้อนเวลาไปช่วยไอรดาไม่ได้อยู่ดี และถ้าย้อนไปได้จริงเธอจะเจอไอรดาหรือไม่ยังไม่อาจรู้



[---]“ตัวเองเค้าจะทำยังไงดี” อรวีถามเพื่อนอย่างคิดไม่ตก



[---]“ตัวเองจะทำอะไรได้ล่ะ เค้าเป็นคนของพ่อตัว ให้พ่อตัวช่วยไออย่างที่ช่วยนั่นล่ะ”



[---]“แต่มันจะไม่เป็นการ....”



[---]“อร อย่าคิดเรื่องที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้สิ ไอเค้าเลือกหาทางออกโดยคิดพึ่งพาคุณมนตรีไปแล้ว ตัวเองจะไปเดือดร้อนทำไม ถ้าเค้ามาขอพวกเราช่วยสิ ถึงค่อยทำ มันจะข้ามหน้าข้ามตาพ่อตัวเองนะ ถ้ายื่นมือเข้าไปยุ่ง” มันก็จริงดังที่เพื่อนว่า แต่ทำไมความจริงมันบีบคั้นเหลือเกิน



[---]“เค้าเข้าใจ” เธอตอบเสียงอ่อย เพราะนั่นคือความจริง สิ่งที่เกิดขึ้นเธอช่วยอะไรไม่ได้ในฐานะที่เป็นอยู่ จะเสนอหน้าช่วยเพราะความเป็นห่วง แล้วในสายตาคนอื่นจะมองเธออย่างไร



[---]ทำไมถึงต้องยุ่งเรื่องที่คนเขาไม่ต้องการให้ยุ่ง จะมีใครจับเธอความรู้สึกได้หรือไม่ว่าอาการร้อนรนอยู่ตอนนี้มันบ่งบอกว่าไอรดาเป็นอีกคนที่สำคัญสำหรับเธอเช่นกัน



[---]“เข้าใจก็ดีแล้ว แล้วก็ทำใจซะก่อนที่มันจะเกินตัว” กมลชนกอยากเตือนความเป็นห่วงที่ดูจะออกหน้าออกตา



[---]“ทำใจ เรื่องอะไร” ถามไปทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนรักหมายความว่าอย่างไร มันก็ยากนี่ พูดคำว่าทำใจ แต่จริงๆ แล้วทำไม่ได้



[---]“ก็หลายๆ เรื่องน่ะล่ะ เอาเป็นว่าตัวเองอยู่เฉยๆ เอ่อไอเค้าลางานสองสามวัน บอกไว้เผื่อเจ้าตัวไม่ว่างโทรหา”



[---]“อืม ไม่บอกก็รู้” เธอพูดคุยอยู่สักพักจึงวางสายเพื่อนไป ความปวดร้าวเข้ามาสุมอยู่ในอก เธอช่วยเหลือเลขาไม่ได้เลย



[---]อีกทั้งบางประโยคที่คล้ายกับว่ากมลชนกจะเดาความคิดเธอออก เพื่อนสาวก็เตือนให้คิดได้ว่ามันเกินตัวที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ความรู้สึกที่เอ่อล้นควรจะถูกสาดทิ้งให้หมด



[---]เพราะมันจะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่แก้ไขไม่ได้ ทั้งยังส่งผลกระทบให้หลายคนต้องเสียใจ เธอต้องยอมเศร้าเสียแต่วันนี้ก่อนที่มันจะลุกลามไปยังบุคคลรอบข้าง



[---]‘โธ่ ไอรดา แล้วฉันจะทนได้มั๊ย’ เธอพึมพำกับตัวเอง



........................



[---]การเข้ามาบริษัททุกครั้ง เป็นช่วงที่เธอทุ่มพลังกายพลังใจทั้งหมดให้กับงานกองใหญ่ตรงหน้า หากแต่ครั้งนี้ ความกระตือรือร้นต่องานมันถูกดูดกลืนด้วยบางสิ่งที่เธอไม่สามารถพูดบอกกับใครได้ อรวีทิ้งงานบางอย่างที่ไม่เร่งด่วนหรือสำคัญมากนักให้กับคนในแผนกจัดการ เธอต้องการความสงบเพื่อให้อารมณ์ที่วุ่นวายนี้ลดลงไปได้บ้าง มันแย่ที่ต้องรู้สึกเหมือนมีทุกสิ่งทุกอย่างที่สมบูรณ์แบบ หากมีเพียงเรื่องเดียวที่เธอเข้าไปยุ่งไม่ได้...ไอรดา



[---]“อ้าว วันนี้คุณไอรดาไม่มาทำงานเหรอคะ” พนักงานคนหนึ่งที่รับงานมาทำถามขึ้น เพราะเห็นว่าเอกสารพวกนี้ไม่น่าจะส่งมาถึงมือพวกเธอ แต่ต้องเป็นเลขาที่ควรรับหน้าที่ไป หรือเลขาไอจะทำงานไม่ได้เรื่องอย่างที่คุณอรวีของพวกเธอได้เคยบอกเอาไว้



[---]“ใช่ค่ะ เมื่อวานเค้าบอกจะลางานสองสามวัน” อรวีตอบคำถาม



[---]“ไม่จริงมั๊ง เมื่อกี้ยังเห็นขึ้นลิฟต์มาพร้อมกันอยู่” อีกคนแถวนั้นเอ่ยขึ้น



[---]“เมื่อไหร่หรือคะ” อรวีถามอย่างร้อนใจ



[---]“ไม่ถึงห้านาทีนี่เอง น่าจะใช่นะ แล้วคุณอรมีอะไรรึเปล่าคะ” เธอหันไปถามเจ้านาย แต่ไร้ซึ่งวี่แววคนถูกถาม



[---]อรวีเดินเร่งฝีเท้าตรงไปยังห้องทำงานของเธอ เผื่อว่าเลขาคนสำคัญจะมาหา หล่อนอาจจะมาขอความช่วยเหลือจากเธอก็เป็นได้ ถึงเวลานั้น เธอก็พร้อมจะช่วยทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแค่ไอรดาเอ่ยปากออกมา



[---]มาถึงห้องทำงานแต่ก็ไม่พบใคร จริงหรือที่ไอรดาจะเข้ามาในบริษัททั้งที่ควรอยู่ที่โรงพยาบาล จะมีเหตุผลอื่นใดนอกเหนือจากนั้นหรือไม่ แล้วความคิดหนึ่งก็วูบเข้ามา....พ่อของเธอไงคือคำตอบ



........................