กระจกวิเศษ ตอนที่6

‘อั๊ยย่ะ’ ห้องแคบอย่างกับรูหนู เดินเจ็ดแปดเก้าก็ไปได้ทั่วทุกมุมละ แล้วอ่างอาบน้ำก็ไม่มี อร๊าย ฝักบัวเปื่อยๆ มันจะใช้งานได้จริงเหรอ เปิดน้ำอุ่นอาบไฟจะดูดฉันตายมั้ยเนี่ย ยัยนีรนุช หล่อนเลี้ยงดูคนงานในบ้านชุ่ยจริงๆ บ้านพักคนงานฉัน ห้องกว้างกว่านี้เยอะย่ะ

ตายๆ ชุดเครื่องแบบคนใช้ก็สุดแสนเชย เธอต้องทนใส่จริงๆ เหรอ ถ้าไม่ติดว่าไปไหนไม่ได้ ป่านนี้เธอคงกรี๊ดๆ ฉีกมันทิ้ง เอาไปปาใส่หน้าเจ้าของบ้าน แล้วก็ทุบกระจกเน่านั่นบัดเดี๋ยวนี้ ร้ายกาจที่สุดเอาชีวิตสุดสวยของฉันไป

ดารินก้าวข้ามประตูห้องน้ำออกมาแบบขยะแขยงทุกวินาทีที่เธอได้อยู่ในนั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ ไม่อยากเข้าไปอยู่ในนั้นนานนักหรอก แค่พออาบน้ำให้พ้นๆ ไปก็พอ

“เจ้ากระจก ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ พูดกับฉันเดี๋ยวนี้” เธอควักมันออกมาจากกระเป๋า พยามเขย่ามันไม่แรงมากนัก กลัวว่าเกิดพลาดพลั้งหักคามือ มันจะสูญสลายไปพร้อมชีวิตดีๆ ของเธอ

“....” เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ของกระจกวิเศษ แม้จะพูดครั้งที่พันมันก็ไม่ตอบเธออยู่ดี ดารินเริ่มเครียดจับจิต อย่าให้เธอต้องเห็นมันนานไปกว่านี้ก็แล้วกัน อารมณ์เสีย เธอยัดมันลงในตู้เสื้อผ้าเล็กๆ ด้านในสุด

บ่ายแก่ๆ ของวันแสนซวย ชักนำความหิวมาให้ดาริน จนต้องนอนงอตัวอยู่บนเตียง เธอยังทำใจไม่ได้กับการต้องกินอาหารแบบนั้น.... มันไม่ใช่ที่เธอเคยกิน ทุกอย่างดูไม่เข้าที่เข้าทาง มันม่ายยยช่ายยย รับไม่ด๊ายยย

‘โครก.... คราก....’ น้ำตาแทบร่วง ขนาดเสียงกระเพาะของเธอยังดังน่าเกลียดได้ถึงเพียงนี้ ใครมาได้ยินเข้าแทบหน้าแทรกแผ่นดินทรุด ทรมานไปถึงทรวง กับน้ำย่อยที่เริ่มกัดกร่อนกระเพาะของเธอ มันไม่เจาะกระเพาะให้ทะลุออกมาเลยล่ะ หึ้ย! เจ็บใจนัก

ทนต่อไปไม่ไหวและแล้วไม่สามารถทนอาการท้องแห้งไส้ลีบได้อีกต่อไป ต่อให้เอาแค่ข้าวไข่เจียวทรงเครื่องของโรงแรมห้าดาวที่เธอไม่ชอบมาเสิร์ฟ เธอก็คงกินมันอย่างอร่อย หรือจะเนื้อย่างเยอรมัน สลัดผักราดซอสห่วยๆ ก็ได้

แล้วขาทั้งสองก็พากระเพาะตัวการมาเติมอาหารเพื่อรักษาชีวิตให้อยู่รอดต่อไป กฎแห่งสัจธรรม ท้องหิว ต้องเติมให้เต็ม และจะเติมให้ล้นเลยคอยดู ขอล้างผลาญอาหารบ้านหล่อนสักหน่อยนะยัยนีรนุช

‘อี๋’ เธอเดินหลบแมลงสาบตัวใหญ่ที่ไต่ออกมาจากท่อน้ำทิ้งข้างโรงครัว และเหมือนมันจะรับรู้ได้ถึงความกลัวกับความขยะแขยง มันบินตรงเข้าใส่เธอในทันที

ดารินเอี้ยวตัวหลบได้ทัน ฉิวเฉียดและหวุดหวิดที่ปลายขามันจะเกี่ยวเอากับสันจมูกซึ่งไม่มีดั้งของเธอ การได้มาอยู่ร่างนี้มันช่วยให้เธอหลบพ้นได้ก็จริง แต่เธอยอมแลกกับการโดนแมลงสกปรกนี่เกาะยังดีกว่าต้องหายใจโดยไร้ดั้ง....แง

หลังจากหลุดพ้นแมลงร้ายทำลายความสุข เธอก็นำตัวอันแข็งทื่อเดินเข้าไปด้อมๆ มองๆ อาหารภายในตู้กับข้าวใหญ่ๆ คงเป็นที่เก็บอาหาร เธอเอื้อมมือไปหยิบเอาจานใบที่คิดว่าสวยที่สุด

ไม่สิ! ต้องเรียกว่าดูเลวร้ายน้อยที่สุดเสียมากกว่า เปิดดูตู้อีกชั้นพบกับผัดผักแสนสยอง กับน้ำพริกสีสดดูไม่น่าคบหา สองจานถัดไปเป็นไข่เจียวหมูเละๆ และไข่ต้มฟองจิ๋ว

แม้เมนูทั้งหมดจะเรียกได้ว่ามากมายสำหรับคนหนึ่งคนที่ท้องร้องในตอนนี้ แต่สำหรับเธอแล้ว จะมีสักกี่อย่างที่จะกลืนลงคอได้ มันจะเข้าไปทำให้ระบบร่างกายเธอเสื่อมสภาพความเป็นผู้ดีลงในทันที แล้วเธอจะรับได้อย่างไร

“อี๋ อาหารทุเรศๆ อย่างนี้ ใครมันจะไปกินลง” เธอบนกับตัวเองหน้าตู้ แล้วจำใจหยิบไข่ต้มฟองจิ๋วออกมาสองใบ นำจานที่เลือกมาแล้วอย่างดีไปตักข้าว

หันหลังกลับมานั่งโต๊ะ พลันตกใจกับผู้มาใหม่ที่ยืนเท้าสะเอวมองดูเธออย่างพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า แค่เห็นแววตาความไม่พอใจนั้น ไม่ต้องรับความรู้สึกของหล่อนมา ก็รู้ได้ว่าสิ่งที่เธอบ่นออกไปเมื่อกี้ หล่อนได้ยินเต็มสองรูหูเลยล่ะ แต่ก็ใช่เรื่องที่เธอต้องแก้ตัว ดารินเชิดหน้าหน้าขึ้นเล็กน้อย ที่พูดออกไปคือความจริง ใครบ้างจะกินมันลง

“มาใหม่เหรอ” น้ำเสียงนั้นวางอำนาจแบบเจ้าถิ่น หล่อนต้องการให้รู้ว่าเธอไม่ควรทำตัวเรื่องมาก เพราะสถานะนั้นเป็นแค่คนทำงานน้องใหม่ ไม่มีสิทธิ์บ่นอะไรทั้งสิ้น อีกอย่างหน้าตาเธอในตอนนี้ก็ไม่เหมาะจะมาเรื่องมากเสียด้วยสิ

“ค่ะ มาใหม่” ดารินทำเฉยนั่งตักอาหารเข้าปาก ไม่อยากยกมือไหว้ คนท่าทางหาเรื่องเธอตั้งแต่แรก หล่อนไม่ควรวางอำนาจ เพราะดูจากการแต่งตัวแล้ว สถานะหล่อนก็ไม่ต่างจากเธอสักเท่าใด แค่เป็นคนมาก่อนที่ได้ยินเสียงบ่นไม่เข้าหู

“ชื่ออะไร” ความห้วนของคำพูดนั้นทำให้เธอไม่อยากตอบสักเท่าไหร่ มันข่มขู่เป็นที่สุด

“ลำไย” เธอตอบแบบขอไปที รีบเคี้ยวๆ ไข่ต้มกับข้าวลงคอแบบฝืดๆ แล้วสิ่งที่เธอแว่วได้ยินเต็มสองรูหูนั่นก็คือเสียงหัวเราะเยาะ บวกกับความสะใจที่ได้ยินชื่อเธอ

กริยาอันเย้ยหยันด้วยมุมปากบิดเบี้ยวก็พอบอกได้ทันทีว่าหล่อนสะใจ ซึ่งนั่นทำให้เธอยิ่งเครียดหนักเข้าไปอีก อยากกรี๊ดไล่นั่งนี่ใจจะขาด ทำได้แค่กลืนข้าวลงคอ

ไม่นานนักเธอเห็นหล่อนเดินไปหยิบจานขนมหวาน ซึ่งเธอไม่ได้สนใจว่ามันคืออะไร ดารินกลืนคำสุดท้ายลงคอ เดินไปที่อ่างล้างจานมองซ้ายมองขวา เห็นฟองน้ำ กับน้ำยาล้างจานอยู่แถวๆ นั้น ดารินอยากรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เธอไม่ต้องการเจอนังปีศาจเยาะเย้ยตัวนี้ แต่สิ่งที่รั้งไว้คือการที่เธอไม่รู้ว่าจานนั้นต้องล้างอย่างไร

ไม่หรอก เธอไม่รู้มากกว่า ว่าน้ำยาล้างจานต้องใส่ปริมาณเท่าไร่ เคยเห็นผ่านตามาบ้างว่าต้องบีบใส่ฟองน้ำก่อน ไม่รอช้า เธอจัดแจงบีบน้ำยาลงฟองน้ำทันที

“ลำไย บีบน้ำยาขนาดนั้น หล่อนจะเอาไปล้างบ้านหรือไงคะ” เสียงเย้ยจากคนนั่งกินขนมหวานยังคงดังขึ้นเป็นเงาตามตัว ทำให้ต้องหยุดการบีบน้ำยาลง แล้วขัดจานแทนจนครบจำนวน

จากนั้นก็เปิดน้ำล้างฟองออก ใช้เวลานานมากกว่าปกติ คิดว่าคงใส่น้ำยาล้างจานมากไป เพราะดูจากคำประชดกับ ฟองท่วมขนาดนี้ คงต้องล้างอีกนาน

“ฝากด้วย” ถ้วยขนมหวานใบเล็กถูกวางลงอ่าง คล้ายกับอาการโยน ส่วนคนโยนก็ทำหน้าตาเฉยเดินออกห้องไปด้วยอารมณ์สุขสันต์ ทิ้งให้ดารินยืนล้างสิ่งที่หล่อนกิน

อร๊ายยยย ช่างน่าน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก ไอ่กระจกนั่นทำให้เธอต้องกลายมาเป็นคนใช้ยังไม่พอ ต้องกลายมาเป็นคนใช้ของคนใช้ด้วยมันยิ่งปรี๊ดดดดจับใจ

........................

ดารินสะบัดมือเอาน้ำออก เช็ดเข้ากับผ้าสีขาวที่แขวนอยู่แถวนั้น มองดูมืออันแห้งกร้าน นี่เป็นงานบ้านแรกที่เธอเคยทำ เพียงเท่านี้มือถึงกับแห้งได้เลยหรือ หากทำไปมากกว่านี้มันคงจะเลวร้ายขึ้นแน่ๆ เลยเธอคิดโดยไม่รู้หรอกว่าการใส่น้ำยาล้างจากเยอะขนาดนั้น ยังไง๊ยังไงมือก็แห้ง

เธอเดินอ้อมแล้วรีบตรงไปที่ห้องพักในทันที ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากอยู่นอกห้องพักนานนักหรอก ไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรอีก ถ้ามีแบบยัยคนเมื่อกี้อีกสักคนสองคน เธอได้บ้าตายกันพอดี

แล้วสายตาก็ไปบรรจบเข้ากับนังคนเมื่อครู่ หล่อนกำลังยืนคุยกับคุณหนูของบ้านด้วยอาการสนิทสนมเกินเหตุ นี่คงเป็นคนโปรดของคุณหนูอีกคนกระมัง

ไม่นานนักก่อนที่เธอจะพ้นสายตาไปจากตรงนั้น ก็เห็นยัยนั่นกวักมือเรียกเธอให้เดินเข้าไปหา หากเป็นเวลาอื่นเธอไม่เดินเข้าไปหรอก ทว่าตอนนี้ยัยคุณหนูนีรนุชดันยืนอยู่ข้างๆ จะหลบลี้หนีหน้าก็ทำไม่ได้ จำใจต้องเดินคอตกเข้าไปหา

“นี่ๆ เอาชุดนี่ไปล้างคราบออกแล้ว แช่ไว้นะ คนซักจะได้ซักได้ง่ายๆ” นังคนเมื่อกี้สั่งเธอให้ทำตาม โดยยัยคุณหนูยังยืนอยู่ข้างๆ

“ทิพย์จ๊ะ ลำไยเค้าพึ่งมาใหม่” นังคุณหนูบอกกับคุณคนใช้ แล้วก็หันมาทางเธอเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร

“ค่ะคุณนุช .... เดินไปตามทางนี้นะ ตรงไปจะเห็นห้องซักรีด” หล่อนบอกทาง และเหมือนว่าต้องการให้เธอเอาผ้าเปื้อนนี่ไปแช่ให้ได้ เพราะหล่อนเดาเอาว่าเธอคงทำอะไรไม่เป็น โดยดูจากท่าทางการล้างจานที่ใช้เวลานานมากกว่าปกติ

“ทิพย์ งั้นฝากบอกป้าสายด้วยนะว่าเย็นนี้ฉันไม่ทานข้าวบ้าน” คุณหนูผู้ดี เดินจากไปโดยที่ไม่สนใจว่าเธอจะไปถูกทางหรือไม่ คงคิดว่ายัยคนที่ชื่อทิพย์นี่จะแนะนำตัวกับเธอแบบเป็นกันเองกระมัง

“อ้าวไปได้ละ” นางนี่กล้าสั่งเธออย่างนั้นหรือ คุณหนูของบ้านพึ่งเดินไปได้ไม่ไกล ก็ขึ้นเสียงกับเธอซะแล้ว

ไปก็ไปว้า จะยืนอยู่ใยให้เจ็บจิต ดารินรีบถือผ้าตรงไปตามทางเดิน แค่ล้างกับเอาผ้าแช่ ไม่น่าใช่เรื่องยาก เพราะมีคนซักอยู่แล้ว ว่าแต่มันทำอย่างไรหว่า

โอ้ย เครียดวุ้ย น่าจะมีเครื่องอะไรสักอย่างให้เธอใช้ จะได้เปิดค้นหาวิธีการล้างผ้างี่เง่านี่

........................

ลำไย หรือข้างในคือดาริน เดินมาถึงห้องซักผ้าได้อย่างปลอดภัย ง่ายๆ คือเธอไม่หลงทางนั่นเอง ดีที่มันไม่มีทางเลี้ยวซ้าย ขวา ไม่งั้นยัยนั่นคงบอกแบบงงๆ หลอกให้เธออ้อมไปทั่วบ้าน

เธอเปิดน้ำใส่ชุดที่เปื้อนคราบกาแฟสีขุ่น มองมันด้วยอาการเสียใจในความผิด ซึ่งเกิดจากการกระทำของตัวเธอเอง

ถ้าเธอดื่มกาแฟแก้วนั้นไปมากกว่านี้ ชุดนี้ก็คงไม่เลอะเยอะ หรือถ้ายัยคุณหนูนี่ทันตั้งตัวเอี้ยวหลบไปบ้าง ชุดนี้ก็คงไม่เลอะมาก และหากเธอไม่สาดกาแฟ ณ ตอนนี้เธอคงไม่ต้องมานั่งล้างชุดเสียเอง....

แง....เศร้า ฉันไม่น่าเล้ยยยย บาปกรรมมีจริงเห็นผลติดปีกในเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง!!!!

แม้ว่าจะพยามขยี้ไปหลายรอบแล้ว คราบกาแฟก็สีทนได้เสียเหลือเกิน ติดแน่นติดทนยิ่งกว่ากาวตราช้างเผือก เธอจึงมองหาขวดน้ำยาตัวช่วยที่น่าจะสามารถทำลายคราบให้ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ปัญหาคือมันมีหลายขวดนี่สิ ไล่อ่านวิธีการใช้ทีละขวดๆ ค้นดูว่าอันไหนมันจะได้ผลมากสุดกับคราบสุดหิน แล้วก็ยืนหน้านิ่วคิดไม่ตกกับคำว่าขจัดคราบซึ่งมันมีเกือบทุกขวดเลย

“เอาชุดคุณหนูมาแช่เหรอ” เสียงไม่คุ้นเคยเรียกร้องให้เธอหันไปดู ผู้มาเยือนคนใหม่หน้าตาดูบ้านๆ มากเลย เทียบชั้นกับเธอไม่ได้หรอก หากแต่เทียบกับเธอในตอนนี้ เหมือนว่าเธอจะหน้าตานอกบ้านไปไกลเสียทีเดียว

“ค่ะ แต่ฉันกำลังหาน้ำยา....เอิ่ม” เธอก็ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร

“มานี่สิ เดี๋ยวฉันทำให้ ฉันเป็นคนซักผ้าน่ะ” หล่อนตอบเธอแล้วดึงขวดที่เธอคิดว่าใช่ ไปวางไว้กับที่ หยิบขวดที่เธอมองผ่านไปมาเทใส่กะละมังแช่ผ้าทิ้งไว้....อ่า ฟ้าประทานคนมาช่วยเธอแล้ว

“ขอบคุณนะ” ดารินเอ่ยอย่างซาบซึ้ง เพราะรับรู้ได้ถึงความเป็นมิตร ที่อีกคนสื่อมาให้

“มาใหม่ ใช่มั้ย ฉันแก้วนะ เธอชื่ออะไรเหรอ” หล่อนถามขณะเปิดน้ำล้างมือ

“ฉันดา....เอ้ย ลำไยค่ะ” เธอเกือบหลุดปากไปแล้วว่าชื่อดาริน

“ไม่ต้องคะ ขา ค่ะ กับฉันก็ได้ ฉันไม่ใช่เจ้านาย” แก้วยิ้มร่าเริง

ดารินไม่รู้หรอกว่าต้องพูดจาอย่างไรให้กลมกลืน เพราะสิ่งแวดล้อมกับสังคมที่เธออยู่มันสั่งสอนให้เธอใช้สำเนียงหวานเสนาะหูตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะคิดดี คิดร้าย คิดไม่พอใจแค่ไหน การพูดจะต้องออกมาให้ดูเหมือนคนมีระดับคุยกันเท่านั้น

“ค่ะ เอ้ย จ๊ะ....” บอกแบบเขินๆ เพราะด้วยไม่รู้จะคุยอะไรต่อ และอีกอย่างการวางตัวกับคนทำงานในบ้าน เธอไม่ถนัดเอาเสียเลย

ปกติดารินจะไม่ยุ่งในส่วนนี้ เพราะเห็นว่าหน้าที่ก็คือหน้าที่ ทำงานได้เงินจบ ไม่จำเป็นต้องมานั่งพูดคุยกันให้เสียเวลา ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด

“ลำไยมาใหม่ คงยังไม่ชินกับที่นี่ ถ้าอยากรู้อะไรถามฉันได้นะ” แก้วเช็ดมือเข้ากับขากางเกง หันหน้ามาทำความรู้จักกับเธอ

“เอ่อ คนที่ชื่อทิพย์ เค้าเป็นหัวหน้างานเหรอ” ดารินใช้คำว่าหัวหน้างานเพราะหาคำอื่นที่ดูดีกว่าคำว่าหัวหน้าคนใช้ได้เท่านี้

“ไม่ใช่หรอก บ้านนี้จะแยกเป็นสองส่วนน่ะ มีทำสวนกับงานในบ้าน ถ้าทำสวนลุงเทิดจะเป็นดูแลกับคุมงาน แต่ถ้างานในบ้านจะเป็นของป้าสายเค้า” หล่อนอธิบายให้เธอฟังคร่าวๆ

“แต่คนที่ชื่อทิพย์....” เธอหยุดไว้แค่นั้น เพราะไม่รู้จะบอกกับแก้วถึงเรื่องราวที่เจอมาได้อย่างไรดี

“อ้อ ทิพย์ชอบทำเหมือนว่าเป็นหัวหน้างานใช่มั้ยล่ะ คงคิดว่าตัวเองได้ทำความสะอาดห้องคุณหนู ห้องคุณผู้ชายคุณผู้หญิง และได้คุยกับคุณนุชอยู่บ่อยๆ เลยสำคัญตัวเองผิดไปบ้าง คุณนุชเค้าก็ตามใจไม่ค่อยจะขัดอะไรคนในบ้านเท่าไหร่”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้แล ยัยทิพย์คนสนิทนี่เอง หากเธอเป็นคุณหนูจะด่าเอาให้ มาทำตัวตีซี้เทียบชั้นกันหรือยะ แค่มองหน้าเธอยังแทบไม่มอง จะให้คุยด้วยกับคนใช้ที่บ้านนั้นยากเข้าไปใหญ่ ถ้าไม่ใช่หัวหน้าแม่บ้านก็ไม่มีใครได้คุยกับเธอเลย

“ฉันก็นึกว่าเค้าเป็นหัวหน้าน่ะ” เธอพูดแล้วทำหน้าเลี่ยนๆ ให้แก้วหัวเราะ เหมือนว่าคงรู้กันสำหรับคนที่นี่ว่าใครเป็นอย่างไรกันบ้าง แก้วเพื่อนใหม่ หรือเพื่อนชั่วคราวของเธอเล่ารายละเอียดเพิ่มมาอีกนิด จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

........................

ดารินกลับมาที่ห้องพักของตัวเอง ทิ้งตัวลงนอนอย่างเหน็ดเหนื่อย หาใช่ทางกายไม่ หากแต่เป็นหัวใจที่เคว้งคว้าง คิดถึงบ้าน พ่อแม่เหลือเกิน พวกท่านจะรู้ไหมหนอว่าเธอหายไปไหน ท่านอาจคิดว่าเธอหลบหน้าหลบตาไปเหมือนทุกครั้งที่อกหัก เธอมักจะหายไปดื้อๆ สองสามเดือนแล้วกกลับมาในสภาพไม่เป็นอะไรแล้ว ดีที่เธอบอกกับเลขาไว้ว่าจะขอลาพักร้อน มิเช่นนั้น คงได้ตามหากันวุ่น เจ้ากระจกก็กระไร ไม่ให้เธอได้บอกกล่าวหรือล่ำลาชั่วคราวบ้างเลย เฮ้อ....แต่สัญญาก็ต้องเป็นสัญญาล่ะนะ เธอแลกเปลี่ยนไปแล้วนี่ สิ่งที่เธออยากรู้ หากตอนนี้มันช่างห่างไกลกับคำตอบมากมายนัก

เสียงถอนหายใจตามมาอีกหลายต่อหลายครั้ง แล้วเธอก็ทิ้งตัวหลับลงไปในความมืดมิดของห้องนอน หวังเพียงพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ง่ายดายในการเริ่มงานที่ไม่คุ้นเคยเลยในความสบายทั้งหมดของชีวิตที่เจอะเจอมา

........................